เจินจูอาศัยแสงสลัวของพระจันทร์หาเคียวที่วางอยู่มุมกำแพงจนพบ เธอชำเลืองมองจุดที่วางไว้ในตอนกลางวัน วางแผนว่าจะหยิบมันเข้าไปในมิติช่องว่าง เมื่อหยิบได้แล้วก็แอบย่องกลับไปยังห้องตัวเอง ปิดสลักประตู เตะรองเท้าออก และปีนขึ้นไปบนเตียง
ใจคิดปรากฏเข้าไปในมิติช่องว่าง แต่ยังไม่ทันได้หายใจเข้า ความหอมหวนของจิติญญาก็ปะทะเข้าที่ใบหน้า เธอรีบวิ่งเข้าไปยังไร่นาทันที บนพื้นที่ไม่กว้างนักมีต้นอ่อนสีเขียวน้อยใหญ่กระจัดกระจายแตกต่างกันผุดออกมาแล้ว
“ฮ่า ฮ่า…งอกออกมาหมดแล้วหรือ ดูท่าที่แห่งนี้จะไม่ได้ปลูกวัตถุดิบปรุงยาอย่างเสียเปล่า ยังสามารถปลูกพืชชนิดอื่นได้อีกด้วย แม้ว่าที่จะน้อยไปนิด แต่ดีที่อัตราการเจริญเติบโตเป็ไปอย่างรวดเร็ว เพียงเวลาแค่หนึ่งวันพืชผักล้วนงอกสูงขึ้นมาก ไม่รู้ว่าพืชผักเ่าั้จะเป็ต้นอะไรกันนะ?” เจินจูพึมพำพลางนั่งยองๆ ลงสังเกตอย่างละเอียด น่าเสียดายที่หน่ออ่อนของพืชนี่เล็กนัก เธอไม่เคยปลูกพืชผักมาก่อน จะแยกแยะออกได้อย่างไรกันเล่า สุดท้ายก็ล้มเลิกที่จะดูอย่างคับแค้นใจ
เมื่อเดินมาถึงริมสระ มองน้ำแร่ในสระที่มีฟองอากาศพวยพุ่งขึ้นมาข้างบนปุดๆ เจินจูหยิบกระบวยน้ำเต้าที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาอย่างมีความสุข ใช้กระบวยตักน้ำแร่ราวกับผึ้งตัวน้อย และเริ่มรดน้ำลงบนพื้นดินอย่างขยันขันแข็ง
ไปๆ กลับๆ หลายรอบจึงรดน้ำพืชผักทั้งหมดจนเสร็จเรียบร้อย สุดท้าย ตักน้ำแร่ขึ้นมาครึ่งกระบวยเงยหน้าดื่มลงไปเอง น้ำแร่เย็นฉ่ำหวานอร่อยปลอบประโลมอวัยวะภายในทั้งหมด เจินจูเรอออกมาด้วยความสบายท้อง รู้สึกว่าใจของตนเองผ่อนคลายลง
“นี่เป็ของล้ำค่าเสียจริง ดื่มแล้วค่อยรู้สึกว่าสภาพจิตใจผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย แม้แต่กระดูกก็รู้สึกสบาย ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย สบายตัวชะมัดเลย” เธอพินิจพิเคราะห์น้ำแร่ด้วยรอยยิ้มพร้อมทำตาโค้งดั่งคันธนู แทบอยากจะแช่ลงไปในน้ำแร่ทั้งตัว แต่กลัวว่าจะทำให้น้ำบริสุทธิ์นี้แปดเปื้อน
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เก็บสายตาอาลัยอาวรณ์กลับไปแบบไม่เต็มใจนัก เมื่อหันกลับไปเจอเคียวจึงเดินเข้าไปหยิบขึ้นมา เธอตั้งใจมาเก็บหญ้าจิติญญารอบหนึ่ง เกี่ยวเสร็จก็รดน้ำ พอผ่านไปสักพักหญ้าก็จะสามารถงอกออกมาได้อีก หมุนเวียนเช่นนี้ก็สามารถเก็บเกี่ยวหญ้าจิติญญาได้เพียงพอแล้ว และสามารถรวบรวมไว้ให้เพียงพอในการทำหมอนกลิ่นหอมหลับสบายได้
ยื่นมือไปจับกำเล็กๆ อย่างระมัดระวัง ค่อยๆ เกี่ยวขึ้นมาโดยเว้นส่วนรากไว้ เจินจูใช้เคียวไม่ค่อยคุ้นชินนัก ทำได้เพียงค่อยๆ ทำอย่างช้าๆ และระมัดระวัง หญ้าจิติญญามีไม่มากเท่าไร ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยามจึงเกี่ยวเสร็จ เธอหยัดกายขึ้นขยับขาที่มีอาการชาเล็กน้อย เหยียดเอว ยืดเส้นยืดสายทั่วทั้งกาย
ก้มหน้ามองกองหญ้าเล็กๆ สีม่วงบนพื้น แม้ว่าเกี่ยวออกมาวางไว้นานแล้วแต่หญ้าก็ยังคงความสดและนุ่มอยู่ จึงนึกขึ้นได้ว่าในมิติช่องว่างมีประสิทธิภาพในการรักษาความสดเอาไว้ เธออดกลุ้มใจไม่ได้ ต้องตากแห้งหญ้านี้เช่นไร? คงไม่ดีถ้าเอาออกไปตากข้างนอกตามอำเภอใจ ครั้งก่อนเอาหญ้ากำเล็กๆ มาล่อกระต่ายได้หนึ่งตัว ส่วนกองใหญ่นี่ใครจะรู้ว่าจะสามารถดึงดูดอะไรมาได้ เอาเก็บไว้ในนี้ก่อนแล้วกัน
โน้มตัวลงโอบหญ้าจิติญญากองหนึ่งขึ้นมา รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมสดชื่นที่ปะทุขึ้น เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ กอดพวกมันไว้แล้วเดินตรงไปยังกระท่อมที่มุงด้วยหญ้าคาหลังเล็ก จากนั้นดึงลิ้นชักตู้้าออกแล้วใส่เก็บเข้าไปอย่างระวัง เดินกลับไปกลับมา หอบอยู่อีกไม่กี่รอบก็เก็บเสร็จเรียบร้อยไปจนหมด ไม่นึกเลยว่าลิ้นชักช่องหนึ่งกลับใส่ได้ไม่เต็ม เธอคิดอย่างฉงนงงงวยเล็กน้อย หรือว่าเป็พื้นที่มหัศจรรย์ที่สามารถใส่วัตถุดิบยาชนิดเดียวกันได้ไม่จำกัด? เจินจูอ้าปากเดาด้วยความใ ดูท่าสิ่งที่เธอคิดจะเป็จริง
เจินจูอืดอาดอยู่ในมิติช่องว่างไม่นาน หลังรดน้ำทุ่งหญ้าจนทั่วหมดแล้วก็รีบออกจากมิติช่องว่าง กลับสู่ห้องที่มืดมิดของตัวเอง ขณะพลิกไปมาอยู่ครู่หนึ่งก็จมลงสู่ห้วงนิทรา
สีท้องฟ้าวันที่สองเพิ่งจะปรากฏแสงทองยามเช้า ลานบ้านขนาดเล็กที่เงียบสงัดก็ถูกเสียงร้องไพเราะดัง “จิ๊บ จิ๊บ” ของนกโอบล้อมแล้ว เจินจูลืมตาตื่นขึ้นด้วยเสียงของนกที่ปลุก เธอค่อยๆ ยืดเอวผ่อนคลายด้วยท่าทีเบิกบานอยู่พักหนึ่ง ร่างกายรู้สึกสบายอย่างท่วมท้น แต่จู่ๆ กลับมีกลิ่นเหงื่อเปรี้ยวที่มองข้ามไม่ได้ตีขึ้นมา
เธอย่นจมูกพลิกผ้าห่มเปิดออก รุ่งสางของปลายฤดูใบไม้ร่วง น้ำค้างรุนแรงนัก ความรู้สึกเย็นสบายสายหนึ่งพัดผ่านใบหน้า เธอยังคงสวมเสื้อกันหนาวลายดอกไม้ตัวเล็กของเมื่อวานอยู่ ในใจตั้งมั่นว่า ไม่ว่าจะอย่างไรวันนี้ต้องอาบน้ำสระผมให้ได้ กลิ่นตัวเช่นนี้ทำให้ทนไม่ไหวจริงๆ
เธอใช้มือเขี่ยผมที่ยุ่งเหยิงนิดหน่อย นึกได้ว่าแปรงหนึ่งเดียวในบ้านอยู่ที่ห้องของหลี่ซื่อ เธออดถอนหายใจไม่ได้ ครอบครัวนี้จนเกินไปแล้วจริงๆ
ดึงประตูห้องเปิดออก อากาศสดชื่นเยือกเย็นและเงียบสงบในตอนเช้าทำให้คนฮึกเหิมมีชีวิตชีวานัก เมื่อหันมองไปยังห้องหลักก็เห็นเพียงประตูที่ยังปิดอยู่ ดูเหมือนเธอจะตื่นเช้าเกินไปหน่อย เจินจูแลบลิ้นหัวเราะแหะ เป็ครั้งแรกในชีวิตที่ตื่นเช้าขนาดนี้ แหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ประเมินเวลา ท่าจะประมาณหกโมงได้ เจินจูจึงเอาเคียวที่เมื่อคืนนี้หยิบมากลับไปวางไว้ที่เดิมก่อน เธอย่องไปด้วยฝีเท้าอย่างเงียบเชียบ ไปยังหน้าโอ่งน้ำใต้ชายคา เปิดฝาออกเริ่มล้างหน้าบ้วนปาก
หลังจัดการสุขอนามัยส่วนตัวเรียบร้อยแล้วก็อดชะงักงันไม่ได้ ไม่รู้ควรทำอะไรต่อ เธออยากทำอาหารเช้าก่อน แต่สิ่งแรกคือการควบคุมระดับไฟเตาดินนี้เธอยังทำได้ไม่ค่อยดี สอง เธอใช้หินจุดไฟไม่เป็เลยสักนิด เื่ทำอาหารนี้เอาไว้รอให้เธอคุ้นเคยสักหน่อยแล้วค่อยว่ากันเถิด
พยายามนึกย้อนถึงสิ่งที่เจินจูในอดีตเคยทำ นางมักทำงานกระจุกกระจิกธรรมดา เช่น ทำความสะอาดลานบ้าน เก็บกวาดเล้าไก่ และจัดสวนผัก เป็ต้น สำหรับคอกสัตว์ เพราะเธอคนก่อนค่อนข้างขี้กลัว ดังนั้นหลี่ซื่อจึงเป็คนจัดการงานในคอกมาโดยตลอด หากบิดาหูฉางกุ้ยอยู่บ้าน ท่านก็จะเป็คนจัดการเื่โกยมูลสัตว์นี้แทน
เจินจูเดินมาข้างกรงกระต่าย กระต่ายกลับตื่นอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นเธอจึงหยิบผักป่าที่วางอยู่ในปุ้งกี๋บนกรงมาป้อนให้กระต่ายทาน เธอสังเกตอย่างละเอียดเล็กน้อย กระต่ายดูมีชีวิตชีวาดี ไม่รู้สึกห่อเหี่ยว เมื่อมองดูบริเวณรอบๆ อีกครั้ง กรงกระต่ายวางอยู่ข้างเล้าไก่ กั้นทางลม ข้างหลังบนสุดก็มีเพิง ตอนกลางคืนไม่น่าจะหนาว แต่รอให้ผ่านไปอีกสัก่พอหิมะตกก็คงไม่แน่ ตอนนี้ใช้กองหญ้าแห้งกันหนาวให้มันเพื่อรักษาความอบอุ่นก่อน รอท่านพ่อกลับมาค่อยปรับสภาพความเป็อยู่ของกระต่ายอีกที
“ท่านพี่ เหตุใดวันนี้ท่านจึงตื่นเร็วนัก?” ผิงอันเปิดประตูออกมา มองเห็นท่านพี่ของตนนั่งยองๆ ข้างกรงกระต่ายจากที่ไกลๆ
เจินจูหยัดกายขึ้นมองไปที่เขา ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ตื่นขึ้นมาเร็วเลยลุกออกมาน่ะ ผิงอัน เมื่อคืนเ้านอนหลับสบายหรือไม่?”
“อื้ม นอนหลับสนิทเลย แถมฝันถึงกระต่ายมากมายด้วย” ผิงอันยิ้มไปพลางหัวเราะไปพลาง เขาไม่อายเลยที่จะเล่าว่ามีเนื้อกระต่ายหอมฉุยปรากฏอยู่ในความฝันเมื่อคืน
“ฮาๆ ผ่านไป่หนึ่งบ้านเราก็จะมีกระต่ายเยอะแยะแล้ว เ้าไปล้างหน้าก่อนเถิด แล้วท่านแม่ลุกขึ้นมาหรือยัง?” เจินจูถาม
“ลุกแล้ว กำลังแปรงผมอยู่น่ะ” เขาตักน้ำสองกระบวยมาเตรียมไว้ ดึงแขนเสื้อขึ้นแล้วล้างหน้า
เอ่ยถึงเื่การแปรงผมขึ้นมา เจินจูก็เกาศีรษะด้วยความว้าวุ่นใจ สุดท้ายก็กล่าวกับผิงอัน “ล้างเสร็จแล้วเ้าช่วยข้าก่อไฟให้ข้าที พอต้มน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วอีกเดี๋ยวพวกเรามาสระผมกัน”
“เอ๋ แต่ว่า ท่านพี่ ยังไม่ถึงวันที่ต้องสระผมนี่” ผิงอันกล่าว ครอบครัวพวกเขาตอนนี้ประมาณสิบวันจึงจะสระผมหนึ่งหน หน้าร้อนขยันหน่อยก็แปดวันต่อหน หากหน้าหนาวเย็นหน่อยก็ครึ่งเดือนสระหนหนึ่ง
เจินจูรู้สึกหางตากระตุก ข่มอาการร้องโหยหวนไว้ในใจ เธอให้เหตุผลกับผิงอันว่า “นี่ไม่ใช่เพราะกลิ้งหลายตลบบนพื้นหรอกหรือ บนหัวมีแต่ดินทรายสกปรก นอนตอนค่ำแล้วคันหัวเหลือเกิน ต้มน้ำสักหม้อให้ข้าสระผม ข้าจะไม่ใช้สุรุ่ยสุร่ายจนหมดแน่นอน เ้าก็ถือโอกาสสระไปด้วยเลยอย่างไรเล่า”
“โอ้... ได้ เช่นนั้นข้าจะไปก่อไฟให้ท่าน” เขากล่าวจบก็เข้าไปในครัว
เจินจูหยิบหม้อน้ำที่จะใช้ตั้งไฟออกมา นำกระบวยตักน้ำใส่น้ำเข้าไปข้างในให้มากกว่าครึ่งหม้อ แล้วยกไปวางบนแท่นเตาอย่างยากลำบาก ผิงอันที่นั่งอยู่บนม้านั่งเล็กๆ ก่อไฟเสร็จเรียบร้อยแล้ว
หลี่ซื่อเดินเข้ามาในครัว มองพวกเขาด้วยความงงงวย ลากมือวาดถาม “ท่านแม่ พวกข้ากำลังต้มน้ำ ท่านพี่บอกว่าคันหัวอยากสระผม” ผิงอันรีบเอ่ยอย่างรวดเร็ว
หลี่ซื่อย่นหัวคิ้ว เดินไปทางเจินจู ปัดเส้นผมบนหน้าผากของเธอเปิดเบาๆ สำรวจาแ พบว่าาแที่แต่เดิมบวมแดงกลับดีขึ้นแล้วอย่างน่าประหลาด ตอนนี้เหลือเพียงรอยฟกช้ำเท่านั้น
“ท่านแม่ อาการาเ็ของข้าดีขึ้นมากแล้ว เดิมทีก็แค่กระแทกนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้รุนแรงมาก ในผมข้ามีแต่ดินทรายสกปรกมากมาย เลยอยากสระผมน่ะเ้าค่ะ” เจินจูถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อปิดบังความผิด รอยเขียวแดงที่หน้าผากเป็สิ่งที่เธอจงใจเหลือไว้ปกปิดอาการาเ็ที่หายดีแล้ว หากถูไม่กี่ทีก็ไม่มีเหลือแล้ว
หลี่ซื่อได้ฟัง ก็มองด้วยสองตาอย่างละเอียด กำลังการฟื้นฟูตนเองของเด็กนั้นดี ยิ่งเด็กชนบทที่ไม่ได้อ่อนแอเช่นนั้น การกระทบกระแทกจึงเป็เื่ปกติ คิดได้ดังนี้นางก็พยักหน้า
ในใจเจินจูโห่ร้องยินดีอยู่ครู่หนึ่ง แต่บนใบหน้ากลับไม่ปรากฏร่องรอยการยิ้มแม้เพียงนิด
พอทานอาหารเช้าเสร็จ เจินจูก็เตรียมสระผมอย่างอดรนทนไม่ไหว ใช้กระบวยตักน้ำร้อนสองกระบวยต่อน้ำเย็นสองกระบวย หยิบจ้าวเจี่ยว [1] สองแผ่นมาลอกเปลือกออก ใส่ในน้ำแกว่งไปมาจนเกิดฟอง ก็ถือว่าใช้น้ำนี่สระผมได้แล้ว จ้าวเจี่ยวเป็ของใช้ชำระล้างที่คนโบราณใช้บ่อยที่สุด สระผมก็ได้ทั้งยังอาบน้ำก็ได้ และยังใช้ซักผ้าได้อีกด้วย บริสุทธิ์ธรรมชาติแล้วยังสะดวกสบาย บริเวณรอบๆ หมู่บ้านวั้งหลินมีต้นจ้าวเจี่ยวสูงใหญ่อยู่หลายต้น ขณะนี้เป็่เวลาที่จ้าวเจี่ยวสุกพอดี ทุกครอบครัวในหมู่บ้านล้วนมัดไว้หลายกำมือใหญ่ เก็บไว้ใช้ให้พอขัดล้างจนถึงปีถัดไป
เจินจูสระผมเรียบร้อยอย่างสบายใจ เอาแปรงไม้ที่มีฟันหักสองซี่แปรงผมตัวเองอย่างนุ่มนวล ผมเธอไม่นับว่าหนา ความยาวไม่ถึงเอว แห้งเสียเล็กน้อย เส้นผมขาดหลุดร่วงหลายเส้นขณะแปรง เมื่อไม่มีไดร์เป่าผม จึงทำได้เพียงใช้ผ้าแห้งหยาบบิดผมเช็ดให้แห้ง
ผิงอันที่อยู่ด้านข้างก็สระผมด้วยน้ำร้อนส่วนที่เหลือเช่นกัน ผมของเขาสั้นนิดเดียว ไม่หนามาก ไม่นานก็เช็ดแห้งไปครึ่งหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ต้องบำรุงหรือทำอะไรต่อ วิ่งไปให้อาหารกระต่ายที่ข้างกรงทันที
หลี่ซื่อมองโอ่งน้ำ เห็นว่าเหลือไม่เยอะแล้ว จึงหิ้วถังไม้สองใบออกมาจากครัว หยิบไม้คานถือขึ้นไปหาบน้ำ แม้แหล่งน้ำจะใกล้บ้าน แต่เดินไปมาหลายรอบก็เหนื่อยเหลือทน ปกติหลี่ซื่อแบกขึ้นสองหาบก็ต้องพักชั่วครู่แล้วจึงหาบต่อ แต่สองวันมานี้นางรู้สึกร่างกายผ่อนคลายสบายขึ้น ปัญหาปวดเอวปวดเข่าเหมือนจะดีขึ้นมาก ขาและเท้ามีกำลัง ลมหายใจเดียวแบกน้ำสามหาบก็รู้สึกแค่เหนื่อยเล็กน้อยเท่านั้น นางสังเกตเห็นความน่าแปลกใจนี้ แม้ไม่รู้ว่าเป็เพราะอะไร แต่ร่างกายของตนก็ดีขึ้นมากจริงๆ จนกระทั่งรู้สึกว่าอาการแสบร้อนลำคอปานทะเลทรายที่ทรมานมาตลอดทั้งปีนั้นก็เบาบางลงเช่นกัน
หลี่ซื่อหาบน้ำเสร็จก็มีอาการนั่งใจลอยเหม่อมองออกไปเล็กน้อย เจินจูเห็นแล้วอดเป็ห่วงไม่ได้ เธอกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ท่านแม่ ท่านเหนื่อยหรือ?”
หลี่ซื่อเงยหน้ามอง ั์ตาของบุตรสาวเผยความกังวลออกมา มุมปากนางจึงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย หยัดกายลุกลูบผมของบุตรสาว ตบเบาๆ สื่อว่าให้นั่งลง แล้วจึงเอาแปรงมาแบ่งผมออกเป็สองช่อ เกล้าผมมวยห่วงคู่ [2] ให้เธอด้วยนิ้วมือปราดเปรียว
เจินจูลูบทรงผมใหม่ด้วยความแปลกใจ อยากรู้อยากเห็นหน้าตาของตนเองตอนนี้ น่าเสียดายที่ไม่มีกระจก เธอวางมือลงอย่างเสียใจ
หลี่ซื่อมองดวงตาใสซื่อที่สว่างวาววับของบุตรสาวตนเอง ลูบมวยผมที่น่ารักแปลกใหม่นี้ ดวงตาของเด็กสาวพลันยิ้มเหมือนจันทร์เสี้ยว อารมณ์ที่แสดงออกมาเปลี่ยนไปมีชีวิตชีวามากขึ้น มีกลิ่นอายความเป็สาวน้อยมากขึ้น อดเสียดายเวลาที่ล่วงผ่านไปไม่ได้ พริบตาเดียวร่างกายเจินจูก็เติบโตอย่างสง่างามแล้ว
“ผิงอัน กินข้าวหรือยัง? ถ้ากินแล้วพวกเราไปตัดหญ้ากันเถิด!” เสียงดังกังวานของเจิ้งเอ้อร์หนิวดังสะท้อนเข้ามาจากนอกลานบ้าน
เชิงอรรถ
[1] จ้าวเจี่ยว เป็สมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายฝักถั่ว มักใช้ฝักที่แห้งมาทุบลอกเปลือกออกจนเหลือเปลือกสีขาวแล้วจึงสามารถนำไปแช่น้ำใช้ได้
[2] ผมมวยห่วงคู่ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ 双环灵蛇髻(ห่วงิญญางูคู่) เป็หนึ่งในทรงผมของผู้หญิงยุคโบราณชนเผ่าฮั่น ทรงผมมีลักษณะแบ่งออกเป็สองช่อ ใช้ผ้าผูกเป็ห่วงกลม เป็มวยห่วงยกสูงบนศีรษะหรือเป็ห่วงทั้งสองข้าง