หมอหลวงไม่อาจไม่หยิบเข็มเงินชุดหนึ่งออกมาให้หลินชิงเวย
เข็มเงินทั้งหมดนั้นล้วนปักอยู่บนกระเป๋าผ้าใบหนึ่งนางยื่นมือไปพิจารณาลักษณะและขนาดของเข็มเงินทางหนึ่ง พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ปลดอาภรณ์ของเขาออกทั้งหมด”
“นี่...”
ปลายนิ้วเรียวเล็กขาวสะอาดของหลินชิงเวยราวกับมีจิติญญาของมันเองขณะที่ทำการคัดเลือกเข็มเงินที่ส่องประกายสะท้อนแสงออกมานางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเ็าพร้อมกับเลิกคิ้วถามว่า “อย่างไร ไม่เห็นด้วย?”
เซียวเยี่ยนพลันส่งเสียงขึ้น “ช่วยปลดอาภรณ์ให้ฮ่องเต้”
หลินชิงเวยหยิบเข็มเงินขึ้นมาสามเล่มในคราเดียว นำไปลนกับเปลวไฟเพื่อทำการฆ่าเชื้อจากนั้นนิ้วมือทั้งสิบนั้นรวบรวมพละกำลังลงไปยังเข็มที่ฝังลงบนร่างกายของเซียวจิ่นทั้งวิธีการและความรวดเร็วนั้นทำให้คนแทบจะตาพร่ากันเลยทีเดียว
บรรดาหมอหลวงในเวลานี้ได้แต่เงียบขรึมไม่พูดจา
เซียวเยี่ยนมีเหตุผลมากพอที่จะเชื่อในตัวนาง เมื่อแรกที่นางเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็นนางยื้อชีวิตของซินหรูที่เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายให้รอดชีวิตกลับมาไม่ใช่เป็เพียงคำพูดโอ้อวด
ปลายนิ้วของหลินชิงเวยหยิบเข็มเงิน นางพยายามกระตุ้นร่างกายของเซียวจิ่นให้รู้สึกเ็ปราวกับเซียวจิ่นรู้สึกได้ถึงความเ็ปคิ้วของเขาขมวดมุ่น นางจึงออกแรงมากขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า “สาเหตุที่คนเรามีอาการตัวร้อนไม่ลดเพราะร่างกายกำลังต่อสู้กับพิษไข้ หากไม่หาสาเหตุให้เจอให้ความร้อนนั้นลดลงแล้วจะมีประโยชน์อันใด?”
เซียวเยี่ยนยืนดูอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาอันเย็นเยียบสาเหตุที่ว่านี้มิใช่นางหรอกรึที่เป็ผู้ก่อขึ้นมา
หมอหลวงได้แต่ยืนดูอยู่เงียบๆ หลินชิงเวยฝังเข็มทะลวงลมปราณทั่วทั้งร่างกายให้กับเซียวจิ่นดีชั่วอย่างไรเซียวจิ่นก็เป็บุรุษ ส่วนลับของบุรุษนั้นเกิดปฏิกิริยาตื่นตัวอยู่เบื้องหน้าสีหน้านางกลับไม่เปลี่ยนกระทั่งมาถึงขาทั้งคู่ของเซียวจิ่นแม้เซียวจิ่นจะไม่รู้สึกตัวแต่หลินชิงเวยยังรู้สึกได้ถึงกระแสเืที่ไหลเวียนบริเวณต้นขาของเขาขาของเขาไม่มีปัญหาแน่นอน
พลังบางอย่างถูกหลินชิงเวยบีบบังคับจากนั้นซัดวนขึ้นมารวมกันอยู่บริเวณหน้าอกของเขา เซียวจิ่นรู้สึกทรมานยิ่งยวดสีหน้าจึงซีดขาวกว่าก่อนหน้านี้ เขากำลังอดทนอดกลั้นต่อความเ็ปริมฝีปากเม้มแน่นไม่ยอมส่งเสียงออกมา
หมอหลวงเห็นเช่นนี้จึงรีบกล่าวด้วยความตื่นตระหนก “เ้าหยุดเดี๋ยวนี้! เ้าทำเช่นนี้จะเป็การทำร้ายฝ่าา!”
หน้าผากของหลินชิงเวยปรากฏให้เห็นเม็ดเหงื่อเล็กๆกล่าวขึ้นอย่างไม่ชอบใจนักว่า “อย่างไรก็เป็เช่นนี้แล้วไม่ให้ข้ารักษาก็มีแต่ตายเท่านั้น” พูดแล้วนางก็กดลงบนหน้าอกของเซียวจิ่นอย่างแรงเซียวจิ่นร้องอึกอักขึ้นครั้งหนึ่งแล้วค่อยๆ ยกศีรษะขึ้นมาเอียงศีรษะเพื่อจะกระอักโลหิตสีดำคล้ำออกมาคำหนึ่ง
เขายังคงไม่ได้สติดังเดิมทว่าด้วยความที่ร่างกายอึดอัดคับข้องมานานพลันปลอดโปร่งโล่งสบายจึงหายใจโล่งอกสีหน้าจึงดูผ่อนคลายขึ้นมาก
กระทั่งหลินชิงเวยดึงเข็มเงินเล่มสุดท้ายออกจากร่างกายของเขาแล้วยื่นมือไปแตะหน้าผากของเขาอีกครั้ง “ไม่ร้อนแล้ว”
หมอหลวงก้าวขึ้นมาแตะหน้าผากดูด้วยสีหน้าตื่นตะลึงไม่อาจไม่มองหลินชิงเวยตาค้าง กล่าวอย่างยินดีว่า “ฝ่าาตัวไม่ร้อนแล้วจริงๆ”...”
ต่อมาหลินชิงเวยเดินมาข้างโต๊ะ เห็นบนโต๊ะมีกระดาษและพู่กันก่อนที่นางจะเป็แพทย์แผนปัจจุบันนางเคยเป็แพทย์แผนจีนมาก่อนเพียงแต่ไม่เคยใช้พู่กันเขียนใบสั่งยาให้กับคนไข้เวลานี้นางหยิบพู่กันขึ้นมาแต้มหมึก จากนั้นเขียนเทียบยาลงบนกระดาษเซวียนจื่อ[1]เสร็จในอึดใจเดียวแล้ววางพู่กันลง“พวกท่านไปต้มยาตามเทียบยาที่ข้าเขียนนี้ วันละสามครั้งดื่มหลังอาหารครึ่งชั่วโมง”
หมอหลวงรับเทียบยาไปดู ด้วยท่าทีโง่งม
บนโลกใบนี้มีลายมือของคนสองประเภทที่อ่านยากที่สุดประเภทที่หนึ่งก็คือ นักพรต อีกประเภทหนึ่งก็คือ หมอ
เป็ท่านหมอมาหลายปีหมอหลวงท่านนั้นกลับอ่านตัวอักษรของหลินชิงเวยไม่ออก
“ตัวอักษรของแม่นางเขียนหวัดเกินไป...ข้า...”หมอหลวงปาดเหงื่อบนหน้าผาก เขารู้สึกเหงื่อชุ่มแผ่นหลัง
[1]เซวียนจื่อ หรือกระดาษฟางที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือสีกระดาษขาวสะอาด เนื้อกระดาษละเอียด นุ่มและเบากระจายน้ำหมึกได้สม่ำเสมอและชัดเจนไม่เปื่อยยุ่ยง่าย