คำพูดของหลิ่วอีอีทำให้ตากล้องสังเกตเห็นสีหน้าของเด็กฝึกงานที่ผิดแปลกไป เขาจึงพักการถ่ายภาพเพื่อปล่อยให้ทั้งสามคุยกันก่อน
เมื่อจ้าวฉินเสวียเห็นผู้ดูแลเดินออกไป เธอวางแผ่นสะท้อนแสงอย่างรวดเร็ว และส่งรอยยิ้มบิดเบี้ยวให้ทั้งสอง
เธอรู้สึกอายจนไม่รู้จะพูดอะไร ทำได้เพียงยืนส่งยิ้มให้ทั้งสองเท่านั้น
หลิ่วอีอีในชุดกี่เพ้าสวยเด่นเป็สง่าเป็ฝ่ายยิงคำขาดก่อน
"จ้าวฉินเสวีย มาแนะนำตัวกันใหม่นะ ฉันหลิ่วอีอี เป็รองแค่ดาวมหาลัยอย่างเธอ มีสถานะเป็ทั้งเพื่อนร่วมชั้นและคนที่แอบชอบเขาตลอดสามปีในการเรียนมหาลัย น่าเสียดายที่เขาตกหลุมรักเธอก่อน เขาถึงได้ทุ่มเทตามจีบเธอเป็บ้าเป็หลังตั้งสามปีติด แต่สุดท้ายกลับถูกเธอและเพื่อนสนิทของเขาสวมเขา แต่ฉันก็ต้องขอบคุณเธอนะ ถ้าวันนั้นเธอไม่ทิ้งเขา ความรักของฉันคงไม่มีทางสมหวัง และไม่มีโอกาสได้จดทะเบียนวันนี้หรอก"
เฉินเฟิงฟังสิ่งที่หลิ่วอีอีพูดกับจ้าวฉินเสวียแล้วรู้สึกหดหู่ใจ
ภรรยาคนนี้ตรงไปตรงมาเกินไปไหม ทำไมกล้าเอาเื่น่าอายขนาดนี้ออกมาพูดกลางสำนักงานจดทะเบียน
เฉินเฟิงทนไม่ไหวจึงต้องรีบขัด
"อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ปล่อยมันผ่านๆ ไป เรารีบไปถ่ายรูปกันเถอะนะ"
ได้ยินดังนั้น หลิ่วอีอีก็พูดกับจ้าวฉินเสวียด้วยน้ำเสียงเ็า
"ในเมื่อเธอมาฝึกงานที่นี่แล้ว งั้นก็ช่วยถ่ายรูปพวกเราให้มันดีๆ หน่อย เพราะรูปถ่ายใบนี้มีความหมายสำหรับพวกเราทั้งสามมาก"
จ้าวฉินเสวียไม่พูดอะไร แค่เดินไปจัดกล้องแล้วปรับโฟกัสด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เฉินเฟิงเห็นว่าจ้าวฉินเสวียไม่โต้ตอบหรือแก้ตัวใดๆ ก็แอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาคิดว่า ตัวเองควรจะลบเลือนจ้าวฉินเสวียให้หายจากใจไปให้หมดเสียที
หลังจากนี้เขาจะตั้งใจดูแลหลิ่วอีอี ภรรยาที่แอบชอบเขามานานสามปีคนนี้ให้ดี
ไม่งั้นเื่จะกลายเป็ว่าเขาจดทะเบียนกับหญิงอื่นในขณะที่ยังไม่ลืมเลือนหญิงเก่า?
แต่!
ความเป็จริงไม่เป็ไปดั่งที่ตั้งใจไว้ ผู้หญิงคนนี้ที่เขาตามตื๊อมาสามปี ลืมไม่ง่ายเลย...
เพราะเฉินเฟิงไม่ได้ย้อนกลับมาแค่ความทรงจำ แต่อารมณ์ความรู้สึกยังคงติดค้างอยู่
ถ้าเป็เฉินเฟิงจากชาติที่แล้วก่อนจะย้อนกลับมา ความรู้สึกโกรธเกลียดที่มีต่อจ้าวฉินเสวียได้เลือนหายไปตามกาลเวลาเป็ที่เรียบร้อย
แต่หลังจากเกิดใหม่ ความเกลียดชังนั้นกลับปะทุขึ้นใหม่ หลังจากได้ฉีกหน้าเธอ เขารู้สึกราวกับได้ชำระความแค้นที่ยาวนานถึงสองชาติ
เมื่อความแค้นหายไป ก็เหลือไว้เพียงความเสียใจจากความรักที่ไม่สมหวัง
การได้เดินเข้าประตูวิวาห์กับรักแรกอาจเป็ความฝันของใครหลายคน
น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ก็มีรักแรกไม่กี่คู่ที่จะสุขสมหวัง
รักแรกส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะประคองไปนานเท่าใด จะหนึ่งเดือน สองเดือน ยาวนานเป็ปีหรือสองปี สุดท้ายก็แยกทางกัน
เมื่อเห็นจ้าวฉินเสวียนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา และตระเตรียมกล้องอย่างว่าง่าย หลิ่วอีอีจึงไม่พูดอะไรอีก
หลังจากนั้น เฉินเฟิงก็โอบเอวบางของหลิ่วอีอีอย่างใกล้ชิด ใบหน้าของทั้งคู่ขยับเข้าหากัน ทั้งสองส่งรอยยิ้มเจิดจ้าให้จ้าวฉินเสวียถ่ายรูป
ตืด
แม้ว่าจ้าวฉินเสวียจะไม่เคยศึกษาเกี่ยวกับกล้องมาก่อน แต่พี่ตากล้องก็ปรับโฟกัสไว้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นเฉินเฟิงและหลิวอีอีส่งยิ้มให้กันอย่างหวานชื่น เธอก็ถ่ายรูปงานแต่งงานของพวกเขาด้วยความรู้สึกเสียดาย
มาถึงตอนนี้ จ้าวฉินเสวียถูกฮูอวี่เขี่ยทิ้ง เฉินเฟิงก็ไม่ไยดีเธอ
เธอทำได้แค่ฝึกงานอย่างขยันขันแข็ง มุ่งมั่นให้ได้งานที่นี่อย่างเป็ทางการหลังจบปีสี่ เพื่อให้ได้อาชีพมั่นคง
แล้วเดี๋ยวเธอค่อยหาผู้ชายซื่อสัตย์คนใหม่สักคนก็ได้
"เสร็จแล้วค่ะ... รูปถ่ายออกดูดีเลย กรุณารอสักครู่นะคะ การล้างรูปต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง"
จ้าวฉินเสวียค่อยๆ ปล่อยวางความรู้สึก พยายามทำตัวให้เป็มืออาชีพ
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินเฟิงและหลิ่วอีอีก็ไปนั่งรอที่โซนพักผ่อน ส่วนจ้าวฉินเสวียก็ยังคงอยู่ที่สตูดิโอโดยไม่อะไรทำ
"ที่รัก บริษัทเรา้าพนักงานหน้าตาดีๆ สักคน คิดว่าให้จ้าวฉินเสวียมารับหน้าที่ตรงนี้ดีไหม?"
หลิ่วอีอีพูดกับเฉินเฟิงหลังจากนั่งลงที่โซนพักผ่อน
เฉินเฟิงได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งใ เขาถามกลับด้วยความเหลือเชื่อ
"เธอไม่รังเกียจเหรอ?"
หลิ่วอีอียิ้มตอบอย่างสดใส
"จะรังเกียจเื่อะไร ตามจีบสามปีไม่ได้ทำอะไรกันสักหน่อย นู้น ดูจางหลิงเจี๋ยกับหลินชิวหยุนดีกว่า ตอนนี้นายให้พวกเธอสองคนบริหารโรงแรม ส่วนฉันจัดการร้านอาหาร แบบนี้บริษัทก็ยังขาดคนอยู่ งั้นให้จ้าวฉินเสวียมาเป็พนักงานต้อนรับก็ดีแล้ว ทั้งประหยัดค่าใช้จ่าย แถมเธอก็สวยมาก เหมาะกับการเป็พนักงานต้อนรับขนาดนั้น ทำไมจะไม่เอาล่ะ"
เมื่อเฉินเฟิงฟังการวิเคราะห์ของหลิ่วอีอีแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามีเหตุผลดี
จ้าวฉินเสวียเรียนนิเทศหลักสูตรการแสดงและสื่อภาพยนตร์ การฝึกงานที่นี่ไม่ใช่ความคิดที่ดี
นอกจากตัวเฉินเฟิงยัง้าเปิดบริษัทสื่อบันเทิง ภาพยนตร์ในเครือเฟิงฮวาเจว๋ต้ายด้วย
ท้ายที่สุดแล้ว บริษัทต่างๆ ทั้งเฉียนต๋ากรุ๊ป อาลีมามา เพนกวินชิวชิว ต่างก้าวเข้าสู่ธุรกิจบันเทิงภาพยนตร์ด้วยกันทั้งสิ้น
ถึงเวลานั้น เขาก็สามารถเซ็นสัญญากับจ้าวฉินเสวียและส่งเธอไปโลดแล่นในวงการบันเทิงเพื่อหาเงินให้กับบริษัทได้
ถือว่าเป็การชดเชยที่เฉินเฟิงเคยอดออมเพื่อตามเอาใจเธอ
"ตกลงตามนั้น งั้นตอนที่พวกเราไปรับรูป เธอก็ไปคุยกับจ้าวฉินเสวียเอานะ ฉันจะเปิดบริษัทภาพยนตร์แล้วดันเธอเข้าวงการบันเทิง ใช้เธอทำเงินให้บริษัท ขูดรีดเธอให้หมดทุกหยด!"
เฉินเฟิงที่เห็นด้วยกับความคิดของหลิ่วอีอีให้ความเห็นราวกับเป็เ้าสัวนายทุนตัวจริง
หลิ่วอีอีถามด้วยความใ
"ฉันแค่อยากให้เธอมาเป็พนักงานต้อนรับ จะได้จับตาดูเธอได้ คิดไม่ถึงว่านายจะวางแผนดันเธอเข้าวงการ"
เฉินเฟิงยิ้มรับ
"อุตสาหกรรมด้านความบันเทิงก็เป็อุตสาหกรรมที่ทำเงินได้ดี อนาคตข้างหน้าเฉียนต๋ากรุ๊ปเองก็จะเข้าสู่วงการบันเทิง เฟิงฮวาเจว๋ต้ายของเราต้องรีบบุกเบิกอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวงการบันเทิงเพื่อชิงตำแหน่งผู้นำวงการ! ฉันไม่ได้เปิดบริษัทเพราะชอบจ้าวฉินเสวีย แต่ฉันเปิดบริษัทเพื่อขูดรีดเธอให้ได้มากที่สุดต่างหาก เพราะฉันเคยใช้เงินที่พ่อแม่หามาอย่างยากลำบากเพื่อเอาใจเธอ ถ้าไม่รีดเงินคืนสักหน่อย ฉันต้องรู้สึกผิดต่อพ่อแม่ไปตลอดชีวิตแน่"
หลังจากฟังคำอธิบายโดยละเอียดของเฉินเฟิง หลิ่วอีอีก็ยิ้มอย่างสดใส
"ถ้างั้นก็ได้ งั้นนายให้ฉันเป็คนจัดการบริษัทด้านอุตสาหกรรมความบันเทิงนะ ฉันจะรีดให้หมดจนแห้งเหือดเลย เป็ดาวมหาลัยแล้วจะทำไม ยังไงก็ถูกพวกเราใช้ทำเงินจนหยดสุดท้ายอยู่ดี"
หลิ่วอีอีเผยให้เห็นถึงความเป็จ้าวแผนการ ซึ่งเป็ด้านที่เฉินเฟิงไม่เคยเห็นมาก่อน
ดังนั้น เฉินเฟิงจึงจูบริมฝีปากสีแดงสดของหลิ่วอีอีด้วยความดูดดื่ม
แต่ฉากนี้กลับถูกจ้าวฉินเสวียเห็นเข้าพอดี!
