อันเจิงและตู้โซ่วโซ่วเดินกอดคอโอบไหล่กันไปตามย่านหนานชานระหว่างเดินไปเรื่อย ๆ มีเสียงดังจ้อกแจ้กจอแจทำให้พวกเขาต้องหยุดมองสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือสุนัขดุร้ายหลายตัวกำลังไล่ต้อนลูกแมวสกปรกตัวหนึ่งให้จนมุมลูกแมวตัวนี้ดูผิวเผินแล้วคงจะอายุไม่กี่เดือน มันนอนขดตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว อีกไม่นานมันคงถูกสุนัขพวกนี้ฉีกเนื้อเป็ชิ้นๆ แน่!
ตู้โซ่วโซ่วลากอันเจิงออกมา “ไปเถอะ สุนัขพวกนั้นมันคงไม่มีอะไรจะกินพวกมันก็เลยจะกินเ้าแมวเร่ร่อนที่อ่อนแอกว่าเป็อาหาร ไปกันเถอะนะ ไม่มีอะไรน่าดูหรอก”
อันเจิงถอนหายใจเสียงดัง“นี่มันก็คงเหมือนโลกของเรา หากอ่อนแอก็ต้องถูกรังแก จะอยู่หรือตายก็แล้วแต่โชคชะตาดูจากการที่มันอยู่ตัวเดียวมันคงจะไม่มีพ่อแม่ ช่างน่าสงสารเสียจริงคงจะดีถ้าข้าจะรับมันไว้เป็เพื่อนอีกสักตัว ถึงอย่างไรข้าก็ตัวคนเดียวอยู่แล้ว”
เมื่อเขาเริ่มเดินเข้าไป สุนัขทุกตัวก็หันมามองพร้อมโก่งตัวส่งเสียงขู่คำรามใส่เขาฟ่อใหญ่ทันที แต่เมื่ออันเจิงสบตาเย็นะเืกับพวกมันทุกตัวพลันหยุดชะงัก ไม่มีตัวไหนกล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหวพวกมันกลัว…กลัวจนฉี่ราดออกมา
อันเจิงเดินเข้าไปใกล้ลูกแมวตัวนั้น เขาอุ้มลูกแมวที่ยังคงใกลัวไว้ในอ้อมแขนพร้อมลูบหัวมันสองสามครั้งแต่ลูกแมวก็ยังคงตัวสั่นเทาด้วยความใ ลูกแมวตัวนี้มอมแมมมาก มีสิ่งสกปรกติดตามขนของมันเต็มไปหมดอันเจิงอุ้มมันพลางหยิบสิ่งสกปรกออกจากขนของมันไปด้วย เมื่อไม่มีอะไรติดตามขนของมันแล้วเขาพบว่าแมวตัวนี้มีลักษณะดีและสวยมาก
ลูกแมวตัวนี้มีขนสีขาวสะอาดราวกับหิมะแต่เท้าทั้งสี่กลับเป็สีแดงเพลิง อีกทั้งดวงตาของมันดูแปลก เมื่อมองใกล้ ๆราวกับว่ามีดวงดาวอีกดวงอยู่ในตาของมัน
ระหว่างเดินไปเรื่อย ๆอันเจิงก็อุ้มแมวพลางลูบขนไปด้วย ลูกแมวจึงค่อย ๆ สงบลง มันเงยหน้าขึ้นตากลมโตที่สุกใสเป็ประกายของมันจ้องมองมาที่อันเจิงในแววตาเต็มไปด้วยคำขอบคุณราวกับว่ามันเป็มนุษย์คนหนึ่ง
ตู้โซ่วโซ่วเดินพลางจ้องอันเจิงอย่างไม่วางตาในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย ระหว่างเดินอันเจิงก็คอยสังเกตการณ์ย่านหนานชานไปด้วยเขาจะต้องใช้เวลาอยู่ที่นี่อีกนาน อย่างน้อยก็จนกว่าร่างกายนี้ของเขาจะฟื้นคืนกลับมาจนพลังเข้าขั้นเขาจึงจะจากไป ในขณะที่ติดอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองอยู่นั้นอันเจิงก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่แอบมองเขาอยู่ ตู้โซ่วโซ่วนั่นเองเขาจึงหัวเราะและยิ้มออกมา “เหตุใดเ้ามองข้าแบบนี้ นี่เ้ากำลังชื่นชมข้าอยู่หรือ?”
ตู้โซ่วโซ่วเกาหัวตัวเองเบา ๆ “อันเจิง…เ้าคืออันเจิงจริงหรือ?”
อันเจิงใช้มืออีกข้างเอื้อมไปกอดคอตู้โซ่วโซ่วเดินไปด้วยกัน“หรือเ้าอยากให้ข้าพูดเื่ที่เ้าแอบดูแม่ของเสี่ยวชีเต้าอาบน้ำให้คนอื่นรู้ หือ?”
เสี่ยวชีเต้าเป็บุตรชายของหญิงหม้ายผู้หนึ่งหญิงหม้ายผู้นี้เลี้ยงลูกอยู่ลำพัง แม้ว่าการอาศัยในสถานที่ที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายอย่างโลกมายาแห่งนี้จะเป็เื่ยากแต่ในความเป็จริงก็ไม่มีใครกล้าที่จะไปยุ่งวุ่นวายกับนางเท่าใดนักแม้แต่พวกกลุ่มโจรเก้าก๊กเอง เมื่อเจอนางก็ยังมีความเกรงใจให้หลายส่วนมีเื่เล่าต่อ ๆ กันมาว่า เดิมทีหญิงหม้ายผู้นี้ก็เป็ผู้มีวิชาคนหนึ่งที่แอบลี้ภัยมาอย่างเงียบๆ
อย่างไรก็ตามเื่ของผู้ฝึกฝนวิชาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขามากนัก รู้เพียงว่ามารดาของเสี่ยวชีเต้าคือหญิงงามคนหนึ่งของที่นี่ในย่านหนานชานแห่งนี้ไม่มีใครงามเทียบเท่านางได้เลย ไม่ว่าจะเป็ ทรวดทรงองค์เอวรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น สะโพกผึ่งผาย รับกับใบหน้าที่ทรงเสน่ห์ นางไม่เหมือนกับคนที่มีลูกแล้วแม้แต่น้อยลูกของนางอายุเพียงสี่ขวบ ยังคงพูดจาอ้อแอ้ น่ารักราวกับตุ๊กตาปั้นตัวน้อย
เมื่อตู้โซ่วโซ่วได้ฟังอันเจิงพูดเช่นนั้นก็ถึงกับหัวเราะออกมาทันที “เ้าอย่าพูดออกไปเชียวนะ ถ้าแม่นางเยว่รู้ว่าข้าเคยเห็นบั้นท้ายของนางแล้วละก็นางต้องถลกหนังข้าแน่ ในย่านหนานชานนี้จะมีใครกล้าทำให้นางโมโหบ้างเล่า?
แม่นางเยว่ คือชื่อที่คนในย่านหนานชานที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันใช้เรียกมารดาของเสี่ยวชีเต้าฟังดูเผิน ๆ อาจดูเหมือนนางอายุมากแล้วแต่ในความเป็จริงแม่นางเยว่คนนี้มีอายุประมาณยี่สิบห้าปี นางเปิดร้านเหล้าเล็ก ๆอยู่ที่หัวมุมของย่านหนานชาน ด้วยความงามและความตรงไปตรงมาของนาง จึงทำให้ร้านเหล้านั้นทำกำไรไม่เลวนักแม้ทุกคนจะรู้ดีว่าเหล้าของแม่นางเยว่ไม่ได้ยอดเยี่ยมกระไร แต่ที่ยังไปร้านเหล้าของนางก็เพราะ้าชมความงามของนางเท่านั้นสำหรับเหล้านั้นจะดีหรือไม่ แทบจะไม่มีใครสนใจ
อันเจิงเขย่าเงินในมือไปมา“เงินแค่นี้น่าจะพอให้พวกเราไปหาอะไรกินในร้านแม่นางเยว่ได้ ตอนนี้เรามาคิดกันก่อนดีกว่าว่ามีอะไรน่ากินบ้างอีกเดี๋ยวเ้าจะเงอะงะไม่ได้นะ”
ตู้โซ่วโซ่วเม้มริมฝีปาก “เราจะแกล้งทำเป็ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไปกินข้าวในร้านเหล้าได้อย่างไร?คนที่สามารถไปกินข้าวในร้านเหล้าได้ ต้องมีเงินมาก ๆ ไม่ใช่หรือ?”
อันเจิงพิจารณาดูเสื้อผ้าของตนเองและตู้โซ่วโซ่ว“เ้าน่ะคิดมาก…ข้าว่า เมื่อถึงที่ร้านพวกเราก็มองดูรอบหนึ่งก่อนว่าเขาสั่งอะไรมากินกันบ้างถ้าทุกคนสั่งมากินแสดงว่าสิ่งนั้นต้องอร่อย”
ตู้โซ่วโซ่วกำหมัดยื่นออกมา“เ้าถูกพวกมันตีสลบเกือบตายมาครั้งหนึ่งแล้ว หัวของเ้าก็คงโล่งเลยสินะ ในย่านหนานชานนี้ข้าก็มีเ้าเป็เพื่อนแท้เพื่อนตายอยู่คนเดียว ถ้าเ้าตายจริงข้าคงโดดเดี่ยวมากเป็แน่”
ภายในใจของอันเจิงรู้สึกถึงความอบอุ่นเขายื่นมือไปตบบ่าของตู้โซ่วโซ่วเบา ๆ “วางใจเถอะ ข้าไม่ตายง่าย ๆ แน่ จากวันนี้ไปพวกเราคือพี่น้องกันไม่ว่าจะเป็อย่างไร เ้าจะมีข้าและข้าก็จะมีเ้า ไม่ว่าฝนตกหรือแดดออกพวกเราจะเดินไปด้วยกันพวกเราจะอยู่เคียงข้างกัน เพราะพวกเราคือพี่น้องกัน!”
ตู้โซ่วโซ่วพยักหน้ารับ “ว่าแต่...คำพูดแบบนี้เ้าไปเอามาจากที่ไหนกัน”
อันเจิงหัวเราะร่าออกมา “โธ่! ทำไมเ้าต้องเคร่งครัดกับเื่สำบัดสำนวนขนาดนั้นพวกเราไม่ใช่บัณฑิตเสียหน่อย คำพูดพวกนี้ขอเพียงเ้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ ก็พอแล้ว”
ทั้งสองคุยกันพลางหัวเราะจนเดินไปถึงหัวมุมย่านหนานชานร้านเหล้าเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงหัวมุมก็คือร้านของแม่นางเยว่ เป็ร้านที่ไม่มีชื่อหน้าประตูมีเพียงธงแขวนอยู่ ในธงเขียนคำว่า เหล้า (酒)เพียงคำเดียว ตู้โซ่วโซ่วพอจะมีความรู้อยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถรับรู้ถึงความหมายลึกซึ้งของคำนี้ได้รู้เพียงว่าอักษรที่เขียนขึ้นมาเป็คำนี้ช่างดึงดูดใจยิ่งนัก มันมีรูปร่างเหมือนคนที่มือหนึ่งถือดาบอีกมือหนึ่งถือน้ำเต้าออกเดินทางไปสู่ปลายขอบฟ้า
“อักษรนี้เขียนได้ดีจริง!”
เมื่อไปถึงหน้าประตู อันเจิงก็จ้องดูที่ธงและอดที่จะอุทานออกมาไม่ได้ถ้าเป็อันเจิงคนก่อน เขาไม่มีทางรู้ถึงความหมายลึกซึ้งของตัวอักษรนี้อย่างแน่นอนแต่ตอนนี้เขาไม่ใช่อันเจิงคนเดิมอีกต่อไป อักษรนี้มีความดุดันและแข็งแกร่งอยู่ในตัวมันเองราวกับมีชีวิตและสามารถออกมาจากธงได้ตลอดเวลา
ตู้โซ่วโซ่วไม่เชื่อว่าอันเจิงจะรู้ถึงความหมายของตัวอักษรได้“เ้ามองตดออกด้วยหรือว่าดีหรือไม่ดี!”
อันเจิงทำสีหน้าจริงจัง “ตดจะดีหรือไม่ข้าไม่มอง แต่ข้าดมเอา”
ตู้โซ่วโซ่วนิ่งไปสักพักแล้วก็ะเิหัวเราะออกมาเขารู้แล้วว่าอันเจิงในตอนนี้มีคารมคมคาย ไม่ใช่คนที่พูดจางึมงำอย่างที่เคยเป็มาหากเป็อันเจิงคนเก่า ถ้ามีคนพูดคำว่า หนึ่ง เขาจะไม่พูดสอง หากมีคนพูดคำว่า สิ่งเขาจะไม่พูดของ จะไม่มีการแสดงความคิดเห็นใด ๆ ในมุมมองของตู้โซ่วโซ่วนี่คงจะเป็วิธีของอันเจิงที่จะทำให้เขารอดจากหมัดและเท้าที่ไม่พึงประสงค์
อันเจิงเปิดม่านแล้วเดินเข้าไปในร้านเป็ครั้งแรกของตู้โซ่วโซ่วที่ได้มาที่นี่เช่นกัน เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็พิเศษ ปกติแล้วเขาและอันเจิงมักจะเดินไปเรื่อยเปื่อยเขาอยู่ข้างหน้าให้อันเจิงคอยหลบอยู่ข้างหลัง แต่มาวันนี้ทุกอย่างกลับตรงกันข้ามไปหมด
หลังจากเดินเข้าไปในร้านอันเจิงก็สอดส่องสายตาไปทั่ว ตอนนี้น่าจะยังไม่ใช่เวลากินข้าว ในร้านจึงมีคนไม่มากมีคนนั่งอยู่ที่โต๊ะที่สามทุกสายตาจ้องมองไปที่โต๊ะต้อนรับที่แม่นางเยว่ยืนอยู่โดยไม่หันมองไปทางอื่นวันนี้แม่นางเยว่สวมชุดสีม่วงเข้ม แม้จะเป็เพียงชุดธรรมดา ๆแต่รูปร่างที่รับไปกับชุดกลับทำให้นางมีเสน่ห์เย้ายวน ติดตราตรึงใจอย่างน่าประหลาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนินอกกลมกลึงนั้น ลอยมาปะทะสายตาราวกับโคมไฟตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าจึงทำให้แขกเ่าั้จ้องมองกันตาเป็มัน ดุจแมลงเม่าที่พร้อมจะพุ่งเข้ากองไฟ
แม่นางเยว่ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในร้านเมื่อหันไปก็พบเด็กน้อยวัยกำลังโต นางประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงปรายตามองไปทางเด็กทั้งสอง “เด็กน้อยที่นี่ไม่มีน้ำหวานสำหรับพวกเ้าหรอกนะ ที่นี่มีแต่เหล้าเท่านั้น”
พลันสายตาของนางก็ไปสะดุดเข้ากับแมวน้อยในอ้อมแขนของอันเจิงจึงอดทักขึ้นมาไม่ได้ “ลูกแมวตัวนี้ช่างงามเหลือเกิน ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนลูกแมวธรรมดาเลยสักนิด”
ดูเหมือนว่าเ้าแมวน้อยจะดึงดูดความสนใจของแม่นางเยว่ได้มากกว่าอันเจิงและตู้โซ่วโซ่วเสียอีก
ในยามปกติ หากอยู่ในสำนักตู้โซ่วโซ่วจะเป็คนที่แข็งแกร่งกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าแม่นางเยว่ภายในใจของเขากลับสั่นและหวั่นไหว ดังนั้นเขาจึงหลบอยู่ด้านหลังของอันเจิงส่วนอันเจิงนั้นไม่มีทีท่าอะไรเป็พิเศษต่อนางทว่าสายตาคู่นั้นกลับจ้องมองไปที่เนินอกของแม่นางเยว่อย่างไม่ตั้งใจไม่ว่าจะมองไปทางไหนสายตาก็จับได้เพียงเนินอกของนางเท่านั้น
แม่นางเยว่เองรู้ดีว่า ผู้ชายที่เข้ามาในร้านเหล้าแห่งนี้ต่างก็อยากมาเพื่อประจักษ์ถึงความงามของตนแต่นี่เป็ครั้งแรกที่เห็นสายตาเ้าชู้ซุกซนของเด็กน้อยเช่นนี้ นางมองออกชัดเจนว่าเด็กชายตัวอ้วนถึงแม้ดูเหมือนจะคิดอะไรไม่ดีแต่ก็ไม่มีความกล้า ส่วนเด็กที่อยู่ข้างหน้ามองปราดเดียวก็รู้ว่าน่าจะเป็คนอ่อนแอแต่ในแววตาดูอย่างไรก็ไม่เหมือนเด็กเอาเสียเลย กลับดูมีเลศนัยเหมือนผู้ใหญ่มากประสบการณ์แต่เมื่อนางลองพิจารณาอีกครั้งและพบว่าสายตาของอันเจิงไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรจึงวางใจลงได้
ว่าแต่...ทำไมเด็กตัวเท่านี้ถึงได้มีสายตาแบบนั้นได้นะ
่เวลาที่แม่นางเยว่ยังคงสับสนอยู่นั้นตู้โซ่วโซ่วก็ตีความไปเองแล้วว่าตนคงโดนแม่นางเยว่ดูแคลนเข้าแล้ว เขาจึงยื่นหน้าออกมาจากด้านหลังอันเจิงและพูดขึ้น“พวกเราไม่ได้จะมาซื้อน้ำหวานเสียหน่อย พวกเราโตจนไม่ต้องกินน้ำหวานแล้ว!แต่พวกเรามาที่นี่เพื่อดื่ม…ใช่! พวกเรามาที่นี่เพื่อดื่มเหล้า!ที่นี่มีเหล้าอะไรดี ๆ ก็ยกมาให้หมด ไม่ว่าจะเป็เด็กหรือผู้ใหญ่แม่นางก็ไม่มีสิทธิ์มาดูถูกพวกเราแบบนี้”
แม่นางเยว่ปรายตามองเขาด้วยแววตาเป็ประกายดั่งพระจันทร์เสี้ยว“ได้สิ...แล้วพวกเ้ามีเงินมาหรือไม่?”
ตู้โซ่วโซ่วตบไปที่หน้าอกของอันเจิง “เขามีเงิน!”
อันเจิงยิ้มเบา ๆ “พวกเรามาที่นี่เพื่อกินเนื้อส่วนเหล้านั้นไม่ต้องดีกว่า”
แม่นางเยว่รู้อยู่ก่อนแล้วว่าพวกเขาไม่น่าจะกล้าดื่มเหล้า จึงยกมือลูบคางไปมาแล้วโน้มตัวลงมาที่โต๊ะ“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอพูดอะไรสักเล็กน้อยกับพวกเ้าทั้งสองคนก่อนก็แล้วกัน พวกเ้าคงเป็เด็กหิวโซสินะทำอย่างไรดีเล่า นี่คงขโมยเงินของคนที่บ้านเพื่อมากินเนื้อที่นี่ใช่หรือไม่?ระวังไว้ให้ดีแล้วกัน หากที่บ้านของพวกเ้าจับได้ละก็ พวกเ้าต้องโดนแน่ๆ”
อันเจิงจึงตอบกลับไป “แม่นางลองตรองดูสภาพอย่างพวกเราเหมือนกับคนที่ที่บ้านมีเงินให้ขโมยอย่างนั้นหรือ?เงินที่ข้าได้มานั้น มาจากความดีความชอบของข้าเองอาจารย์ลิ่วที่สำนักข้าท่านให้มา”
แม่นางเยว่เข้าใจในสิ่งที่อันเจิงพูด “ที่เ้าพูดมามันก็มีเหตุผลอยู่ดูจากสภาพการแต่งกายของพวกเ้าก็ไม่ได้คล้ายกับพวกลูกพ่อค้าร่ำรวยอะไรถ้าเป็แบบนั้นก็ประหยัดกันหน่อย เมื่อกินกันอิ่มแล้ว เงินส่วนที่เหลือจำไว้ว่าต้องเอากลับไปให้บิดามารดาที่บ้านใช้จ่ายดูแล้วพวกเ้าคงอายุเพียงสิบกว่าปี แต่ก็ไม่น่าใช่คนที่จะไม่เข้าใจอะไร เพียงแค่หิวเท่านั้น”
“ไม่!”
ตู้โซ่วโซ่วได้ฟังเช่นนั้นก็ยิ่งรู้สึกเหมือนโดนเหยียดหยามจึงะโออกไปเสียงดัง“พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อดื่มเหล้า!”
แม่นางเยว่หันมาทางตู้โซ่วโซ่วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อยิ่งเป็แบบนี้ตู้โซ่วโซ่วยิ่งรู้สึกว่าตนเองโดนดูถูกมากขึ้นไปอีก ตอนนี้หน้าอกของเขาเริ่มขยับรุนแรงพร้อมกับลมหายใจที่ฮึดฮัดอันเจิงเห็นเช่นนั้นจึงลากตู้โซ่วโซ่วออกมาและพาเขาไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างเมื่อนั่งลงเขาก็พูดกับตู้โซ่วโซ่วเบา ๆ “เ้าเป็เพียงแค่เด็กคนหนึ่ง จะไปสนใจอะไรกับความคิดของผู้ใหญ่กันเล่า…”
ตู้โซ่วโซ่วจึงทุบโต๊ะเสียงดังปัง “ไม่ได้ข้า้าเหล้า!”
อันเจิงจึงหันหน้าไปทางแม่นางเยว่ ยิ้มเจื่อน“รบกวนแม่นาง ขอเหล้าให้พวกเราสักไหเถิด”
ตู้โซ่วโซ่วเมื่อได้ยินดังนั้นก็ทุบโต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง“แค่หนึ่งไหจะไปพออะไรกันเล่า! แบบข้าต้องสิบไห!”
แม่นางเยว่เห็นดังนั้นจึงยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นเหมือนกับดอกไม้แรกแย้มนางเดินยักย้ายส่ายสะโพกตรงไปที่ครัว หลังจากนั้นไม่นานเนื้อวัวที่ปรุงสุกใหม่ ๆและเหล้าก็มาอยู่ตรงหน้าของทั้งสองคน “เนื้อชิ้นนี้ไม่ใช่ได้มาง่าย ๆ ดังนั้นห้ามต่อรองราคาส่วนเหล้าไหนี้ข้าให้พวกเ้า ฟังไว้นะ หากมีใครบอกพวกเ้าว่าชีวิตที่เกิดมาช่างสวยงามรู้ไว้เลยว่าเมื่อโตขึ้นทุกคนล้วนแต่เป็ชายหนุ่มที่พร้อมที่จะฆ่าคน”
ในตอนนี้หน้าของตู้โซ่วโซ่วเริ่มเปลี่ยนเป็สีแดง ยังไม่ทันได้แตะเหล้าก็เมาเสียแล้วเขายกไหเหล้าขึ้นและเริ่มกรอกใส่ปาก แต่คิดไปคิดมาทำแบบนี้ก็ดูจะไม่ค่อยดี เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงรินเหล้าให้อันเจิงหนึ่งจอกจากนั้นก็เทเหล้าทั้งไหเข้าปากตัวเองคำใหญ่แล้วพลันสำลักกระอักกระไอออกมา เขากลัวว่าแม่นางเยว่จะดูแคลนตัวเองเพิ่มขึ้นไปอีกจึงฝืนยืดอกขึ้นชื่นชม“ช่างเป็เหล้าที่ดีเหลือเกิน!”
อันเจิงนึกในใจ เพื่อนข้าคนนี้คงจะต้องเสียคนเพราะผู้หญิงเป็แน่ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเ้ามันไม่อาจต้านทานหญิงงามได้เลย เขายิ้มบาง ๆ ที่มุมปากพร้อมกับยกจอกเหล้าขึ้นดื่มหลังจากนั้นั์ตาของเขาก็เปลี่ยนไป “นี่มันคงเป็เื่ของ…การรู้ผิดชอบชั่วดีแล้วละนะ!”
เมื่อแม่นางเยว่เดินหันหลังกลับไปตู้โซ่วโซ่วจึงหันมาถามอันเจิงอย่างสงสัย “การรู้ผิดชอบชั่วดีอะไรงั้นรึ?”
อันเจิงจึงหันหน้ามาคุยกับตู้โซ่วโซ่วอย่างจริงจัง“น้ำตรงหน้าของเรามันเป็เหล้า ดังนั้นร้านเหล้าคงไม่ให้เหล้าเราง่าย ๆ แน่!”
แม่นางเยว่จ้องเขม็งไปที่อันเจิง“เ้าเชื่อหรือไม่ว่า ข้าจะบิดหูของเ้า เอาไปปรุง แล้วนำไปขายเป็หูหมู”
อันเจิงยิ้มเล็กน้อย“นั่นคงจะทำให้แม่นางลำบากจนเกินไป เราน่าจะมีวิธีที่ทำให้มันง่ายกว่านั้นเช่น…ขายให้ข้าถูกกว่านี้สักหน่อย”
แม่นางเยว่รู้สึกว่าเด็กคนนี้มีอุปนิสัยและท่าทางที่ค่อนข้างพิเศษการพูดจาก็ไม่เหมือนกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน อีกทั้งนางยังรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่แฝงอยู่ภายในร่างกายของเด็กคนนี้ดังนั้นนางจึงมองอันเจิงอย่างไม่ละสายตาโดยที่ไม่รู้ตัว ทันใดนั้น ภายนอกร้านก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมเพราะเกาตี้เด็กผู้ชายที่เหลือหูเพียงข้างเดียว พร้อมกับกลุ่มเด็กอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปีกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งมาทางนี้
“ลูกพี่! ไอ้เด็กผู้ชายตัวเล็กที่นั่งข้างหน้าต่างนั่นมันตัดหูข้าทั้งยังพูดอีกว่ากลุ่มของเราเป็เพียงนักเลงกระจอก ๆ เท่านั้นดูมันพูดดูถูกลูกพี่สิ!”
อันเจิงได้ยินดังนั้นจึงกระแทกจอกเหล้าลงไปที่โต๊ะและหันไปทางเสียงนอกหน้าต่างทันที!
ดูเหมือนว่าร้านเหล้าเล็ก ๆนี้อาจจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ และมันก็คงไม่ใช่เื่ง่ายเหมือนกันที่จะได้อยู่กันอย่างสงบเดิมทีอันเจิงก็คิดที่จะพักฟื้นไปเงียบ ๆ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะเป็ไปไม่ได้เสียแล้วตอนนี้เขาคงต้องเข้าไปลุยก่อนเพื่อที่จะไม่ให้ไอ้คนพวกนี้กล้ามาก่อเื่วุ่นวายกับเขาอีก