“ฉินอวี่! ฉินอวี่บุตรชายคนที่สามแห่งตระกูลฉินนะหรือ!!!”
“เป็ไปได้อย่างไร ฉินอวี่คนนั้นเป็คนไร้ค่าไม่ใช่หรือ? เขาแข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”
ผู้คนที่อยู่ในระยะห่างไกลออกไปต่างรู้จักฉินอวี่ แต่ละคนต่างส่งเสียงพูดขึ้นมาด้วยความเหลือเชื่อ
รอยยิ้มบนใบหน้าของชุยซั่วที่กำลังพิงกำแพงอยู่แข็งทื่อขึ้นทันที ใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่แต่เดิมได้ซีดขึ้นกว่าเก่า ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาทั้งสองของเขามองไปยังฉินอวี่อย่างเหลือเชื่อ ราวกับพบเจอภูตผีอย่างไรอย่างนั้น
น้องสาว? คนผู้นี้... คนผู้นี้คือฉินอวี่?
ถงอวิ๋นเฟยขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย จื่อซวินเอ๋อที่อยู่ด้านข้างก็จ้องมองฉินอวี่ด้วยความประหลาดใจเช่นกัน ในดวงตานางเต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างเอ่อล้น คำพูดของฉินอวี่แทงใจยิ่งนักอย่างไม่ต้องสงสัย สถานการณ์ทั้งหมดพลิกไปในทันที จื่อซวินเอ๋อเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงหรี่ตามองไปทางชุยซั่วที่มีใบหน้าซีดเซียวและกำลังตัวสั่นไปทั่วทั้งร่าง รอยยิ้มที่ดูเยาะเย้ยปรากฏขึ้นที่มุมปากของนางทันที
สีหน้าของหวังผิงเอาแน่เอานอนไม่ได้ หากเขาไม่สามารถหักล้างคำพูดของฉินอวี่ได้ละก็ ครั้งนี้สำนักเทียนหั่วของเขาคงกลายเป็ฝ่ายทำให้สำนักโบราณเทียนหลงขุ่นเคืองใจเป็แน่ จากนั้นเขาก็หันไปมองฉินอวี่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง ก่อนจะพูดขึ้น “คนเข้มแข็งรังแกผู้อ่อนแออย่างนั้นหรือ? คนผู้นั้นไม่ใช่ศิษย์ของสำนักเทียนหั่ว แล้วเกี่ยวอะไรกับสำนักเทียนหั่วของข้าด้วย?”
“เ้ากำลังอธิบายให้ใครฟัง? เื่แท้จริงเป็อย่างไร เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าเขา” ฉินอวี่เยาะเย้ย และชี้นิ้วไปทางชายวัยกลางคนที่รับผิดชอบการตรวจสอบหนังสือเชิญ
อี้จ้านเทียนมองไปยังชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และพูดขึ้นเบาๆ “เล่าให้ข้าฟังว่าเกิดเื่อะไรขึ้น”
ชายวัยกลางคนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เช่นกัน เขานึกไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์จะดำเนินมาถึงขั้นนี้ เขาไม่กล้าปิดบังอะไร จึงเล่าเื่ราวทั้งหมดออกมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่นิดเดียว
แม้ว่าหวังผิงจะมีความโกรธและมีความเคียดแค้นอย่างมาก แต่ในตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย อันที่จริงชุยซั่วเป็คนก่อเื่นี้ขึ้นมา เดิมทีเขาเองก็ปล่อยเลยตามเลย แต่นึกไม่ถึงว่าฉินอวี่จะโผล่ออกมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ หลังจากเขาหันมองชุยซั่วอย่างบึ้งตึง ก็หันไปมองอี้จ้านเทียน “เื่นี้ศิษย์สำนักเทียนหั่วของข้าเป็คนก่อเื่ขึ้นจริงๆ แต่คนที่ทำร้ายนางกลับไม่ใช่คนของสำนักเทียนหั่ว ยิ่งไปกว่านั้น สหายของเ้าทำร้ายศิษย์สำนักเทียนหั่ว ทำร้ายคนของสำนักโบราณเทียนหลง เื่นี้จะอธิบายว่าอย่างไร?”
พูดได้เลยว่า หวังผิงเป็ผู้มีจิตใจที่ละเอียดลึกซึ้งและมีไหวพริบที่หลักแหลมว่องไว ไม่เพียงแต่จะปัดความรับผิดชอบออกจากตัวได้จนหมดจด แต่เขายังดึงคนของสำนักโบราณเทียนหลงกลับมาแว้งกัดฉินอวี่ได้อีกด้วย
อี้จ้านเทียนหรี่ตาลง หลังจากได้ฟังสิ่งที่ชายวัยกลางคนเล่ามา เขาก็เข้าใจเื่ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน และรู้ว่าคำพูดของหวังผิงเป็เพียงการโต้แย้งอย่างไร้เหตุผล แต่หวังผิงก็เป็ตัวแทนของสำนักเทียนหั่ว หาก้าให้แสดงความรับผิดชอบจริงๆ เขาก็ไม่สามารถจับตัวหวังผิงเช่นนั้นได้ หากพูดตามตรง แม้ว่าอี้จ้านเทียนซึ่งมีสำนักโบราณเทียนหลงอยู่เื้ัจะคิดเช่นไรกับสำนักเทียนหั่ว เขาก็ไม่อาจแสดงออกมาต่อหน้าเช่นนี้ได้!
หากสยงท่าเทียนเป็เพียงคนธรรมดา อี้จ้านเทียนคงไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ในตอนนี้ เขาได้รู้จากถงอวิ๋นเฟยว่าสยงท่าเทียนไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป สิ่งนี้ทำให้เขาค่อนข้างลำบากใจเป็อย่างยิ่ง
“พี่ใหญ่ เมื่อครู่... เมื่อครู่นี้ท่านบอกว่านาง... นางเป็น้องสาวของท่านหรือ?”
ในทันใดนั้น สยงท่าเทียนที่ยืนฟังอยู่เป็เวลานานแล้วก็ได้ถามขึ้นมา
ตอนนี้ฉินอวี่ถอดหน้ากากออกแล้ว เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา สายตาที่ดูสงสารของเขามองไปยังฉินเสวี่ย เมื่อเขาเห็นรอยตบของฝ่ามือที่น่าใบนใบหน้าของฉินเสวี่ย หัวใจของฉินอวี่ก็ห่อเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว และพยักหน้าเล็กน้อย
“พี่ใหญ่... ที่แท้นี่คือรูปลักษณ์ที่แท้จริงของท่าน... นาง... หากว่านางเป็น้องสาวของท่าน เช่นนั้นนางก็เป็พี่สาวของข้าสยงท่าเทียนด้วยใช่หรือไม่? และ... ตัวข้าสยงท่าเทียนก็มีพี่สาวแล้วใช่หรือไม่? ฮ่าๆ! ข้าสยงท่าเทียนมีพี่สาวแล้ว!!!” สยงท่าเทียนหัวเราะอย่างชอบใจ หลังจากหัวเราะอยู่เป็เวลานาน จู่ๆ เขาก็หยุดลงกะทันหัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ และตวาดออกไปอย่างบ้าคลั่ง “ถ้าเป็เช่นนั้น... ก่อนหน้านี้พวกเขาก็กำลังรังแกพี่สาวของข้าสยงท่าเทียนสิ?”
ก่อนจะพูดจบ สยงท่าเทียนก็ะโขึ้นไปในอากาศอย่างดุเดือด จากนั้นก็ใช้เท้าข้างหนึ่งเตะไปทางร่างอันเหลือเพียงครึ่งชีวิตของฉินเฟิง
“บึ้ม”
ศีรษะของฉินเฟิงะเิออกเหมือนลูกแตงโม เืเนื้อของเขาปะปนเข้ากับวัตถุเหนียวสีขาวกระเด็นไปรอบๆ ก่อนหน้านี้ฉินอวี่ยังคิดถึงฉินจ้านผู้เป็พ่อ เขาจึงยังไว้ชีวิตฉินเฟิง แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายจะมาถูกสยงท่าเทียนเหยียบตาย
ทุกคนต่างใเป็อย่างมาก จนไม่มีใครทันได้สังเกตว่าเมื่อครู่นี้สยงท่าเทียนเรียกเด็กหญิงตัวน้อยว่าพี่สาว?
หลังจากสังหารฉินเฟิง สยงท่าเทียนก็ยังไม่หายโกรธ เขาเดินสาวเท้าตรงเข้าไปทางชุยซั่ว
เมื่อเห็นสยงท่าเทียนที่กำลังเดินเข้ามาราวกับเทพสังหาร ชุยซั่วก็ไม่สนใจอาการเ็ปตรงทรวงอกอีกต่อไป เขารีบปีนออกไปทางด้านหนึ่ง พลางพูดขึ้นเสียงดัง “ศิษย์พี่ใหญ่ ช่วยข้าด้วย!”
“หยุดนะ!”
“หยุดนะ!”
“สยงท่าเทียนหยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงะโดังขึ้นมาถึงสามครั้งต่อเนื่องกัน แบ่งเป็เสียงของหวังผิง อี้จ้านเทียน และฉินอวี่
แม้ว่าชุยซั่วจะมีความผิด แต่เขาก็เป็ศิษย์ของสำนักเทียนหั่ว เขาไม่อาจทนนั่งดูสยงท่าเทียนตัดศีรษะของชุยซั่วได้อย่างแน่นอน อี้จ้านเทียนก็เช่นเดียวกัน ในฐานะที่เขาเป็เ้าภาพ เขาไม่มีวันยอมให้คนของสำนักเทียนหั่วตายอยู่ตรงหน้าประตูวังหลวง
และเหตุผลที่ฉินอวี่พูดออกมานั้น แท้จริงแล้วก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะช่วยชุยซั่ว แต่ในอีกหกวันข้างหน้าเขาจะต้องประลองกับชุยซั่ว ถึงตอนนั้นเขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หากสังหารชุยซั่วในตอนนี้ คงไม่เพียงสร้างความขุ่นเคืองให้กับสำนักเทียนหั่ว แต่ยังมีสำนักโบราณเทียนหลงอีกด้วย ซึ่งเื่นี้นับว่าไม่ใช่เื่ฉลาดเอาเสียเลย
เมื่อมองเห็นสยงท่าเทียนเดินตรงไปทางชุยซั่วอย่างไม่สนใจผู้ใด ทั้งสามคนจึงเริ่มเคลื่อนไหว หวังผิงและอี้จ้านเทียนรีบเข้าไปขัดขวางสยงท่าเทียนในทันที
“หลีกไปให้พ้น!” สยงท่าเทียนส่งเสียงตวาดด้วยความโกรธ และในตอนนี้เอง ฉินอวี่ได้ตามหลังเข้ามาแล้วคว้าไหล่ของสยงท่าเทียนเอาไว้ พลางกระซิบขึ้น “สยงท่าเทียน หยุดเถอะ”
“พี่ใหญ่... ก่อนหน้านี้เขารังแกพี่สาวของข้าสยงท่าเทียน ไม่ง่ายเลยที่คนอย่างข้าสยงท่าเทียนจะได้มีพี่สาว ใครกล้ารังแกนาง ก็ต้องข้ามศพของข้าสยงท่าเทียนไปก่อน!” ใบหน้าที่อวบอ้วนของสยงท่าเทียนเต็มไปด้วยความโกรธและความเกลียดชังไม่รู้จบ
ั้แ่เล็กจนโต สยงท่าเทียน พ่อของเขา และท่านผู้เฒ่าต่างพึ่งพาอาศัยกันเพื่อความอยู่รอด ั้แ่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้รับรู้ถึงความรักของผู้เป็แม่ และมีน้อยครั้งนักที่จะได้พบเจอหรือติดต่อกับสตรี มีครั้งเดียวเท่านั้นที่เขาได้ััจนเป็ความทรงจำที่ลึกซึ้งสำหรับสยงท่าเทียน
เมื่อสิบกว่าปีก่อน มีชายคนหนึ่งพาเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายคู่หนึ่งไปอาศัยอยู่ในตระกูลขวงสยงอยู่ระยะหนึ่ง ในขณะนั้นด้วยความซุกซนของสยงท่าเทียน เขาได้ทำการหยอกล้อกับทั้งสองคน แต่เด็กหญิงคนนั้นพร้อมที่จะยืดอกเผชิญหน้าหน้าอย่างอาจหาญเพื่อเด็กชายคนนั้นทุกเวลา หลังจากทั้งสามคนสนิทสนมกัน ทั้งสามคนก็มักจะเล่นด้วยกันอยู่เสมอ แต่มีครั้งหนึ่งที่สยงท่าเทียนไม่ได้เจตนาทำให้เด็กผู้ชายคนนั้นได้รับาเ็ แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ะเิพลังอันแข็งแกร่งออกมาทุบตีเขา และนับั้แ่นั้นเป็ต้นมา เด็กทั้งสองคนจึงไม่เคยมาเล่นกับสยงท่าเทียนอีกเลย
สยงท่าเทียนมักจะเฝ้าดูเด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายสองคนนั้นเล่นกันอยู่ทุกครั้ง เมื่อเด็กหญิงมีของกินอะไรก็มักจะเก็บไว้ให้เด็กผู้ชายด้วยเสมอ ทำให้สยงท่าเทียนรู้สึกอิจฉาเป็อย่างมาก ต่อมา สยงท่าเทียนได้เรียนรู้จากผู้เป็พ่อว่า เด็กผู้หญิงนั้นคือพี่สาว เด็กผู้ชายคือน้องชาย และนับแต่นั้นเป็ต้นมา สยงท่าเทียนก็จินตนาการถึงภาพที่ตนเองมีพี่สาวอยู่เสมอ พี่สาวที่สามารถเล่นเป็เพื่อนกันและพี่สาวที่คอยปกป้องตนเองได้เมื่อถูกพ่อตี
วันนี้ เมื่อได้ยินว่าฉินอวี่มีน้องสาว หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน สยงท่าเทียนจึงนึกขึ้นมาได้ว่าเช่นนั้นตนเองก็มีพี่สาวแล้วจริงๆ เขาจึงตื่นเต้นเป็อย่างมาก แต่กลับนึกไม่ถึงว่าฉินเสวี่ยจะถูกรังแกไปเมื่อก่อนหน้านี้ สิ่งนี้ทำให้สยงท่าเทียนโกรธเป็อย่างมาก
เขาเป็คนหัวดื้อเช่นนี้ ความคิดของเขาเรียบง่าย ไร้เดียงสา และหยาบคาย
เมื่อเห็นสยงท่าเทียนมีทีท่าเช่นนี้ ฉินอวี่ก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ แม้เขาจะรู้ว่าสยงท่าเทียนจะยังไร้เดียงสา ดังนั้นจึงมีความคิดแตกต่างจากผู้ใหญ่ แต่ความโกรธของเขาออกมาจากหัวใจของเขาเอง ทำให้ฉินอวี่ซึ้งใจเป็อย่างมาก เขาครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ “ให้เขาได้มีชีวิตอยู่อีกหกวัน หลังจากหกวันนี้ ข้าจะฆ่าเขา!”
เมื่อเห็นว่าสยงท่าเทียนยังคง้าสังหารชุยซั่ว ฉินอวี่ก็พูดอย่างเคร่งขรึม “เ้าลืมสิ่งที่ให้สัญญากับข้าเมื่อวานนี้แล้วหรือ?”
ในใจของสยงท่าเทียนรู้สึกขัดขืน แต่ก็พูดกลับไปยังเหนื่อยหน่าย “ได้ ข้าจะให้เขามีชีวิตอยู่อีกหกวัน!” ดูเหมือนว่าความโกรธในหัวใจของเขาจะยังไม่ได้ระบายออก เขาจึงชกหมัดลงกับพื้นอย่างรุนแรง
“ปึง ปัง ปัง!”
แผ่นดินเกิดเสียงสั่นะเืดังสนั่น หินสีดำที่ปกคลุมผืนดินอยู่ะเิออกทันที เศษหินกระเด็นไปทั่วบริเวณ รอยแตกแยกออกจากศูนย์กลางหมัดแผ่ออกไปทุกทิศทาง
หนึ่งหมัดนี้ทำให้ทุกคนต่างอ้าปากค้าง แม้แต่หวังผิงก็ยังใอย่างมาก หากหมัดที่ปล่อยออกมานี้กระแทกลงบนร่างของตนเอง เขาคงไม่อาจแบกรับไว้ได้แน่นอน
อีกด้านหนึ่ง อี้จ้านเทียนกำลังจ้องมองสยงท่าเทียนอย่างเคร่งขรึม สายตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
หลังจากได้ระบายความโกรธออกมา สยงท่าเทียนก็หันหลังกลับและตรงไปเบื้องหน้าฉินเสวี่ย เมื่อมองเห็นท่าทีที่เหนื่อยล้าของฉินเสวี่ย สยงท่าเทียนก็กล่าวอย่างโผงผาง “พี่สาว... ข้าชื่อสยงท่าเทียน ต่อไปท่านเรียกข้าว่าเสี่ยวเทียน...”
ฉินเสวี่ยมองสยงท่าเทียนที่ร่างกายใหญ่โตดุจภูผา เมื่อได้ยินเสียงอันหยาบกระด้างของเขา นางก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว หากไม่ใช่เพราะเคยเห็นและเคยได้ยินเื่สยงท่าเทียนสู้รบกับชุยซั่วมาก่อน อีกทั้งยังเคยสนทนากับพี่ชายของนางอย่างฉินอวี่ นางก็คงกลัวจนต้องวิ่งหนีไปแล้ว
ทุกคนต่างตกตะลึงอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก พวกเขาเ่าั้มองไปยังสยงท่าเทียนผู้สูงใหญ่และอุกอาจ จากนั้นก็มองไปยังฉินเสวี่ยที่อ่อนแอ ก่อนจะนิ่งไปอย่างสมองว่างเปล่าในทันที
พี่สาว? เสี่ยวเทียน?
นี่มันอะไรกัน?
ชุยซั่วใกลัวจนแทบจะเป็ลมหมดสติไป
จื่อซวินเอ๋อจ้องตรงไปยังสยงท่าเทียน จากนั้นก็มองไปทางฉินเสวี่ยอีกครั้ง และหวนนึกถึงสยงท่าเทียนที่เคยพบเจอมาตลอด เมื่อนึกไปถึงสกุลแซ่ของเขา ม่านตาของจื่อซวินเอ๋อก็ค่อยๆ หดตัวลง ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“เดี๋ยวก็ไล่คนออกไป เดี๋ยวก็ทุบแผ่นดิน นี่ไม่เห็นแก่วังหลวงบ้างเลยหรือ? สังหารคนไปหนึ่งาเ็อีกหนึ่ง ฆาตกรคนนี้จะต้องชดใช้ให้กับทุกคนและสำนักเทียนหั่ว ท่านพี่อี้ เื้ัของท่านยังมีผู้มีพร์รุ่นใหม่เฝ้ามองอยู่นะ หากเป็เช่นนี้ต่อไป ชื่อเสียงของสำนักโบราณเทียนหลงคงต้องพ่ายแพ้อยู่ในมือท่านแล้ว” ถงอวิ๋นเฟยพูดยุแหย่
ใบหน้าของอี้จ้านเทียนกระตุกขึ้นเล็กน้อย บรรดาผู้มีพร์หนุ่มสาวที่เข้าร่วมงานเลี้ยงต่างทยอยเดินออกมาเมื่อได้ยินเสียงดัง เื่ในวันนี้ หากไม่จัดการสยงท่าเทียนและฉินอวี่ เกรงว่าคงถูกวิจารณ์อย่างหนัก และอาจกลายเป็ตัวตลกของผู้คนที่ไว้เล่าต่อกันอย่างขำขันในมื้ออาหารเย็น
อันที่จริง เื่ที่เกิดขึ้นนี้จะว่าใหญ่หรือเล็กก็ได้ และถงอวิ๋นเฟยจงใจใช้เขาเป็หัวหอกให้เื่บานปลายออกไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ แต่เมื่อกวาดสายตามองไปยังสีหน้าบึ้งตึงของหวังผิง อี้จ้านเทียนก็หรี่ตาลง และเริ่มชั่งน้ำหนักในใจ
ขณะที่อี้จ้านเทียนกำลังขมวดคิ้วด้วยความลังเล ฉินอวี่ก็พูดขึ้นอย่างเ็า “สยงท่าเทียน จัดการคนปากสุนัขซะ!”