กู้จิ่นเฉิงเดินเข้ามาด้วยความนอบน้อม พร้อมกับทำความเคารพและกล่าวว่า “ท่านเ้าดินแดนหวังบอกกับผู้น้อยว่านายท่านมีเื่จะมอบหมายให้ผู้น้อยทำจึงรีบกลับมาขอรับ หวังว่าจะไม่ทำให้ท่านต้องรอนาน”
อวี๋เคอกวาดสายตามองเขาั้แ่หัวจรดเท้า และเห็นว่าอีกฝ่ายมีกลิ่นอายของฝุ่นละอองโชยออกมาอยู่จริงๆดูเหมือนว่าคงจะรีบร้อนกลับมา จากนั้นจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แล้วกล่าวว่า “ข้าผู้นี้ไว้ใจเ้ามากมาโดยตลอดแต่ไหนแต่ไรเ้าก็ไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังเลย ไม่ว่าจะเป็เื่จัดการกิจในวังปีศาจหรือการฝึกผู้มีพร์ของหอสิงลี่เ้าก็ทุ่มเทหมดทุกเื่” เมื่อพูดถึงตรงนี้อวี๋เคอก็หยุดไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่ากู้จิ่นเฉิงดูเหมือนกำลังฟังอย่างตั้งใจจึงถามขึ้นต่อว่า “ดังนั้นข้าจึงยังมีอีกหลายเื่ที่จะมอบหมายให้เ้าไปทำเ้าจะยินดีหรือไม่? ”
กู้จิ่นเฉิงอดขำในใจไม่ได้วันนี้อวี๋เคอเกรงใจตนเองถึงเพียงนี้เชียวหรือ เขาควรจะแสดงท่าที “ประหลาดใจที่ได้รับความเมตตา” ใช่หรือไม่? เมื่อตั้งสติได้น้ำเสียงของเขาก็ลนลานมากขึ้น และเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “นายท่านไม่จำเป็ต้องพูดเช่นนี้หรอกขอรับ ทั้งหมดนี้เป็สิ่งที่ผู้น้อยควรทำอยู่แล้วดังนั้นท่านโปรดบัญชามาได้เลย ผู้น้อยจะทำอย่างสุดความสามารถขอรับ”
เดิมทีแล้วอวี๋เคอก็รู้สึกผิดพอสมควรที่มักจะรบกวนกู้จิ่นเฉิงอยู่เสมอแต่เมื่อได้เห็นท่าทางที่เต็มใจทนลำบากของเขาแบบนี้แล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และกล่าวว่า “ข้าเดาว่าเ้าคงรู้เื่ความโกลาหลที่รุนแรงขึ้นของแดนซากกระดูกใน่นี้มาบ้างแล้วโดยทั้งหมดเป็เพราะตำแหน่งเ้าดินแดนยังคงว่างอยู่เก้าดินแดนของแดนปีศาจไม่สามารถไร้ผู้ปกครองได้แม้แต่วันเดียวเ้าก็รู้ว่าเผ่าปีศาจมักจะให้ความสำคัญกับผู้แข็งแกร่งเสมอข้าผู้นี้จึง้าที่จะจัดเวทีประลองที่แดนซากกระดูกในวันที่ห้าเดือนสิบ่เสียวเสวี่ยและเชิญเ้าดินแดนอีกแปดคนมาชมการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย ผู้แข็งแกร่งที่สุดบนสังเวียนจะได้รับตำแหน่งเ้าดินแดนนี้ไป”
เมื่ออวี๋เคอพูดประโยคเหล่านี้จบลงก็ชำเลืองมองไปยังกู้จิ่นเฉิงจึงได้เห็นว่าคนผู้นี้เหม่อลอยจนจิตใจไม่ค่อยอยู่กับตัว เขาจึงกระแอมไอเบาๆเพื่อดึงสติของกู้จิ่นเฉิงกลับมา แล้วเอ่ยถามว่า “ข้าผู้นี้อยากให้เ้าเลือกผู้มีพร์ที่ล้ำเลิศที่สุดในหอสิงลี่มาประลองบนเวทีเพื่อคว้าตำแหน่งเ้าดินแดนเ้าทำได้หรือไม่? ”
มุมปากของกู้จิ่นเฉิงยกขึ้นเป็องศาที่แทบจะไม่สังเกตเห็นแต่ดวงตาของเขากลับทอประกายความเ็าออกมา จากนั้นจึงรีบโค้งคำนับอวี๋เคอเพื่อก้มหน้าลงปกปิดสีหน้าของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจังว่า “นายท่านโปรดวางใจตำแหน่งเ้าดินแดนของแดนซากกระดูกนี้จะต้องเป็ของศิษย์คนใดคนหนึ่งของหอสิงลี่อย่างแน่นอนขอรับ”
สัญชาตญาณของสัตว์เทพนั้นสามารถััได้ว่องไวเสมอเมื่อครู่จู่ๆ อาจิ่วก็รู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลังเขามองไปยังกู้จิ่นเฉิงที่กำลังยืนอยู่ใต้พระที่นั่งด้วยความสงสัยอาจิ่วเอนตัวซุกเข้าไปในอ้อมกอดของอวี๋เคอมองสีหน้าที่เป็ปกติของอวี๋เคอแล้วสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาบางทีตนเองอาจจะเข้าใจผิดก็ได้
“เมื่อเ้าพูดเช่นนี้ ข้าผู้นี้ก็วางใจแล้ว” อวี๋เคอไม่สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ของอาจิ่วเลยด้วยซ้ำเมื่อเขาได้แสดงระดับความพึงพอใจที่มีต่อกู้จิ่นเฉิงอย่างชัดเจนแล้วจากนั้นจึงพูดต่อว่า “่นี้ข้ากับอาจิ่วจะออกไปทะเวนสักหน่อยแล้วจะรีบกลับมาใน่ต้นฤดูหนาว ฝากเ้าดูแลแดนปีศาจแห่งนี้ชั่วคราวแล้วกันนะและหวังว่าเ้าจะไม่ก่อความวุ่นวายเหมือนตอนริมฝั่งแม่น้ำแห่ง์ครั้งก่อนอีก”
“นายท่านวางใจเถิด ผู้น้อยจะไม่ทำผิดพลาดแบบเดิมอีกขอรับ”
หลังจากที่เดินไปส่งกู้จิ่นเฉิงแล้วอวี๋เคอก็เริ่มคิดว่าตนเองจะปรากฏตัวต่อหน้าซ่งฉียวนด้วยรูปลักษณ์แบบไหนแน่นอนว่าไม่อาจสวมหน้ากากที่ดูสะดุดตาชิ้นนั้นได้อีกต่อไป แถมยังต้องหาวิธีหลบเลี่ยงการลาดตระเวนของศิษย์สำนักฉิงชางและการตรวจจับจิตสำนึกเป็ระยะๆของเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าในูเาเ่าั้อีกด้วย นี่นับว่าไม่ใช่เื่ง่ายเลย
แต่ตอนที่ตนคุยกับอาจิ่วกลับสังเกตเห็นว่าอาจิ่วดูไม่ค่อยร่าเริงนัก เมื่อถามว่าเป็อะไรเขาก็ไม่ยอมพูดเอาแต่ซุกตัวหลับอยู่ในอ้อมกอดของตนอยู่นานแล้ว ทำเอาอวี๋เคอจับทางไม่ถูกเลย จึงทำได้เพียงใช้ข้ออ้างเื่อารมณ์แปรปรวนของวัยรุ่นมาปลอบประโลมหัวใจที่ได้รับาเ็ของคนแก่อย่างตนเองเท่านั้น
ในเมื่อมอบหมายงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้วอวี๋เคอกับอาจิ่วจึงออกเดินทางได้อย่างเบาใจขึ้นมากครั้งนี้ทั้งสองคนไม่แม้แต่จะนั่งรถเหมือนอย่างที่ผ่านมาเลยด้วยซ้ำเห็นได้ชัดว่าไม่สบอารมณ์กับการที่สิงโตตัวนั้นลากรถช้าเกินไปตอนแรกอาจิ่วอยากให้อวี๋เคอนั่งบนหลังของเขา แต่ถูกอีกฝ่ายบังคับกดลงไปให้เกาะอยู่บนไหล่พร้อมกับลูบศีรษะปุกปุยไปมา จากนั้นอวี๋เคอก็ใช้คาถาอำพรางเพื่อเหาะข้ามแม่น้ำแห่ง์ไปด้วยตัวเองและมุ่งหน้าไปที่สำนักฉิงชางโดยไม่หยุดพักระหว่างทางเลย
เดิมทีเวลาในการเดินทางครั้งนี้ก็เร่งรัดอยู่แล้วหากไม่รีบหน่อย เกรงว่าเมื่อไปถึงสำนักฉิงชางและยังไม่ทันได้ขึ้นเขาคนในสำนักก็คงได้สู้กันจนจบเสียก่อน แล้วพวกเขาก็คงจะไม่ได้เห็นอะไรเลย
ด้วยเหตุนี้ อวี๋เคอจึงเดินทางมาถึงตีนเขาของสำนักฉิงชางโดยใช้เวลาไม่ถึงสามวันครั้งนี้เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะขึ้นเขาไป เพราะเขารู้ว่า สืบเนื่องจากเหตุผลในการคัดเลือกศิษย์เข้าสำนักของสำนักฉิงชางก่อนหน้านี้ ทางสำนักจึงไม่ได้สร้างม่านพลังคุ้มกันเอาไว้นอกูเาแต่ตอนนี้การทดสอบเพื่อเข้าสู่สำนักได้สิ้นสุดลงไปเป็เวลาครึ่งปีแล้วดังนั้นม่านพลังรอบนอกูเานี้น่าจะถูกร่ายคลุมเอาไว้แล้ว หากตนรีบเข้าไปจะต้องเปิดเผยตัวตนออกมาอย่างแน่นอน
หากจำไม่ผิด ในเวลานี้อาจจะมีศิษย์จากสำนักฉิงชางออกมาลาดตระเวนบริเวณรอบูเาเมื่อคิดได้ดังนี้ อวี๋เคอจึงพรางตัว และหลบซ่อนอยู่ที่ตีนเขาอย่างเงียบๆเมื่อผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามก็มีศิษย์ชุดขาวสามสี่คนเดินลงมาจากูเาตามที่คาดไว้พวกเขาเดินตรงมาที่ตีนเขาพร้อมกับหัวเราะและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
เมื่ออวี๋เคอเห็นศิษย์ที่ลาดตระเวนที่ตีนูเามีสี่คนก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาตอนแรกเขาอยากจะตีคนคนหนึ่งให้สลบไป และปลอมตัวเป็คนผู้นั้นเพื่อนำเหรียญตรามาแล้วผนึกพลังปราณของตนเข้าไปก็จะสามารถจับปลาในน้ำขุ่น [1] จนเข้าไปในสำนักฉิงชางได้ตอนนี้เมื่อเห็นท่าว่าศิษย์ทั้งสี่คนนี้ดูเหมือนจะไม่แยกจากกัน มันจึงไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่จะลงมือ
“นายท่าน ท่านทำการเคลื่อนไหวบางอย่างเพื่อทำให้พวกเขาใได้นะขอรับ” อาจิ่วรู้ถึงความกังวลของอวี๋เคอ จึงกระซิบออกความเห็นว่า “หากข้ากับท่านสร้างความวุ่นวายไปรอบทิศทาง ก็น่าจะทำให้คนพวกนี้แตกกระจายกันออกไปได้นะขอรับ!”
อวี๋เคอพยักหน้าแม้จะรู้สึกว่าวิธีนี้อาจจะดูไม่น่าเชื่อถือไปบ้าง แต่อย่างไรก็ต้องลองดู “ได้เช่นนั้นเ้าก็ล่อไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือส่วนข้าผู้นี้จะล่อไปทางตะวันออกเฉียงใต้”
“เข้าใจแล้วขอรับ” ท่าทีที่ราวกับได้รับคำสั่งจากหัวหน้าของอาจิ่วทำให้อวี๋เคอหัวเราะ เขาลูบขนบนศีรษะของเ้าตัวเล็กแล้วยิ้มดุว่า “ในที่สุดเด็กผู้นี้เช่นเ้าก็กลับมาเป็ปกติแล้ว”
อาจิ่วเบ้ปากไปมา แล้วกล่าวว่า “นายท่านก่อนหน้านี้ข้าคิดมากไปเอง ท่านไม่ต้องเป็ห่วงแล้วขอรับ! ” ขณะพูดก็หลบฝ่ามือปีศาจของอวี๋เคอที่กำลังขยี้ขนเขาไปด้วย ก่อนจะเอ่ยอย่างโมโหว่า “อีกไม่นานอาจิ่วต้องถูกท่านลูบจนเป็หงส์เพลิงขนทู่ตัวแรกแน่! ”
อวี๋เคอดึงมือกลับ ในที่สุดก็เริ่มจริงจังขึ้นมาและพูดเบาๆ ว่า “เริ่มเลย”
สิ้นคำพูดของเขา ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฟ้าผ่ากลางอากาศจากสี่ทิศทางรอบตัวคนเ่าั้จากนั้นเสียงสั่นไหวจากพงหญ้าก็ดังขึ้น ราวกับว่ามีคนหรือสัตว์อสูรกำลังวิ่งเข้ามาจากที่ไกลๆทำให้หัวใจของทั้งสี่คนสั่นสะท้าน พวกเขาหยุดพูด และหันหลังชนกันมือจับกระบี่ที่ห้อยอยู่ตรงเอวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย พร้อมกับบรรยากาศรอบตัวที่เริ่มตึงเครียดขึ้น
“ใคร? ” คนคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ไม่มีใครตอบ
เสียงเ่าั้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องพวกเขามองหน้ากันไปมา จนคนที่ดูเหมือนจะมีตำแหน่งสูงกว่าหน่อยในหมู่ทั้งสี่คนพูดขึ้นว่า “ข้าเดาว่าน่าจะเป็เสียงเคลื่อนไหวของสัตว์อสูรตัวเล็กๆที่ก่อเื่ขึ้นมาเพื่อข่มขู่ผู้คน ศิษย์น้องทั้งหลายไม่ต้องตื่นตระหนกพวกเ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะไปสืบหาความจริงเอง”
หืม? อวี๋เคอหัวเราะร่าในใจไปชั่วครู่เมื่อได้ยินคำพูดนี้แม้ว่าจะไม่ได้ล่อให้พวกเขาแยกกันออกไป แต่อย่างน้อยก็มีคนหนึ่งที่เดินออกมาตัวคนเดียวทีนี้ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลจากเขาแล้ว
ศิษย์ผู้นั้นบังเอิญเดินมาทางที่อวี๋เคออยู่อย่างพอดิบพอดีอวี๋เคอจึงแอบย่องตามหลังเขาไป จนกระทั่งถึงตอนที่มองไม่เห็นคนทั้งสามที่อยู่ไกลออกไปแล้วจึงได้หยุดสร้างความเคลื่อนไหว จากนั้นก็ลงมืออย่างอุกอาจ โดยการเดินเข้าไปแล้วใช้ฝ่ามือกระแทกไปที่ท้ายทอยของชายคนนั้นจากนั้นก็หยิบยาที่จะทำให้เขานอนหลับไปหลายวันออกมาจากในแหวนหยกและป้อนมันเข้าไปในปากของเขา
จากนั้นจึงรีบถอดเสื้อผ้าของชายคนนี้ออกด้วยความว่องไวและคว้าป้ายที่มีปราณิญญาที่สลักชื่อเอาไว้ที่เอวของเขาออกมาจากนั้นอวี๋เคอก็หยิบหน้ากากหนังมนุษย์ที่ตนหามาได้ออกมาจากแหวนหยกอีกครั้งก่อนจะร่ายเวทให้มีรูปหน้าตามหน้าตาของศิษย์คนนี้ทั้งหมด แล้วสวมมันลงบนใบหน้าทันใดนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็คนที่กำลังนอนอยู่บนพื้นทุกประการ
หลังจากทำทั้งหมดนี้จนเสร็จสรรพ อวี๋เคอก็นำร่างของศิษย์ผู้นั้นไปซ่อนไว้ในที่ลับตาคนและร่ายคาถาอำพรางให้กับเขา เพราะหากสัตว์อสูรบนูเากินเขาเข้าไป นั่นก็เท่ากับเป็การทำลายชีวิตคนคนหนึ่งตนไม่สามารถทำเื่ไร้คุณธรรมเช่นนี้ได้
“นายท่าน! ข้าจะทำอย่างไรดี? ” อาจิ่วมองอวี๋เคอที่มีหน้าตาเปลี่ยนไปเป็ที่เรียบร้อยแล้วก่อนจะมองมาที่ตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจไปชั่วขณะ
อวี๋เคอกวาดสายตามองอาจิ่วั้แ่หัวจรดเท้าก่อนจับขนที่เรียงเรียบของอาจิ่วให้ตั้งขึ้น จากนั้นก็ยิ้มและกล่าวว่า “ข้าผู้นี้มีวิธีของข้าแล้ว”
ผ่านไปครู่ใหญ่เมื่อทั้งสามคนเห็นศิษย์พี่ของตนอีกครั้งพวกเขากลับเห็นศิษย์พี่กำลังอุ้มนกกระจอกิญญาตัวน้อยตัวหนึ่งที่ได้รับาเ็อยู่ในมือซึ่งกำลังนอนฟุบอยู่อย่างน่ารักและน่าสงสาร
“ใกันไปหมดที่แท้ก็เป็เพียงนกกระจอกิญญาน้อยตัวหนึ่งที่ได้รับาเ็และกระพือปีกไปรอบทิศนี่เองพวกเ้าก็ลาดตระเวนรอบูเาอยู่ที่นี่ต่อไปแล้วกัน เดี๋ยวข้าจะพานกกระจอกิญญาตัวนี้ขึ้นเขาไปรักษาก่อน” คำพูดนี้ฟังดูสมเหตุสมผล ทั้งสามคนจึงพยักหน้าไปมาจากนั้นก็เห็นศิษย์พี่ของพวกเขาอุ้มนกกระจอกิญญาตัวน้อยขึ้นเขาไปอย่างระมัดระวัง
รู้สึกว่าศิษย์พี่ในวันนี้ใจดีมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน...
......
เชิงอรรถ
[1] จับปลาในน้ำขุ่น หมายถึงฉวยโอกาสหรือหาผลประโยชน์ขณะเกิดเหตุการณ์ชุลมุน