หลังมรสุมชิงถวนพัดผ่านไป จวนเยี่ยนก็กลับสู่ความสงบสุขได้หลายวัน อำนาจมืดแต่ละฝ่ายต่างหยุดความเคลื่อนไหว ดูเหมือนกับคลื่นลมอันสงบไร้ซึ่งปัญหาใดๆ แต่คลื่นใต้น้ำอันปั่นป่วนอยู่ภายในนั้น กลับไม่หยุดนิ่งเลยแม้แต่ชั่วขณะเดียว
อาจารย์อวี้กับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยังคงอยู่ใน่งัดข้อกัน ไม่ว่าสอนสั่งหรือร่ำเรียน ต่างก็ทรมาทรกรรมยิ่ง ทุกเช้าตรู่ต้องตื่นมาเจอหน้ากัน แทบอยากจะขึ้นไปสู้กันบนโต๊ะก่อนสักรอบ ทุกวันเมื่อสิ้นสุดการพบหน้าในห้องเรียน ถึงจะผ่อนลมหายใจออกมาได้ทั้งสองฝ่าย
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเยวี่ยเจาหรานนั้นกลับผ่อนคลายอย่างมาก ทุกวันก็ไม่ได้ออกมาให้เห็นหน้า เขาตื่นขึ้นมามองส่งเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วในตอนเช้าโดยไร้ซุ่มเสียง จากนั้นก็กลับมาอยู่ในห้องคนเดียว แทะเมล็ดแตงดื่มชากาใหญ่ เอ้อระเหยอย่างมีความสุข
ส่วนคนที่วุ่นวายที่สุดในจวนเยี่ยนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากสวี่ชิวเยวี่ย
นางวุ่นวายกับการไล่ตามดวงดาว [1] อย่างเงียบๆ ทุกวัน นางประสบความสำเร็จในการสร้างภาพลักษณ์เป็ผู้คลั่งไคล้ไร้สมอง ทั้งจวนเยี่ยนไม่มีใครที่จะกระตือรือร้นเอาใจใส่เท่านางได้อีก ต่อให้อาจารย์อวี้จะจับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไปท่องหนังสืออย่างหนักในห้องเรียน ก็ขวางการไล่จู่โจมผู้ชายของคุณหนูสวี่เอาไว้ไม่ได้ นางยังคงไปส่งของว่างและน้ำชาในห้องหนังสือวันละสามเวลา ราวกับจวนเยี่ยนแห่งนี้ไม่มีคนรับใช้ปรนนิบัติอย่างไรอย่างนั้น
บางครั้งเยวี่ยเจาหรานออกมาเล่นตีลูกขนไก่กับเหล่าสาวใช้ ก็มักจะได้ยินพวกนางจิกกัดคุณหนูสวี่ผู้นั้นอย่างออกรสออกชาติ ตาก็เห็นสี่ทิศ หูก็ได้ยินแปดด้าน เหล่าสาวใช้ที่คันไม้คันมือเหล่านี้พากันยืนเบียดอย่างไร้ที่ไป ในใจเอาแต่ตั้งคำถามต่อความสามารถในการทำงานของตน และสงสัยว่าจวนเยี่ยนจะว่าจ้างคุณหนูสวี่ด้วยค่าตอบแทนสูงๆ แล้วเลิกจ้างคน ‘ไร้ประโยชน์’ อื่นๆ เดี๋ยวนี้เลยหรือไม่...
เสียงก๊อกแก๊กดีดลูกคิดรางแก้ว [2] ของเยวี่ยเจาหรานดังขึ้น ในใจก็ค่อยๆ ปรากฏเค้าโครงของแผนการมากขึ้นเรื่อยๆ บวกกับการโจมตีอย่างไม่หยุดหย่อนของคุณหนูสวี่ จึงส่งผลให้เื่ราวดำเนินไปอย่างราบรื่นมาก ราบรื่นเสียจนเยวี่ยเจาหรานคิดว่าตนเป็นางเอกแมรี่ ซู [3] ตัวจริงเสียอีก ความสามารถของดัชนีทองคำ [4] ได้ถึงขีดสุดไปั้แ่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ยามเช้าวันหนึ่ง เยวี่ยเจาหรานตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่อย่างหาได้ยาก ลุกลงจากเตียงก่อนหน้าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กำลังหลับสนิทตื่นไปด้วย แต่ตอนที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วลืมตาเตรียมจะบ่นนั้น กลับพบว่าเยวี่ยเจาหรานได้ลอบออกไปจากห้องอย่างไร้ซุ่มเสียงแล้ว...
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่เต็มไปด้วยความแปลกใจและสงสัยนั้นตื่นเต็มตาและลงจากเตียงรีบตามไปด้วยความเร็วสูง แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเยวี่ยเจาหรานจะไปห้องครัวของเรือนเล็ก
เยวี่ยเจาหรานเป็บุรุษผู้หนึ่ง ที่ตามปกติในสายตาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมองว่าเป็คนที่สิบนิ้วไม่เคยโดนน้ำเย็น [5] ขลุกอยู่กับหนังสือ...ไม่สิ เป็ ‘คนเกียจคร้าน’ ขั้นสุดที่หนังสือความรู้ก็ไม่อ่าน เหตุใดวันนี้จึงตื่นเช้า แถมยังวิ่งมายังห้องครัวที่แทบจะไม่เคยย่างเท้ามาเหยียบ?!
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กำลังคิดจะก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวเพื่อสืบเื่ กลับเห็นเยวี่ยเจาหรานเดินออกมาจากห้องครัวอย่างเบิกบานใจ จึงได้แต่หยุดฝีเท้าของตนไว้ แสร้งทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแล้วรอเยวี่ยเจาหรานที่กำลังจะเดินมา
“เอ๊ะ เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” เยวี่ยเจาหรานในมือถือจาน เขาเดินเข้ามาใกล้พลางเอ่ยถาม เห็นได้ชัดว่าตกตะลึงที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ได้อยู่บนเตียง
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วทำท่าทางเหมือนไม่รู้อะไรทั้งนั้น สายตาล่อกแล่กชั่วขณะ แล้วจึงเอ่ย “ฝึก่เช้า ฝึก่เช้าไม่ได้หรือไร?”
“อ๋อ...” ชัดเจนว่าเยวี่ยเจาหรานไม่ได้เชื่อคำพูดเหลวไหลของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว! แต่ก็เหมือนจะไม่ได้คาดเดาจุดประสงค์ที่แท้จริงอะไรของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเช่นกัน จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาของตนอย่างรวดเร็ว แล้วเดินเข้าเรือนตนพร้อมกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว “กลับไปกินข้าวกันเถอะ ไม่รีบเดี๋ยวเ้าก็สายอีกหรอก ระวังอาจารย์อวี้จะถลกหนังเ้า”
“ข้ากลัวเขาหรือ?! บ้าน่า!” ่นี้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถูกอาจารย์อวี้รังแกอย่างเหี้ยมโหด ทุกครั้งที่เอ่ยชื่อเขา ก็แทบอยากจะซัดให้สักหมัดเสียเดี๋ยวนั้น แต่ดันยืนยันมากับตาแล้วว่าเป็ผู้ที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่อาจต่อกรได้! ดังนั้นเพลิงในใจจึงไม่อาจระบายออกมา จำต้องอดกลั้นจนแทบกระอักเืตาย พาให้เยวี่ยเจาหรานที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วรู้สึกรื่นเริงไม่น้อย
เยวี่ยเจาหรานนั้นรู้แต่ก็ไม่พูดอะไร เป็การไว้หน้าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว เขาส่งเสียง ‘อ้อ’ หนึ่งคำแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ทั้งสองกลับมาที่เรือนและนั่งกินข้าวด้วยกัน
ในมือของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถือซาลาเปาลูกหนึ่ง ในหัวยังคิดถึงภาพที่เยวี่ยเจาหรานแอบเข้าไปในห้องครัวเมื่อครู่ จึงอดสงสัยไม่ได้ นางแสร้งขยับเข้าไปถามใกล้ๆ “เ้า เ้าเข้าไปทำอะไรในห้องครัวหรือเมื่อครู่นี้?”
“ไปเอาอาหารเช้าให้เ้าไง ดูไม่ออกหรือ?” แววตาของเยวี่ยเจาหรานหลุกหลิกไปชั่วขณะ เขาไม่ได้พูดต่อ คิดจะปล่อยตามไปเลยทั้งอย่างนั้น แต่กลับถูกเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจับพิรุธได้ แล้วดึงเขากลับมา “เหลวไหล! ปกติเ้าไม่ได้ใจดีอย่างนี้เสียหน่อย อย่ามาวางยาข้าหน่อยเลยน่า พิษร้ายที่สุดคือหสตรีจริงๆ ...”
เมื่อเห็นสายตาอำมหิตที่ส่งมาของเยวี่ยเจาหราน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็กลืนซาลาเปา แล้วปิดปากเงียบ
“อย่าถามมากนักเลยน่า เ้าก็แค่รอดูไปเถอะ!” เยวี่ยเจาหรานตอบกลับไปอย่างรำคาญ ทั้งสองคนกินอาหารต่อไปอย่างเงียบเชียบ
และก็เป็วันเรียนอันแสนทรหดอีกหนึ่งวัน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กินอาหารเสร็จแล้วก็ไปที่ห้องเรียนอย่าเชื่อฟัง และเริ่มการทรมานกันกับอาจารย์อวี้อีกครั้ง
เลยเวลาพักเที่ยงไปไม่นาน สวี่ชิวเยวี่ยก็วิ่งมาส่งชายามบ่ายให้อาจารย์อวี้และเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเช่นเคย หรือจะเรียกให้ดูดีว่าตอบแทนความเหนื่อยยากของอาจารย์อวี้ก็ได้ แต่คนที่มีตาย่อมดูออก ว่าสวี่ชิวเยวี่ยผู้นี้อาศัยอยู่ที่จวนเยี่ยนมาเจ็ดแปดวัน ทุกการปรนนิบัติเอาใจนั้นก็แค่เพื่อจับ ‘เยี่ยนอวิ๋นเฟย’ และเป็กุ้ยเชี่ยของจวนเยี่ยนไม่ใช่หรือ?
อาจารย์อวี้เอ่ยขอบคุณอย่างขอไปที จากนั้นจึงส่งเ้าตัวกลับไป ขนมกินไปคำสองคำก็ไม่อยากกินอีก และวางทิ้งเอาไว้จนเย็นชืดโดยไม่ได้แตะต้องแม้แต่น้อย
จู่ๆ ในกลางดึก ตะเกียงไฟห้องของอาจารย์อวี้ก็สว่างขึ้นมา ด้วยสถานะพิเศษของอาจารย์อวี้ ทั้งยังเป็คนที่มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ จึงทำให้ทั้งจวนเยี่ยนกระสับกระส่าย จุดไฟตลอดทั้งคืนและเชิญหมอที่ดีที่สุดในเมืองมาตรวจไข้จับชีพจรให้อาจารย์อวี้
ท้ายที่สุดก็ได้ผลตรวจออกมาว่าอาจารย์อวี้กินถั่วลิสงปริมาณเล็กน้อย จึงทำให้อาการแพ้กำเริบขึ้นมา เกิดผื่นแดงจำนวนมาก กระทั่งหายใจลำบาก ซึ่งเป็อันตรายถึงชีวิต! ในเื่นี้แม่ทัพเยี่ยนเป็คนที่แรกที่หัวแทบไฟลุก กล่าวโทษพ่อครัวที่ดูแลอาหารการกินของอาจารย์อวี้อย่างรุนแรงว่าประมาทเลินเล่อ ให้ลากตัวไปโบยอย่างหนักทั้งหมด
แต่ถึงอย่างไรห้องครัวของจวนเยี่ยนก็เป็ระบบ ‘องค์กร’ อาจารย์อวี้ก็เป็แขกคนสำคัญของจวนเยี่ยน ตอนที่อาจารย์อวี้มาถึงจะไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัดได้อย่างไรว่าสิ่งใดใช้ไม่ได้? ทั้งยังดูเหมือนจะมีอะไรแปลกๆ อยู่ไม่น้อย จำเป็ต้องตรวจสอบทีละคน จึงจะละเว้นความอยุติธรรมและตราบาปให้กับหลายชีวิต ให้พ่อครัวผู้บริสุทธิ์ที่ถูกใส่ร้ายเ่าั้ได้มีหนทางรอด
ตรวจสอบแล้วครึ่งค่อนคืน จึงพบเศษถั่วลิสงอยู่ในขนมสองสามชิ้นที่หลงเหลืออยู่ในห้องเรียน นั่นคือขนมที่สวี่ชิวเยวี่ยทำมาด้วยตนเอง ในห้องครัวก็ปฏิเสธว่าไม่ได้ยื่นมือเข้าไปยุ่ง ความรับผิดชอบเื่ถั่วลิสงจึงมถูกผลักไปอยู่ที่ตัวของสวี่ชิวเยวี่ย...
ใครจะรู้ว่าสวี่ชิวเยวี่ยเอาแต่ะโลั่นว่าตนไร้มลทิน ทั้งร้องไห้โหวกเหวกวุ่นวาย เสียงดังจนทั้งจวนเยี่ยนไม่สงบทั้งคืน แม่ทัพเยี่ยนที่โมโหอยู่แล้วคิดอยากจะลงโทษสวี่ชิวเยวี่ยให้หนัก ส่งนางกลับไปบ้านไปเสีย แต่สวี่ชิวเยวี่ยร่ำไห้จนเสียอารมณ์ ทั้งเห็นแก่หน้าของฮูหยินเยี่ยน จึงละเว้นนางอย่างไม่เต็มใจ เพียงเอ่ยตำหนิเล็กน้อย แล้วให้นางไปขอขมาอาจารย์อวี้ด้วยตนเอง จึงจบเื่นี้ลงได้
แม่ทัพเยี่ยนที่กลัวว่าภายหลังจะเกิดเื่วุ่นวายขึ้นอีก จึงสั่งห้ามไม่ให้สวี่ชิวเยวี่ยเข้าใกล้ห้องหนังสือของอาจารย์อวี้และเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วั้แ่นี้เป็ต้นไป ไม่ว่าสวี่ชิวเยวี่ยจะร้องไห้ฟูมฟายแค่ไหน ก็ไม่อาจละเว้นการลงโทษและคำตำหนินี้ได้ จึงได้แต่ยอมแพ้และสงบลงอย่างชาญฉลาด
เชิงอรรถ
[0] มอบท้อคืนหลี่ (投桃报李) ท่านมอบลูกท้อแก่เรา เราตอบแทนท่านด้วยลูกหลี่ (ลูกพลัม) หมายถึงการแลกเปลี่ยนหรือมอบส่งของบางอย่างให้กันฉันมิตร
[1] ไล่ตามดวงดาว (追星) หมายถึง คนที่ชอบติดตามดารา โดยเกินขั้นกว่าชื่นชมผลงานธรรมดา ถึงขั้นตามเกาะติดชีวิตความเป็อยู่ของดารา
[2] ดีดลูกคิดรางแก้ว (打小算盘) หมายถึงการคำนวณผลประโยชน์อย่างละเอียดรอบคอบดีแล้วว่าตนเป็ฝ่ายได้แน่นอน
[3] แมรี่ ซู (玛丽苏) Mary Sue หมายถึงตัวละครในอุดมคติ หน้าตาดี สมบูรณ์แบบ ชีวิตราบรื่น สร้างขึ้นมาเพื่อเติมเต็มความปราถนาของผู้เขียนเป็หลัก โดยไม่คำนึงถึงหลักเหตุผลและความเป็จริงหลายประการ
[4] ดัชนีทองคำ (金手指) หมายถึงการใช้สิ่งที่ทำให้ได้ชัยชนะมาอย่างง่ายดาย โดยมากจะสื่อถึงการโกงระบบเกม หรือที่เรียกกันว่า “ใช้สูตรโกง”
[5] สิบนิ้วไม่เคยโดนน้ำเย็น (十指不沾阳春水) แปลตามตัวคือ ‘สิบนิ้วไม่เปียกน้ำในฤดูใบไม้ผลิ’ หมายถึงไม่ต้องซักผ้าเองในฤดูใบไม้ผลิที่มีอากาศหนาวเย็น อุปมาถึงคนที่มีฐานะครอบครัวดี ไม่ต้องซักผ้าทำงานบ้านเอง โดยส่วนใหญ่ใช้พรรณนาถึงผู้หญิง