ยามเซวียเสี่ยวหรั่นตื่นขึ้นมาตอนเช้า ขยี้ตาอย่างงัวเงีย เหลียนเซวียนก็นั่งหลังตรงอยู่ข้างกาย เพ่งมองไปที่ปากถ้ำอย่างเหม่อลอยไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
เสียงฝนตกปรอยๆ แว่วมาจากด้านนอก ลมหนาวโชยเข้ามาทางปากถ้ำเป็ระลอก อุณหภูมิภายในต่ำถ้ำต่ำลงมาไม่น้อย
เซวียเสี่ยวหรั่นสูดจมูกรู้สึกหนาวแทบแข็งตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเท้าเปลือยเปล่าเย็นเฉียบ เธอย้ายกิ่งไม้ข้างกายที่กั้นอยู่ออกไป แล้วยื่นเท้าไปข้างกองไฟ
แล้วถือโอกาสเอื้อมมือไปหยิบรองเท้าขาวมาผิงไฟต่อ รองเท้ายังคงชื้นอยู่ยังไม่แห้งสนิท
เมื่อคืนอาเหลยปวดแผลตื่นขึ้นมากลางดึก ร้องเจี๊ยกๆ เพราะไม่สบายตัว เซวียเสี่ยวหรั่นต้องลุกขึ้นต้มน้ำคาวมัจฉาชามหนึ่งให้มัน แล้วยังเอาต้นคาวมัจฉาให้มันกินเป็ของว่างอีกไม่น้อย อาเหลยถึงหลับไป
หัวหมุนกับเื่ไม่เป็เื่อยู่ค่อนคืน เวลานอนจึงน้อยมาก
"นี่มันเวลาไหนแล้ว" ดูเหมือนว่าเธอจะตื่นสายเสียแล้ว
นอกถ้ำครึ้มฟ้าครึ้มฝน จะดูออกได้อย่างไรว่าเป็ยามไหน
"ครึ่ง... ยาม... เฉิน... แล้ว" [1] เหลียนเซวียนค่อยๆ เขียนโมงยามลงไป
ครึ่งยามเฉิน? ใครก็ได้ช่วยบอกเธอทีว่ามันคือกี่โมง เซวียเสี่ยวหรั่นเกาหัวแกรกๆ มองเหลียนเซวียนอย่างตัดพ้อ ช่วยเขียนเวลาที่เธอดูออกไม่ได้หรือ?
ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็คงเป็่เช้าอยู่นั่นแหละ
"ฝนตก ไปไหนไม่ได้แล้ว"
เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกขัดใจและผิดหวังอยู่บ้าง เมื่อวานทำตาข่ายดักปลาเสร็จแล้ว เดิมทีคิดไว้ว่าวันนี้จะลองเอาไปใช้จับปลาข้างลำธารแห่งนั้นดู และตัดเถาเฮ่อกลับมาต้มเพิ่มอีกสักหน่อย อ้อ หม้อใบใหญ่สำหรับต้มเถาเฮ่อก็ยังไม่ได้ทำ เฮ่อ... ดูท่าตอนนี้คงต้องผลัดไปก่อน
"เจี๊ยกๆ" อาเหลยตื่นนานแล้วเริ่มร้องเรียกความสนใจ
"อรุณสวัสดิ์ อาเหลย รอเดี๋ยวนะ ข้าจะย่างเกาลัดให้กิน"
อยู่ด้วยกันมาสองวัน เธอเริ่มรู้อุปนิสัยของลิงน้อยขึ้นมาบ้างแล้ว เ้าตัวน้อยนี่นักกินตัวยงเชียว ตราบใดที่มีของกิน มันก็จะสงบเสงี่ยมหน่อย แต่ถ้าหิวขึ้นมาก็จะโมโหอาละวาดทันที มิน่าตอนแรกถึงหวงของกินขนาดนั้น
เซวียเสี่ยวหรั่นโยนเกาลัดเข้ากองไฟ ยามเท้าเปล่าเหยียบบนแผ่นหินเย็นเฉียบ หนาวจนสะท้านเฮือกร้องซี้ดสูดไอเย็นเข้าเต็มปอด
"ฝนเพิ่งจะตก แต่ชั่วพริบตากลับรู้สึกเหมือนเข้าฤดูหนาวแล้วเลย" เธอยกมุมปาก "จิ๊ ถ้วยชามเมื่อวานยังไม่ได้ล้างเลย โชคดีที่ยังมีน้ำเก็บไว้อยู่เต็มโอ่ง ใช้ประโยชน์ได้ไม่น้อยเลย
"ไอ้หยา หินเย็นเฉียบเลย ดูท่ามีเวลาข้าต้องทำรองเท้าฟางอีกสักคู่แล้วล่ะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นบ่นอุบ ยกหม้อขึ้นมาแล้ววิ่งออกไปล้างข้างนอก
ป่ายามฝนตกปกคลุมไปด้วยม่านหมอก พรางขุนเขาเขียวขจีห่างไกล ฝนตกไม่หนักมาก แต่อากาศกลับหนาวเย็นเป็ที่สุด
หายใจยังออกมายังควันโขมง
เซวียเสี่ยวหรั่นล้างหม้อและถ้วยชามอย่างรวดเร็ว แล้วรีบวิ่งกลับทันที
"หนาวจังเลย อุณหภูมิต่ำเร็วเกินไปแล้ว ไม่ใช่ว่าอีกสักพักหิมะตกหรอกนะ"
แค่นึกดูเฉยๆ เซวียเสี่ยวหรั่นก็สะท้านไปทั้งตัวแล้ว
เป็ไปได้ว่า่เวลานี้แคว้นฉีคงหิมะตกหนักแล้ว ดินแดนที่พวกเขาอยู่ค่อนมาทางใต้ ตอนนี้อุณหภูมิถึงเพิ่งต่ำลง
เหลียนเซวียนมองออกไปนอกถ้ำ สายตาและหว่างคิ้วเยียบเย็นปานน้ำแข็งเหมันต์
เซวียเสี่ยวหรั่นหม้อน้ำขึ้นตั้งไฟ โยนซี่โครงเลียงผาไปห้าท่อน ลอบมองสีหน้าของเหลียนเซวียนอยู่เงียบๆ บ่นงึมงำในใจอย่างอดไม่ได้ ส่วนนี่... ก็น่าจะเป็คนที่มีเื่เล่าขานคนหนึ่งแน่ๆ
ั์ตาถูกพิษจนบอด คอก็ถูกพิษจนเป็ใบ้ แม้ว่ากำลังภายในจะไม่สูญเสียไปทั้งหมด แต่ก็เหลือไม่มากแล้ว ยังมีแผลจากแส้นั่นอีก จิ๊ๆ คู่อริของเขาคงจะแค้นเขามากถึงลงมืออำมหิตขนาดนี้
แต่เื่เหล่านี้ไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อย
เธอเป็แค่คนธรรมดา แค่ใช้ชีวิตอย่างคนสามัญทั่วไปก็พอแล้ว
เซวียเสี่ยวหรั่นคิดไว้ว่า หากพวกเขาออกไปจากเขาแห่งนี้ได้ เธอจะพยายามหาเงินมารักษาเหลียนเซวียนให้หายเพื่อเป็การขอบคุณที่เขาอยู่เป็เพื่อนเธอตลอดระยะเวลาที่อยู่ในป่า
รอเขาหายป่วยแล้ว ค่อยทางใครทางมัน เธอจะหาที่อยู่เหมาะสมใช้ชีวิตอย่างสงบสุขต่อไป
เธอมายังโลกที่แปลกประหลาดแห่งนี้ แต่กลับมีคนเดินเคียงข้างใน่เวลาที่ยากลำบากที่สุด เซวียเสี่ยวหรั่นถึงรู้สึกขอบคุณเขาด้วยใจจริง
หากไม่มีเขาอยู่เป็เพื่อน จิตใจของเธอคงสงบเยือกเย็นอย่างตอนนี้ไม่ได้
ถึงขนาดที่ว่าความเ็ปและความเงียบงันของเหลียนเซวียนยังเป็ขุมพลังกระตุ้นความเพียรพยายามของเธอในการฝ่าฟันความยากลำบาก
ยังมีคน้าความช่วยเหลือและพึ่งพาเธออยู่ แม้ว่าจะเป็ภาระอย่างหนึ่ง แต่ก็เป็ที่พึ่งทางใจอันแข็งแกร่ง
แต่ตราบใดที่ได้กลับไปในสภาพแวดล้อมที่มีผู้คน เธอก็ไม่้าที่พึ่งพาทางใจเช่นนี้อีก
เซวียเสี่ยวหรั่นเขี่ยเกาลัดที่สุกแล้วออกมา ใช้มีดปอกเปลือกให้อาเหลยผลหนึ่ง
ขณะที่อาเหลยเห็นนางหยิบเกาลัดขึ้นมา ดวงตาของมันก็จ้องมือเธอไม่กะพริบ
"อีกสักครู่หลังฝนซา ข้าจะไปเอาหนังไปฟอกด้วยน้ำตามที่ท่านบอกสักรอบดู กลับมาค่อยเอามารมควัน ทำเสื้อกั๊กหนังเลียงผามาสวมใส่ก่อนสักตัว ส่วนหนังงูเ่าั้ อืม... ตอนนี้ยังไม่มีแผน เอาไว้รมควันเรียบร้อยแล้วค่อยคิดกันอีกที"
เซวียเสี่ยวหรั่นปอกเกาลัดส่งเข้าปากตนเอง หนังงูมีไม่มากไม่น้อย ไม่รู้ว่าจะเอามาทำอะไรดี
เหลียนเซวียนผงกศีรษะเงียบๆ
"หากฝนหยุด ข้าจะไปขุดดินเหนียว พวกเราจะทำหม้อใบใหญ่สำหรับต้มเถาเฮ่อสักใบ แล้วค่อยไปตัดเถาเฮ่อกลับมาอีกหน่อย จะต้องต้มเส้นใยสำหรับถักเสื้อผ้าสองชุดออกมาให้ได้ เหลียนเซวียน วันนี้ท่านอย่าออกไปล่าสัตว์ดีกว่า กอหญ้าหลังฝนชื้นแฉะ พื้นก็ลื่น ถึงอย่างไรความปลอดภัยต้องมาเป็ที่หนึ่ง" เซวียเสี่ยวหรั่นกินเกาลัดไปก็พูดไปไม่หยุดปาก
"วันนี้แบ่งงานกันทำ ท่านปั้นดินเหนียวกับรมควันหนัง ส่วนข้าจะออกไปข้างนอกเอง จะว่าไปแม้พวกเราจะเป็คนแปลกหน้าที่เพิ่งมาพบกัน แต่แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ได้มาพบกันในป่าเขานับเป็วาสนายิ่งใหญ่ พวกเราคือสหายร่วมหัวจมท้าย หนทางที่ต้องเดินยังอีกยาวไกล มีเื่ต้องฝากฝังกันอีกมาก"
"ออกไปจากเขาแห่งนี้ได้เมื่อไร อย่างแรกคือหาหมอมารักษาให้ท่านก่อน รอท่านหายดีแล้ว พวกเราก็แยกย้ายกลับบ้านของตัวเองเถอะ"
เหลียนเซวียนได้ยินแล้วก็ตกตะลึงหันมองมาที่เซวียเสี่ยวหรั่น
ไม่นึกว่านางจะมองการณ์ไกลขนาดนี้
นางพูดไม่ผิด แผ่นดินกว้างใหญ่ ได้พบกันกลางป่าเขานับเป็วาสนาอย่างแท้จริง
ทว่าพูดตามจริงแล้วนางเป็ผู้มีพระคุณต่อเขา หากไม่ใช่นาง เหลียนเซวียนถามตนเองแล้ว แม้จะมีชีวิตรอดออกไปจากป่า แต่ความยากลำบากคงมากกว่าตอนนี้หลายเท่านัก
เหลียนเซวียนหาใช่คนหลงลืมบุญคุณคน บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ คือหลักการพื้นฐานที่เขาปฏิบัติเสมอมา พระคุณของแม่นางผู้นี้เขาจดจำไว้แล้ว
แต่ยามนี้เขาเอาแต่นิ่งเงียบ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
เซวียเสี่ยวหรั่นเคยชินเสียแล้ว และไม่ถือสาหาความ
อาหารเช้าเป็น้ำแกงซี่โครงหม้อหนึ่ง ในนั้นยังใส่เห็ดลงไปเล็กน้อย เพราะเหลือไม่มากแล้ว ต้องกินประหยัดหน่อย เซวียเสี่ยวหรั่นกับเหลียนเซวียนกินซี่โครงคนละสองชิ้น เหลืออีกหนึ่งชิ้นย่อมเป็ส่วนของอาเหลย
แม้ไม่อิ่ม แต่ดื่มน้ำแกงไปหนึ่งถ้วยเต็มๆ ก็ช่วยให้สบายท้องขึ้นมาก
กินมื้อเช้าเสร็จ ในที่สุดรองเท้าของเซวียเสี่ยวหรั่นก็แห้งสนิท เธอเคาะส้นรองเท้าเอาสิ่งสกปรกออก ก่อนสวมถุงเท้าและรองเท้าเข้าไปทันที
เซวียเสี่ยวหรั่นะโโลดเต้นมีความสุข แต่ไม่นึกว่ากางเกงเกือบจะหลุด
เซวียเสี่ยวหรั่นรีบดึงขึ้นมาด้วยความรู้สึกขัดเขินแกมประหลาดใจเล็กน้อย
...
[1] ยามเฉิน คือ่เวลา 7.00-8.59 ครึ่งยามเฉินคือ่เวลาประมาณ 8.00