เยว่เยียนเยียนที่เหนื่อยเหมือนจะตายเสียให้ได้นิ่วใบหน้าเล็ก นางนั่งลงบนธรณีประตูข้างกายเหยียนเฟยอย่างไม่ได้รับความเป็ธรรม ในมือยังถือหญ้าแห้งอะไรสักอย่างก้านหนึ่งที่ไม่รู้ไปคว้ามาจากไหนเอาไว้ แกว่งไปมาไม่หยุด บนใบหน้านั้นไร้ซึ่งความเกลี้ยงเกลาดั่งในยามปกติไปนานแล้ว แต่เปื้อนคราบเขม่าอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งตัวนางมอมแมมคลุกไปด้วยฝุ่นขี้เถ้า
“เ้ายังจะว่าข้าอีกหรือ หากไม่ใช่เพราะเ้าดึงดันจะเข้าครัวจนส่งผลกระทบต่อข้า ข้าจะเสียจังหวะถึงขนาดนี้ได้หรือ?!”
น้ำเสียงของเยว่เยียนเยียนอ่อนหวานนุ่มนวล เคล้าไปด้วยความน้อยใจและกล่าวโทษอีกฝ่าย ฟังดูแล้วช่างทำให้ปวดใจยิ่งนัก เพียงแต่น่าเสียดายที่เหยียนเฟยนั้นเป็ผู้ชายทึ่มๆ ที่แข็งทื่อเหมือนหิน จึงไม่อ่อนไหวง่ายๆ
“ถุย เ้ายังตบอกว่าจะทำซี่โครงเปรี้ยวหวานอยู่เลยนี่? สุดท้ายซี่โครงเปรี้ยวหวานของข้ายังไม่ทันได้ ก็เกือบจะได้ห้องครัวย่างถ่านแทนแล้วนะลูกพี่ เ้าว่ารอจนตาแก่เฉินไฮว่ชิงนั่นกลับมา แล้วจะอธิบายกับเขาอย่างไร? หืม?”
เมื่อเผชิญหน้ากับการบีบคั้นอย่างงี่เง่าไร้เหตุผลของเหยียนเฟย เยว่เยียนเยียนจึงเลือกที่จะปิดปากอย่างรู้จักอ่านสถานการณ์ อย่างไรถึงทะเลาะไปก็คงไม่ชนะเหยียนเฟย แล้วมีความจำเป็อะไรต้องไปเปลืองน้ำลายกับเขาด้วย?
ทว่าในใจของเยว่เยียนเยียนนั้น ก็ยังมีความรู้สึกตะขิดตะขวงอยู่ไม่น้อยเลย แม้ก่อนนี้ตนจะทำเป็แค่น้ำแกงใสผักกาดขาว แต่อย่างไรก็ยังสามารถต้มผักกาดขาวสุกได้ไม่ใช่หรือ? นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ตนไม่มีทางเผาห้องครัวอย่างแน่นอน!
ดังนั้นหากสืบสาวหาตอ เื่ที่ห้องครัวไฟไหม้ในครั้งนี้ แปดเก้าส่วนก็ต้องเป็ความรับผิดชอบของเหยียนเฟย หากไม่ใช่เพราะเหยียนเฟยอยากจะกินของที่วุ่นวายขนาดนั้น ตนจะฝืนทำของที่เดิมทีก็ไม่ถนัดเลยทำไมกัน? หากไม่ใช่เพราะเยว่เยียนเยียนถูกเหยียนเฟยบีบบังคับให้ฝืนทำของที่ตัวเองไม่ถนัด เช่นนั้นห้องครัวก็คงไม่ถูกไฟเผาหรอก!
เมื่อคิดเช่นนั้น เยว่เยียนเยียนก็ส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอเล็กน้อย แล้วสะบัดหน้าหนีไม่มองเหยียนเฟย แต่เสียงกลับลอยละล่องไปทางเหยียนเฟยอย่างชัดเจน “อธิบาย? อย่างไรคำอธิบายนี้ก็ไม่ต้องให้ข้าเป็คนพูดหรอก ใครออกความคิด คนนั้นก็ไปอธิบายสิ ฮึ!”
“ข้าไม่ชอบคำพูดเ้าเอาเสียเลย อะไรคือใครออกความคิดคนนั้นก็ไปอธิบาย?” เหยียนเฟยตบต้นขาด้วยความโมโห ก่อนจะยืนขึ้นมาตำหนิเยว่เยียนเยียน “ข้าจะบอกเ้าให้นะเยว่เยียนเยียน เ้าอย่าหาว่าข้าเป็ผู้ชายใจแคบล่ะ แต่พวกเราก็ไม่ต่างกัน เื่นี้เราสองคนล้วนมีส่วนต้องรับผิดชอบใช่หรือไม่ หืม? ใช่หรือไม่?”
เหยียนเฟยตบมือพลางแจกแจงกับเยว่เยียนเยียนไปทีละข้อ ต้องพูดเื่นี้ให้ชัดเจนว่ามันไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขาเพียงผู้เดียว แต่เ้าตัวเยว่เยียนเยียนน่ะหรือ? แต่เดิมก็อุดหูไม่อยากจะฟัง ทั้งยังลุกขึ้นมากระทืบเท้าโต้แย้งกับเหยียนเฟยอย่างเอาแต่ใจ “ข้าไม่ฟังๆ ! ข้าไม่สน ไม่ว่าอย่างไรเื่นี้เ้าก็ต้องไปอธิบาย”
......
ช่างเถอะ สิ่งที่นักปราชญ์ขงจื่อกล่าวไว้เดิมทีก็สมเหตุสมผล ผู้ที่คบหาด้วยยาก มีเพียงสตรีและคนถ่อย!!!
เหยียนเฟยในยามนี้ได้เริ่มนึกเสียใจขึ้นมาแล้วจริงๆ ที่ตอนเด็กตนเอาแต่รำกระบี่ควงหอก จนไม่มีเวลาไปศึกษาความรู้บ้างเลย หากว่ามีความสามารถอย่างนักปราชญ์ขงจื่อสักเล็กน้อย อย่าว่าแต่สามารถชนะหญิงสาวที่กระทืบปึงปังไม่ฟังเหตุผลตรงหน้าผู้นี้ได้เลย บางทีอาจจะสามารถฝึกฝนจนเป็ผู้เชี่ยวชาญ สามารถทำาสามร้อยเพลงรบกับนางอย่างสงบนิ่งเลยก็ได้…
แต่ตอนนี้มันทำไม่ได้!
เหตุผลที่สำคัญที่สุดเลยก็คือเพราะเหยียนเฟยหิวเกินไป หิวจนหน้ามืดตาลาย ไม่มีกะจิตกะใจจะเถียงกับเยว่เยียนเยียนแล้วว่าใครถูกใครผิดกันแน่
“ก็ได้ เป็ความผิดข้า ข้าจะอธิบายเอง! พักรบ!” เหยียนเฟยยื่นสองมือไปข้างหน้า แล้วทำท่าทางเป็รูป ‘x’ สื่อความหมายว่าตนยอมแพ้ การต่อสู้ครั้งนี้เลิกรากันไปได้แล้ว
ยามนี้เยว่เยียนเยียนเองก็นับว่าเหนื่อยล้าทั้งกายใจปากลิ้นแห้งผากไม่อยากจะพูดว่า ‘ข้าไม่ฟัง’ ต่ออีกแล้ว ประจวบเหมาะกับที่เหยียนเฟยยอมแพ้พอดี หากตนหยุดลงตอนนี้ ก็ยังไม่นับว่าเสียหน้าเท่าไรนัก ด้วยเหตุนี้นางจึงยกสองมือกอดอก พยักหน้าอย่างลำพองใจ “เช่นนั้นก็ดี อย่างไรเ้าก็เป็ฝ่ายผิด”
เหยียนเฟยที่ดูเหมือนจะยอมรับชะตากรรมแล้วความจริงกำลังดีดลูกคิดคำนวณอยู่ในใจไม่น้อย อย่างเช่น เขาเล็งเงินห่อนั้นที่ซ่อนอยู่ในอกของเยว่เยียนเยียนตาเป็มันมานานมาก… นานมากๆ แล้ว…
“เอาเถอะ คุณหนูใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว” เหยียนเฟยกะพริบตาปริบๆ ให้เยว่เยียนเยียนอย่างน่าเอ็นดู พูดสองสามคำก็ล่อลวงเยว่เยียนเยียนให้อารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว “แต่ในเมื่อเ้าอยากให้ข้าอธิบายกับตาแก่เฉินไฮว่ชิงนั่น เช่นนั้นเ้าก็ต้องฟังคำแนะนำของข้าสักหน่อยไม่ใช่หรือ?”
เยว่เยียนเยียนเอาแต่พยักหน้าตามคำพูดของเหยียนเฟยโดยไม่ทันได้หยุดคิด ก่อนจะได้สติกลับมาในฉับพลัน และรู้สึกว่ามีอะไรไม่ค่อยถูกต้องนัก “ไม่ถูกสิ! ทำไมข้าต้องฟังคำแนะนำของเ้าด้วยล่ะ? ข้าไม่ฟังหรอก ฮึ!”
“ไม่ๆ ๆ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ความหมายของข้าก็คือ...” เหยียนเฟยอดกลั้นความโมโห แล้วค่อยๆ ดำเนิน ‘แผนตะล่อมให้ดีใจ’ ของตนไปทีละก้าว น้ำเสียงนั้นไม่ต้องพูดถึงเลยว่าอ่อนโยนเพียงใด การขอร้องให้คนช่วยอย่างแท้จริงนั้นคือการโอนอ่อนให้เกียรติ คำพูดร้ายกาจใดล้วนไม่กล้าพูดออกมา “ข้าจะบอกว่า ในเมื่อเราเผาห้องครัวของเฉินไฮว่ชิงแล้ว... เช่นนั้นพวกเราก็ควรจะซ่อมแซมให้เขาสักหน่อยไม่ใช่หรือ? ถึงเวลาเฉินไฮว่ชิงกลับมาเห็นสภาพในห้องครัวเละเทะ ถ้าเขาโมโหจนเป็ลมล้มพับไปกะทันหันอย่างจะทำอย่างไร?”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เยว่เยียนเยียนนั้นเกือบจะถูกเหยียนเฟยจอมปลิ้นปล้อนผู้นี้ล้างสมองเข้าแล้วจริงๆ นางขมวดคิ้วราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้าแล้วเอ่ย “ที่เ้าพูดก็เหมือนจะมีเหตุผลนะ… เช่นนั้นเ้าคิดว่าจะซ่อมแซมห้องครัวให้อาจารย์อย่างไรดี? ข้าจำได้ว่าพวกเราเผามันไปเกือบหมดแล้ว คงซ่อมแซมได้ไม่ง่ายนัก...”
ทางเยว่เยียนเยียนนั้น นางกังวลเกี่ยวกับห้องครัวของตนกับเฉินไฮว่ชิงอย่างจริงใจ แต่เหยียนเฟยไม่เหมือนกัน เหยียนเฟยเพียงกังวลปากท้องของตนเองเท่านั้น
“นั่นง่ายดายมาก! ก่อนตาแก่เฉินจะไปก็ทิ้งเงินไม่น้อยไว้ให้เ้าแล้วไม่ใช่หรือ?”
ดวงตาเป็ประกายของเหยียนเฟยหรี่ลงเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยเช่นนั้น ท้ายที่สุดก็เผยจุดประสงค์แอบแฝงที่แท้จริงของเขา เมื่อนั้นเยว่เยียนเยียนก็ระแวดระวังขึ้นมา ร่างกายถอยร่นไปข้างหลังตามฝีเท้าไม่หยุด นางรีบเอ่ยปฏิเสธ “เหยียนเฟย! เ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ เ้าอย่าแม้แต่จะคิดแตะต้องเงินพวกนั้นของข้า!”
“เหตุใดถึงไม่ได้ล่ะ? นั่นมันเงินค่ายังชีพที่เฉินไฮว่ชิงทิ้งไว้ให้พวกเราไม่ใช่หรืออย่างไร!”
เหยียนเฟยโมโหเหลือทน พลันหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่เยว่เยียนเยียนกลับยึดถือหลักการยิ่ง “อาจารย์ไปครั้งนี้ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนถึงจะได้กลับมา แม้ว่าเงินนี้จะดูเหมือนไม่น้อย แต่ปัญหาคือจะสามารถใช้ได้เพียงพอหรือไม่ต่างหาก! หากเ้าคิดจะล่อให้ข้าใช้มันอย่างฟุ่มเฟือย ข้าก็ไม่มีทางตกลงด้วยเด็ดขาด ยิ่งกว่านั้นข้าเอง...”
เยว่เยียนเยียนชะงักไปชั่วขณะ เมื่อนึกถึงสถานะที่อ่อนไหวอย่างยิ่งของตนแล้ว จึงเอ่ยเสียงเบาขึ้นอีกครั้ง “ยิ่งกว่านั้นข้าเองก็ไม่สามารถเข้าไปในเมืองหลวงได้ มันอาจมีอันตราย...”
“เ้าไม่ไปข้าไปเอง! ข้าปลอมตัวสักหน่อยก็ไม่ใช่เหยียนเฟยแล้ว คนอื่นมองข้าไม่ออกหรอก!” เหยียนเฟยตบลงที่หน้าอก แล้วเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “เ้ายังคิดจะซ่อมห้องครัวให้อาจารย์เ้าอยู่หรือไม่? หากไม่ออกไปแล้วจะซื้อถ้วยชามตะเกียบอย่างไร ไม่ซื้อถ้วยชามตะเกียบแล้วจะซ่อมห้องครัวให้ตาแก่นั่นอย่างไรเล่า?”
เมื่อเห็นว่าเยว่เยียนเยียนจมดิ่งสู่ความเงียบ เหยียนเฟยก็โน้มเข้าไปในเวลาที่เหมาะเจาะ น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยปลุกปั่น “เ้าคงไม่อยากให้อาจารย์ของเ้าที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งเดือนแล้ว แต่สิ่งที่ต้อนรับเขากลับบ้านคือห้องครัวเล็กๆ อันทรุดโทรมที่โดนไฟไหม้หรอกใช่หรือไม่...?”
สองมือของเยว่เยียนเยียนกำแน่นเป็กำปั้นน้อยๆ นางขมวดคิ้วพันกันเป็ปมอย่างไม่สบายใจ แล้วนิ่งเงียบไม่มีการเคลื่อนไหวไปครู่ใหญ่...
