ต้วนชางไห่ใแล้วพูดว่า “จงอี้โหวไม่มาหรือ?”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ตอนท่านแม่ทัพยังมีชีวิตอยู่ จวนของเรากับของท่านจงอี้โหวไปมาหาสู่สนิทสนมกันอย่างดี ข้าคิดว่าพอพวกเขาได้รับข่าวเื่ของท่านแม่ทัพ จงอี้โหวก็จะรีบมา แต่ว่า... จนถึงตอนนี้ จงอี้โหวก็แค่ส่งคนมาคำนับศพแล้วก็ไป หลังจากนั้นก็ไม่มีใครมาอีกเลย”
หยางหนิงยืนอยู่ข้างๆ แล้วถามว่า “จงอี้โหวเห็นว่าท่านพ่อสิ้นไป จวนองครักษ์เสื้อแพรไม่มี... ไม่มีูเาหลักใหญ่แล้ว ดังนั้น...!”
“หนิงเอ๋อร์ อย่าพูดเหลวไหล” กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่หยางหนิง แต่ว่าสายตาของนางก็ดูแปลกๆ “ทำไมเ้าถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?”
หยางหนิงพูดไปอย่างนั้น แต่เมื่อเห็นกู้ชิงฮั่นเหมือนจะตำหนิ จึงพูดว่า “ข้า... ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเอง” ในใจคิดว่าคนที่มีอิทธิพลที่สุดของจวนตระกูลฉีสองคนจากไปหมดแล้ว เหลือกันแค่นี้ เมื่อมองไป ก็ไม่มีคนที่ดูเป็ชายองอาจราศีโดดเด่น ยุคเสื่อมถอยของจวนองครักษ์เสื้อแพรเป็อะไรที่เลี่ยงไม่ได้ สถานการณ์แบบนี้ ในใจของหลายๆ คนก็คงรู้ดีอยู่แล้ว แต่หากเป็เพราะเหตุนี้แล้วตีตัวออกห่าง ก็ใช่จะเป็ไปไม่ได้
ต้วนชางไห่สีหน้าจริงจัง แล้วส่ายหัว “จงอี้โหวไม่น่าจะเป็แบบนั้น ไม่ว่าเขาจะคิดอะไร แต่ว่าเขาไม่น่าจะเป็แบบนั้น” แล้วหยุดไปครู่หนึ่ง พูดเสียงเบาๆ ว่า “ฮูหยินสาม จะเป็ไปได้ไหมว่า... ในวังหลวงจะเกิดเื่”
“วังหลวงเกิดเื่?” กู้ชิงฮั่นตะลึงไป แล้วหันไปพูดว่า “เ้าพูดแบบนี้ ก็เหมือนจะมีเหตุผล ศพของท่านแม่ทัพถูกส่งกลับเมืองหลวงอย่างลับๆ เื่นี้รายงานไปยังวังหลวงแล้ว แต่ในวังหลวงกลับไม่ส่งใครมาเลย จงอี้โหวเองก็ไม่มาด้วยตัวเอง หรือว่า...!” นางขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เื่ในวังหลวง กู้ชิงฮั่นกับต้วนชางไห่ไม่พูดต่อ เพราะเื่แบบนี้ ไม่ควรนินทาลับหลัง
หยางหนิงอยู่ในจวนโหวกว่าครึ่งวันแล้ว ข่าวคราวที่ได้รับมามีมากมาย ในใจก็พอจะรู้เื่ราวของในจวนองครักษ์เสื้อแพรบ้างแล้ว
แต่ที่ไม่ต้องสงสัยเลย องครักษ์เสื้อแพรเคยยิ่งใหญ่เกรียงไกรมาก เป็เสาหลักของกองทัพต้าฉู่ แต่หลังจากที่องครักษ์เสื้อแพรอย่างฉีหุ้ยจิ่งสิ้นบุญไป อำนาจก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป
ส่วนในจวนองครักษ์เสื้อแพรก็ไม่ได้หรูหราอย่างที่คิด แถมยังเครียดเื่เงินสองพันตำลึงอีกต่างหาก อีกทั้งยังจะใช้โรงรับจำนำค้ำเพื่อไปยืมเงินมาอีกด้วย
เขารู้ดีว่าบางเื่รีบร้อนไปไม่มีประโยชน์ ต้องค่อยๆ ใช้เวลาในการทำความเข้าใจ แกล้งถามบางครั้งบางคราวมันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่หากถามมากไป คนในจวนจะต้องสงสัยแน่นอน ตอนนี้ยังต้องใช้เส้นสายและอำนาจที่จวนโหวมีในการตามหาเสี่ยวเตี๋ยอยู่ จะให้ใครเห็นช่องโหว่ไม่ได้
พวกเขาพูดถึงในวังหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งก็น่าจะหมายถึงวังหลวงของต้าฉู่
ในใจของหยางหนิงรู้ดี ฉีหุ้ยจิ่งทำคุณาประโยชน์ต่อต้าฉู่มาก เขาเสียสละชีวิตให้กับประเทศจนตาย องค์ฮ่องเต้ไม่มีทางจะไม่แสดงท่าทีอะไรเลย
ขุนนางคนสำคัญแบบนี้สิ้นบุญไป ต่อให้องค์ฮ่องเต้จะไม่มาร่วมงานศพด้วยพระองค์เอง ก็จะต้องส่องค์ชายหรือเชื้อพระวงศ์คนสำคัญมาไว้อาลัย ต่อให้ไม่มีใครสะดวกก็จะต้องส่งขันทีคนสนิทมาพร้อมโองการ เพื่อแสดงความเคารพและอาลัย มันเป็ขั้นตอนสำคัญที่ขาดไม่ได้ ส่วนฮ่องเต้ก็ควรจะมีปูบำเหน็จอะไรลงมา
แต่ตอนนี้วังหลวงยังไม่มีคนส่งใครมา มันผิดปกติแน่นอน
แต่ว่าหยางหนิงก็ไม่ได้สนใจเื่นี้มากเท่าไร ในใจคิดแค่ว่าจะทำให้ต้วนชางไห่ไปช่วยตนสืบเื่สำนักคุ้มกันอย่างไรมากกว่า
คิดอยากจะได้อะไรกลับมา ก็ต้องให้อะไรออกไป
หยางหนิงกลับมาที่โถงบรรพชน แน่นอนว่าต้องมาทำหน้าที่ลูกกตัญญู แต่ว่าเมื่อคิดว่าองครักษ์เสื้อแพรเองก็เป็แม่ทัพคนสำคัญที่ยิ่งใหญ่ของต้าฉู่แล้ว ตัวเขาจะคุกเข่าให้ก็ไม่มีอะไรเสียหาย
่กลางคืนคงไม่มีใครมาเคารพศพ ในโถงบรรพชนเองก็มีคนเข้าออกตลอด พวกของต้วนชางไห่ก็เพิ่งจะกลับเข้ามา ดังนั้นทั้งคืนก็มีคนมาอยู่เป็เพื่อนหยางหนิงตลอดเวลา
เมื่อเฝ้าศพใน่กลางคืน แน่นอนว่าไม่จำเป็จะต้องคุกเข่าตลอดเวลา แล้วก็มีคนส่งอาหารรอบดึกมาให้อยู่แล้ว เมื่อถึงเที่ยงคืน ฉีอวี้ถึงมาที่โถงบรรพชน หยางหนิงไม่พูดอะไรกับเขา ให้เขาอยู่ที่โถงบรรพชนต่อไป ส่วนตัวเขาก็กลับไปพักผ่อน
สองวันต่อมา คนที่มาคำนับศพมีไม่น้อย ส่วนใหญ่เป็ขุนนางในเมืองหลวง ข่าวการตายขององครักษ์เสื้อแพร ไม่ได้ป่าวประกาศออกไป สำหรับขุนนางนอกพื้นที่ ก็มีเพียงคนที่สนิทกับองครักษ์เสื้อแพรเท่านั้น คนพวกนี้เดินทางลำบากเพื่อมายังเมืองหลวง ก็กินอยู่ตามที่ทางจวนโหวได้จัดไว้ให้
การจัดการทุกอย่างกู้ชิงฮั่นเป็คนรับผิดชอบ ฉีอวี้ไม่มีสิทธิได้พบกับเหล่าขุนนางที่มาคำนับศพ หากมีแขกมาหยางหนิงจะเป็คนรับหน้าทั้งหมด ยังดีที่หยางหนิงไม่พูดอะไรมาก พ่อบ้านชิวคอยดูแลอยู่ข้างๆ ขุนนางที่มา หยางหนิงไม่รู้จักเลย ส่วนพ่อบ้านชิวก็พอรู้จักอยู่บ้างบางคน หยางหนิงก็จะจำพวกเขาได้
คนของบ้านตระกูลฉี ก็มาอยู่ทุกวัน ท่านใหญ่สามเห็นอยู่สองสามครั้ง แต่ไม่เข้าไปยังโถงบรรพชน ไม่แม้แต่จะมองหยางหนิงด้วย เห็นได้ชัดว่ายังโกรธหยางหนิงอยู่ ส่วนท่านห้ากับท่านหก ก็ไม่เห็นมาอีกเลย
วันออกทุกข์ใกล้เข้ามา ในวังหลวงยังคงไม่มีใครมา เหมือนกับว่าลืมแม่ทัพเหว่ยคนที่ทำคุณแก่บ้านเมืองไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
หลังเที่ยง หยางหนิงนั่งอยู่ในโถงบรรพชน กำลังบิดี้เีอยู่ ทันใดนั้นเองก็เห็นต้วนชางไห่วิ่งเข้ามาในโถงบรรพชน แล้วเข้ามาใกล้ๆ หยางหนิง แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ท่านจำเื่สำนักคุ้มกันที่ท่านบอกวันนั้นได้หรือไม่?”
หยางหนิงสีหน้าใ แอบชื่นชมต้วนชางไห่ไม่น้อยที่รู้ว่าเขา้าอะไร ตัวเขาไม่ได้พูดตรงๆ ว่า้าให้เขาไปสืบเื่นี้ พูดกับเขาเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เขาก็ไปสืบมาให้แล้ว คนๆ นี้เป็คนที่ใส่ใจรายละเอียด และรอบคอบจริงๆ มีอนาคตที่ดีแน่ ๆ เขารีบย้อนถามออกไปว่า “เ้าไปสืบมาแล้วหรือ?”
ต้วนชางไห่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ได้ไปสืบ ฉีเฟิงได้ยินคนข้างนอกเขาคุยกันว่า สำนักคุ้มกันเกิดเื่”
“เกิดเื่?” หยางหนิงย้อนถาม “เกิดเื่อะไรขึ้น?”
ต้วนชางไห่พูดเสียงเบาๆ ว่า “ท่านยังจำได้ไหมว่าในเมืองหลวงมีสำนักคุ้มกันที่มีชื่อเสียงอยู่สามแห่ง”
“ซื่อไห่ ฉางผิง กับซวี่รื่อ” หยางหนิงจำได้แม่นยำ ยิ่งสนใจในเื่ของสำนักคุ้มกันอยู่แล้ว ครั้งที่แล้วที่ต้วนชางไห่พูดถึงสามสำนักคุ้มกันชื่อดัง เขาก็จำไว้ในใจ
ต้วนชางไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ครั้งนี้เื่ที่เกิดไม่เล็กเลย สำนักคุ้มกันซื่อไห่กับซวี่รื่อล่ม คนล้มตายเกลื่อนเลย”
“สำนักคุ้มกันล่ม มีคนล้มตาย?” หยางหนิงตื่นใ รีบย้อนถามกลับไปว่า “มันเกิดอะไรขึ้น?”
“สำนักคุ้มกันล่ม มีคนล้มตาย ก็คือรถขนสินค้าของสำนักคุ้มกันหายไปหมด คนและม้าที่คุ้มกันก็ตายไปจนหมด” ต้วนชางไห่พูดด้วยน้ำเสียงเข้มๆ ว่า “นี่มันเป็เื่ที่เกิดขึ้นน้อยมาก สถานที่เกิดเหตุก็เป็ริมชายแดนทางเหนือทั้งหมด”
หยางหนิงขมวดคิ้ว ในใจเข้าใจทันที คืนนั้นที่ร้านเหล้าก็ถูกนินจาฮิดะลอบโจมตี สำนักคุ้มกันซื่อไห่ก็ถูกโจมตี ตอนที่เขาจากมายังมีคนสองคนยื้อเอาไว้ ตอนนี้ดูท่าจะตายไม่เหลือ
ต้วนชางไห่คิดว่าหยางหนิงไม่เข้าใจที่เขาพูด ก็เลยอธิบายเพิ่มว่า “ในเมืองหลวงมีสำนักคุ้มกันใหญ่ทั้งหมดสามแห่ง สำนักคุ้มกันฉางผิงดูแลเส้นทางทางใต้ ส่วนสำนักคุ้มกันซื่อไห่ดูแลเส้นทางตะวันตก สำนักคุ้มกันซวี่รื่อดูแลเส้นทางทางเหนือ แต่ว่าสองปีมานี่ชาวเป่ยฮั่นมักแอบลอบโจมตีทางไหวชุ่ย ทางเหนือเลยไม่ค่อยสงบนัก ดังนั้นสำนักคุ้มกันซื่อไห่จึงเดินเส้นทางทางเหนือด้วย”
“ท่านอาต้วน ถ้าเทียบระหว่างสำนักคุ้มกันซวี่รื่อกับสำนักคุ้มกันซื่อไห่แล้วเป็อย่างไรบ้าง?” หยางหนิงถาม “สำนักคุ้มกันไหนแกร่งกว่ากัน?”
จริงๆ ในใจเขาสันนิษฐานว่า ในเมื่อสำนักคุ้มกันฉางผิงดูแลเส้นทางตอนใต้ งั้นก็น่าจะตัดออกไป ที่พาเสี่ยวเตี๋ยไปน่าจะเป็ซวี่รื่อไม่ก็ซื่อไห่เท่านั้น
ตัวเขาเองได้เจอสำนักคุ้มกันซื่อไห่มาแล้วระหว่างทาง แต่ก็ไม่พบร่องรอยของเสี่ยวเตี๋ยเลย ความน่าสงสัยก็เลยลดลง แต่ก็ไม่รับประกันว่าสำนักซื่อไห่จะไม่ได้ทำ ในเมื่อเป็สำนักคุ้มกันอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง แสดงว่าขบวนสินค้าของสำนักคุ้มกันก็ไม่ได้มีแค่ขบวนเดียวแน่นอน
“จะให้บอกว่าสำนักไหนแกร่งกว่า มันก็พูดยากเหมือนกัน” ต้วนชางไห่คิดไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สำนักคุ้มกันสองแห่งนี้ล้วนมีความเชื่อมโยงกับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง คนของสำนักคุ้มกันซื่อไห่ส่วนใหญ่เป็คนในยุทธภพ วรยุทธ์แข็งแกร่งมาก สำนักคุ้มกันซวี่รื่อก็มีไม่น้อยที่เคยเป็ทหารมาก่อน ฝีมือก็ไม่ธรรมดา หากไปทางทิศตะวันตก เส้นสายของสำนักคุ้มกันซื่อไห่ก็จะมีมากกว่า ทั้งสองสำนักดูจะเหนือกว่าซวี่รื่ออยู่เล็กน้อย แต่ถ้าขึ้นไปทางเหนือ จะเห็นว่าสำนักซวี่รื่อนั้นได้รับการยอมรับมากกว่า”
หยางหนิงพยักหน้า ในใจกำลังคิดว่า หากสำนักคุ้มกันซวี่รื่อมีเส้นสายทางเหนือกว้างขวางกว่าถ้างั้นความน่าสงสัยของพวกเขาก็น่าจะมีมากที่สุด
“มีขบวนสินค้าของสำนักคุ้มกันทั้งสองถูกปล้นกลางทาง” ต้วนชางไห่พูดขึ้น “ได้ยินมาว่าสำนักคุ้มกันซื่อไห่ถูกปล้นที่ร้านเหล้าตรงเส้นทางหลวง รถสินค้าหายไปทั้งหมด แต่ว่าคนในของสำนักคุ้มกันและผู้ติดตาทั้งหมดตายในร้าน ไม่เหลือเลยสักคนเดียว ตอนไปพบ ไม่มีใครรอดเลย”
“ไม่เหลือร่องรอยอะไรเอาไว้เลยหรือ?” หยางหนิงถาม ถึงแม้ในใจจะรู้อยู่แล้ว ว่านั่นเป็ฝีมือของนินจาฮิดะ คนพวกนั้นกระทำการอุกอาจ ก็น่าจะไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้
เป็ไปตามคาดต้วนชางไห่พูดว่า “รายละเอียดเป็อย่างไร ข้าน้อยก็ยังไม่รู้มากนัก แต่เื่การปล้นขบวนสินค้ามันเกิดขึ้นทุกปี แต่ว่าฆ่าคนทั้งหมดนั้น ไม่ค่อยมี คนของสำนักคุ้มกันทุกคนรู้สถานการณ์ดี หากสามารถคุ้มกันได้ พวกเขาจะทำเต็มที่ แต่หากอีกฝ่ายลงมือหนักมาก ไม่รู้ว่ามิตรหรือศัตรู คนของสำนักคุ้มกันจะไม่เข้าไปเสี่ยง จะต้องคุ้มกันคนของตัวเองก่อน แล้วค่อยกลับสำนัก แต่ตายหมดแบบนี้ มันดูไม่เหมือนการปล้นขบวนสินค้าเลย เหมือนจะแก้แค้นมากกว่า”
หยางหนิงคิดในใจว่ามันก็ไม่เหมือนการแก้แค้นเท่าไร แต่ว่าตัวเขาติดร่างแหไปด้วย หากไม่ใช่เพราะเซียวกวง สำนักคุ้มกันซื่อไห่ก็ไม่เป็เช่นนั้น
เมื่อนึกถึงเซียวกวง ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเ้าบ้านั่นติดเงินเขาห้าร้อยตำลึงทอง หากได้เงินห้าร้อยตำลึงทองมาได้ กู้ชิงฮั่นก็คงไม่ต้องเครียด
แต่ว่าคิดๆ ดูแล้วเมื่อเ้านั่นให้มาหาที่เมืองหลวง แต่ว่าไม่ทิ้งที่อยู่ไว้ให้ แล้วเขาจะไปงมหาคนๆ หนึ่งในเมืองหลวงที่ใหญ่แบบนี้ได้อย่างไรกัน?
แต่ว่าเขาเองก็รู้ว่า ต่อให้ได้เงินมาห้าร้อยตำลึงทองจริง จะเอาให้กู้ชิงฮั่นไม่ได้อยู่ดี เพราะเขาสวมรอยเป็ซื่อจื่อ ตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนเก่งกาจอะไร แล้วจะมีปัญญาไปหาเงินห้าร้อยตำลึงทองมาจากไหนกัน? หากเอาออกมาให้จริงๆ กู้ชิงฮั่นจะต้องสืบหาที่มาแน่ๆ เื่ก็จะพลิกทันที เมื่อไหร่ก็ตามที่เซียวกวงปรากฏตัวขึ้น ก็จะต้องจำเขาได้แน่ๆ เื่ที่เขาสวมรอยเป็ซื่อจื่อก็อาจจะถูกเปิดเผย ก่อนที่จะพบเสี่ยวเตี๋ย จะไปเจอเ้านั่นก่อนไม่ได้เด็ดขาด
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับสำนักคุ้มกันซวี่รื่อเล่า?” หยางหนิงถาม
ต้วนชางไห่ตอบว่า “ถึงแม้สำนักคุ้มกันซวี่รื่อจะล่ม และมีคนตายเหมือนกัน แต่แตกต่างจากสำนักคุ้มกันซื่อไห่”