บทที่ 162 นักพรติญญา
หลังจากได้รับลูกปัดแล้ว ฉู่อวิ๋นก็กลับไปยังที่นั่ง เขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นตลอดทาง
“ผู้าุโ ลูกปัดนี้มีอะไรพิเศษหรือ? สกปรกแบบนี้ ทำไมท่านต้องเอามันมาด้วย?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะท่านผู้เฒ่านั่นคุยง่าย เราอาจจะไม่สำเร็จก็ได้”
เขาถือลูกปัดสีดำเล็กๆ ไว้ในมือ ฉู่อวิ๋นสังเกตอย่างระมัดระวังและพบว่าหลังจากทำความสะอาดแล้ว มันมีลวดลายลึกลับอยู่บนพื้นผิวของลูกปัด และดูเหมือนว่าลักษณะพื้นผิวที่ขรุขระนั้นจะกระจายตัวอยู่สม่ำเสมอ
“เ้าเด็กโง่ นี่คือไข่มุกะเิไทวะ[1] ที่นักพรตมากพลังสร้างขึ้นในสมัยโบราณ!” โยวกู่จือะโอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่ายังคงตื่นเต้นมาก
เมื่อได้ยิน ฉู่อวิ๋นก็แสดงสายตาอยากรู้อยากเห็นและถามว่า “ไข่มุกะเิไทวะ มันคืออะไร?”
“ไข่มุกะเิไทวะ...” โยวกู่จือเงียบไปสักพัก ราวกับกำลังมองย้อนกลับไปในอดีต นึกถึงปีอันรุ่งโรจน์เมื่อพันปีก่อน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจ “เมื่อพันปีที่แล้ว ยังมีนักพรติญญาอยู่มาก เทียบได้กับนักรบิญญาเลย”
“ในยุคนั้น เรียกได้ว่ามีวีรบุรุษมากความสามารถอยู่มากมาย ใต้หล้าเกิดโกลาหลครั้งใหญ่ เป็ยุครุ่งเรืองของวิชายุทธ์ทั้งหลายแหล่ นักพรติญญาและนักรบิญญาล้วนแข่งขันกัน และเท่าเทียมกัน”
“ในเวลานั้น เพื่อที่จะจัดการกับนักรบที่ทรงพลังอย่างยิ่ง นักพรตบางคนได้พัฒนาอาวุธปลิดชีพที่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยความคิดทางจิติญญา กล่าวกันว่ามีพลังอันไม่มีที่สิ้นสุด นั้นคือไข่มุกะเิไทวะ”
เมื่อพูดเช่นนี้ โยวกู่จือก็เริ่มมีอารมณ์ลึกซึ้งขึ้น พูดคำว่า ‘ไข่มุกะเิไทวะ’ ได้อย่างมีพลัง
โยวกู่จือหายใจเข้าลึกๆ และพูดต่อ “ตราบใดที่จิตใจของนักพรติญญาเคลื่อนไหว ไข่มุกะเิไทวะก็จะะเิด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวจนใต้หล้าตกตะลึงได้ เป็ผลให้พลังของนักพรติญญาอยู่ยงคงกระพัน ไร้ใครเทียบได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉู่อวิ๋นเองก็ประหลาดใจเช่นกัน เขาเกือบจะทิ้งลูกปัดเล็กๆ ในมือนี้แล้ว ก่อนจะถามขึ้นมา “มันทรงพลังขนาดนั้นเลย? ไข่มุกนี้จะไม่ะเิหรอกใช่ไหม...”
โยวกู่จือนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เ้าเด็กโง่ เหตุผลที่ไข่มุกนี้ทรงพลังมากก็เพราะมันถูกสลักไว้ด้วยเครื่องหมายิญญาของนักพรติญญา หากปราศจากความคิดของผู้สร้าง ไข่มุกะเิไทวะนี้ก็จะไม่ะเิ”
“อีกอย่าง ไข่มุกในมือเ้ายังเป็ของเก่าแก่จากสมัยโบราณ ผู้คนในลานประลองปฏิบัติต่อมันเหมือนเป็ลูกปัดิญญาธรรมดาและเก็บไว้ที่นี่ คนที่ทำไข่มุกเม็ดนี้คงดับสูญไปนานแล้ว”
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้...” ฉู่อวิ๋นแอบพยักหน้าเงียบๆ เหงื่อเย็นไหลย้อย
“เฮ้อ น่าเสียดายที่ไข่มุกเม็ดนี้มีข้อบกพร่องใหญ่อยู่เช่นกัน...”
โยวกู่จือถอนหายใจยาว ดูคล้ายผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมาย ฉู่อวิ๋นรู้สึกตัวจึงขยับเล็กน้อยและถามว่า “ข้อบกพร่อง? หรือว่าไข่มุกนี่จะทำลายคนที่สร้าง...”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ โยวกู่จือก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ฮ่าๆ! อันที่จริง มันก็ไม่ต่างจากที่เ้าพูดนัก”
“แม้ว่าไข่มุกะเิไทวะจะทรงพลังมากจนไล่ระดับราชันย์ได้ แต่ความเสียหายนั้นสะท้อนออกสองทาง เนื่องจากมีลายสลักิญญา เมื่อไข่มุกะเิ ผู้ที่สร้างมันก็จะเ็ปอย่างมากเช่นกัน”
“ไม่นาน ทักษะนี้ก็ถูกจัดเป็ทักษะวิชาต้องห้าม และตอนนี้ก็ควรจะหายไปแล้ว”
ฉู่อวิ๋นงุนงงและถามว่า “ในเมื่อไขมุกนี้มีข้อบกพร่องมากขนาดนี้ แถมเรายังใช้งานมันไม่ได้อีก ไยท่านถึงต้องเอามันมาอีก?”
“ฮะๆ” โยวกู่จือยิ้มเ้าเล่ห์และพูดคล้ายกระซิบ “แม้จะใช้ไข่มุกะเิไทวะเม็ดนี้ไม่ได้ แต่ก็มีลายสลักิญญาของนักพรติญญาที่แข็งแกร่งอยู่ ขอเพียงเ้าปรับแต่งมัน และปรับปรุงพลังิญญาของตัวเอง เช่นนั้นก็ง่ายแล้ว”
“ยิ่งไปกว่านั้น จากที่ข้าตรวจสอบ ไข่มุกสีเข้มเม็ดนี้ถูกนักพรติญญาระดับสี่สิบห้าสร้างขึ้น! มันเป็สมบัติท่ามกลางสมบัติอย่างแน่นอน!”
ขณะที่พูด โยวกู่จือกะโกนอีกครั้งด้วยความตื่นเต้นมาก
ในแคว้นเทียนเฉิน นอกเหนือจากนักรบิญญาแล้ว ยังมีนักพรตลึกลับที่เรียกว่านักพรติญญาอยู่ด้วย
ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้สามารถประลองกับนักรบได้เพียงแค่อาศัยพลังจิต สามารถสังเกตทะเลดารา ค้นหาความลับ์ และเรียกอัสนีเทพได้
นักพรติญญาก็เหมือนกับนักรบิญญา มีระดับต่างๆ เช่นกัน ซึ่งค่อนข้างง่ายและรู้จักกันโดยตรงว่าเป็ระดับ
โดยทั่วไปแล้ว นักพรติญญาระดับสี่สิบห้านั้นแข็งแกร่งพอๆ กับระดับราชันย์ กล่าวได้ว่าทรงพลังมาก
ในเวลาเดียวกัน สำหรับผู้หลอมอาวุธ นักปรุงยา ผู้เชี่ยวชาญด้านอาคม และผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมสัตว์ปีศาจ การฝึกฝนพลังิญญามีความสำคัญมาก และสามารถกำหนดความสำเร็จในอนาคตไปได้ในตัว
แน่นอนว่าผู้หลอมอาวุธธรรมดาระดับสามสิบอาจไม่สามารถต่อกรกับนักรบในขั้นเทียมฟ้า หรือแม้แต่นักรบในขั้นพื้นพิภพได้
เนื่องจากในยุคสมัยของพลังยุทธ์นี้ วิธีการโจมตีทางิญญาและวิชาลับมากมายได้สูญหายไปนานแล้ว วิชาลับทางิญญาที่สามารถนำมาใช้ในการโจมตีได้ แม้แต่วิชาการอัญเชิญสายฟ้าระดับต่ำสุดก็ไร้ค่าไปเสียแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่วัตถุิญญาที่สามารถปรับปรุงพลังิญญาได้ก็ยังหายากและเกือบจะสูญหายไป ดังนั้นนักพรติญญาที่สามารถปรับแต่งอาวุธและโอสถล้ำค่าได้จึงมีค่ามาก
“เ้าหนู ข้าต้องดูดซับพลังิญญาในไข่มุกะเิไทวะเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งของข้า ส่วนลายสลักิญญาที่เสียหายนั่น เ้าก็ใช้มันปรับแต่งได้ ประโยชน์คุณูปการแน่นอน” โยวกู่จือกล่าว
“หา? ท่านมอบพลังิญญานั่นให้ข้าไม่ได้หรือ? อย่าขี้เหนียวเลยนะ ผู้าุโ” ฉู่อวิ๋นยิ้มน้อยๆ ยามได้ยินคำอธิบายของโยวกู่จือเกี่ยวกับนักพรต เขาก็โหยหามัน
“ชิ! นี่เทียบเท่ากับพลังิญญาของผู้แข็งแกร่งในขั้นราชันย์เชียวนะ! ดูดซับไปนิดเดียวเ้าก็ตายได้!”
“มีเพียงรอยสลักิญญาที่แตกสลายนั้นเท่านั้นที่สามารถดูดซับโดยต้องมีข้าคอยช่วย จงพอใจเสียเถิด”
โยวกู่จืออธิบายอย่างช้าๆ ทำให้ฉู่อวิ๋นโกรธและไม่พอใจ ถามว่า “แล้วถ้าข้าดูดซับลายสลักิญญานี้สำเร็จ ข้าจะเป็นักพรติญญาได้หรือเปล่า?”
“ฝันไปเถอะ!” โยวกู่จือดุอย่างเ็า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ความจริงแล้ว... ถ้าเ้าโชคดี หลังจากดูดซับมันแล้ว ระดับพลังิญญาของเ้าอาจจะเพิ่มถึงประมาณระดับที่ยี่สิบ”
“แค่ระดับยี่สิบเอง…” ฉู่อวิ๋นถอนหายใจ เดิมคิดว่าจะใช้โอกาสนี้ทะยานขึ้นฟ้า แต่แท้จริงแล้วกลับเพิ่มระดับขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านี้เอง
“สำหรับเ้าแล้ว พลังิญญาระดับยี่สิบนั้นไม่น้อย ทั้งเ้าเพิ่งมาถึงขั้นฐานของผู้หลอมอาวุธระดับสามแล้ว ในอนาคต อาจสร้างกระบี่ของตัวเอง สร้างอาวุธอื่นได้ นั่นจะนำเงินมาให้เ้าไม่หยุดเลยล่ะ”
“นอกจากนี้ ยิ่งพลังิญญาสูงเท่าไร การฝึกฝนและการต่อสู้ก็ยิ่งดีเท่านั้น หยุดบ่นได้แล้ว เ้าเด็กบ้า!” โยวกู่จือดุ สาปแช่งอยู่ในใจ ทำไมเด็กคนนี้ถึงอยากแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้
“ฮ่าๆ พอใจแล้ว พอใจแล้ว!” ฉู่อวิ๋นวางลูกปัดมุกลง ดูผ่อนคลายมากขึ้น
ตอนนี้ เขาได้รับสมบัติิญญามากมาย และโยวกู่จือก็มั่นใจว่าตราบใดที่เขาได้พบกับซิวหลัวหน้าผี ผู้สืบทอดของเขา ก็จะสามารถช่วยฉู่ซินเหยาได้ ทำให้ฉู่อวิ๋นมีความสุขมาก
สถานการณ์เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ฉู่อวิ๋นเดินช้าๆ กลับไปยังที่นั่งพิเศษด้วยรอยยิ้มโง่ๆ บนใบหน้า
ยามนี้ ในสายตาของทุกคน หน้ากากคริสตัลสีดำของฉู่อวิ๋นเต็มไปด้วยรอยแตก ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยเื แต่เขายังหัวเราะกับตัวเองอย่างโง่เขลา...
“อวิ๋น... คุณชายอวิ๋น ท่านไม่เป็ไรใช่หรือไม่?” ฉู่ซินเหยาเป็คนแรกที่ถามด้วยสีหน้ากังวล
“ไม่เป็ไร ฮ่าๆ...”
ฉู่อวิ๋นเผยรอยยิ้มอ่อนโยนและจะเข้าไปใกล้ฉู่ซินเหยา แต่ก่อนจะสาวเท้าก้าวไป เสวี่ยหรูเยียนก็เข้ามาแทรกอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าที่เป็กังวล
นางมองซ้ายมองขวา หันไปรอบๆ ฉู่อวิ๋น เหลือบมองไปตรงนั้นตรงนี้ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ดวงตาของนางก็เปี่ยมไปด้วยความรัก พูดเบาๆ ว่า “คุณชายอวิ๋น ท่านไม่เป็ไรก็ดีแล้ว หรูเยียนเป็ห่วงท่านมาก”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ใบหน้าของฉู่อวิ๋นก็หมองลงทันที ผู้หญิงคนนี้กำลังทำอะไร? นางก้าวร้าวและน่ารำคาญ คอยกันไม่ให้เขาได้พบกับฉู่ซินเหยาเป็พิเศษ โดยเฉพาะในวันนี้
“นางเป็หญิงสูงศักดิ์ไม่ใช่หรือ? ช่างไร้มารยาท น่ารังเกียจนัก” ฉู่อวิ๋นมุ่นคิ้วเล็กน้อย ในใจของเขาไม่มีความประทับใจที่ดีต่อเสวี่ยหรูเยียนหลงเหลืออีกแล้ว
ในเวลานี้ เสวี่ยหานเฟยโบกพัดขนนกเบาๆ แสดงท่าทีอ่อนโยน และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จอมยุทธ์อวิ๋นได้รับาเ็ ควรพักผ่อนให้เร็วที่สุด ้าให้คุณชายเช่นข้าเรียกใครมาปรนนิบัติท่านหรือไม่?”
“เห็นหน้าตาตลกๆ ของท่านแล้ว คุณชายเช่นข้าไม่อยากให้ท่านถูกคนหัวเราะเยอะเลยจริงๆ ฮ่าๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉู่อวิ๋นก็เปลี่ยนเป็เ็า เขาลูบหน้ากากเบาๆ และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ข้าสบายดี แค่เพียงไม่้าให้ท่านเข้ามายุ่งอีก มีเื่อะไรข้าจะจัดการเอง”
“อ้อ! ใช่แล้ว!” ฉู่อวิ๋นแสดงรอยยิ้มอวดโอ้และพูดต่อ “คุณชายเสวี่ย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ข้าชนะการประชันห้าั ทำให้ท่านต้องเสียหินิญญาหมื่นก้อนไป ท่านไม่เป็ไรใช่หรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเสวี่ยหานเฟยก็เย็นลง เขาหรี่ตา รู้สึกค่อนข้างอึดอัด
แม้ว่าหินิญญาหมื่นก้อนจะไม่ใช่เื่ใหญ่สำหรับเขา แต่ครั้งหนึ่งเขาเคยโอ้อวดต่อหน้าผู้คนมากมายว่าฉู่อวิ๋นจะแพ้ในรอบที่สี่อย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ ฉู่อวิ๋นไม่เพียงแต่ได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์เท่านั้น แต่ยังดูเหมือนว่าจะมาแทนที่ซิวหลัวหน้าผีได้ แถมยังขโมยความโดดเด่น และได้รับการชื่นชมจากผู้คนหลายพันคน นี่ทำให้คุณชายชุยเสวี่ยไม่มีความสุขอย่างยิ่ง
“ฮ่าๆ หมื่น...”
“คุณชายอวิ๋น”
ในขณะที่เสวี่ยหานเฟยกำลังจะหักล้าง ฉู่ซินเหยาก็พูดขัดขึ้นมาก่อน
นางเดินไปหาฉู่อวิ๋นและพูดเบาๆ “คุณชายอวิ๋น ท่านชนะการประลองห้าครั้งติดต่อกัน ข้าเพิ่งจำได้ว่าตัวเองก็วางเดิมพันไว้ด้วย ท่านช่วยพาข้าไปรับรางวัลหินิญญาที่โต๊ะเดิมพันได้หรือไม่?”
“ได้แน่นอน~”
ฉู่อวิ๋นหัวเราะเบาๆ จ้องมองที่ไปเสวี่ยหานเฟย จากนั้นก็ออกจากเวทีพร้อมกับฉู่ซินเหยา เสวี่ยหานเฟยโกรธมากจนหายใจไม่ออก หน้าอกสั่นกระเพื่อม
“ฮ่าๆ น้องหญิง คนรักของเ้ามีปากที่ทรงพลังถึงเพียงนี้…”
“คุณชายอวิ๋น~ รอข้าด้วย ข้าก็อยากไปเหมือนกัน~”
ก่อนที่เสวี่ยหานเฟยจะพูดจบ เสียงะโก็ดังขึ้นอีกครั้ง นั่นคือเสียงของเสวี่ยหรูเยียน นางรีบวิ่งออกจากประตู เป็ผลให้ร่างทั้งสามที่นั่งอยู่ที่ที่นั่งพิเศษหายไปในบัดดล ปล่อยให้เสวี่ยหานเฟยตกตะลึง เลิกคิ้วขึ้นสูงพร้อมขมวด
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ พระอาทิตย์กำลังตกดิน ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว
ระหว่างทางกลับไปที่เรือนกลิ่นกำจร ฉู่อวิ๋นสบตากับฉู่ซินเหยา บอกนางเป็นัยว่าแผนการในวันนี้ถูกยกเลิก และขอให้นางรอข่าวดี
“ข้าจะรอเ้า” ฉู่ซินเหยากะพริบตาคู่งามของนางเบาๆ และเหลือบมองฉู่อวิ๋นเพื่อแสดงความเข้าใจ
แม้ว่าฉู่ซินเหยาจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดแผนการที่ตกลงกันไว้จึงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แต่นางก็เชื่อมั่นว่าฉู่อวิ๋นต้องมีเหตุผลในการทำเช่นนี้ และนางก็ต้องปฏิบัติตามมัน
ในตอนเย็น ทุกคนส่งฉู่ซินเหยากลับไปที่เรือนกลิ่นกำจร ระหว่างทางกลับไปที่จวนตระกูลเสวี่ย ฉู่อวิ๋นก็กล่าวคำอำลากับตระกูลเสวี่ย เตรียมตัวไปหาซิวหลัวหน้าผี
แต่ก่อนออกเดินทาง เสวี่ยหรูเยียนพยายามติดตามเขาอย่างไร้ยางอาย ทำให้ฉู่อวิ๋นรู้สึกไม่พอใจจริงๆ
ในท้ายที่สุด ฉู่อวิ๋นยังคงใช้เหตุผลส่วนตัวเป็ข้ออ้างในการบอกลา โดยบอกเสวี่ยหรูเยียนว่าเขาจะไปซ่อมหน้ากาก จึงสามารถหลบหลีกออกมาได้
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าั้แ่การชุมนุมเสือั คุณหนูจากตระกูลเสวี่ยก็เริ่มรู้สึกคลุมเครือต่อเขามากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่านางถือว่าเขาเป็คนที่ใกล้ชิดและคุ้นเคยมากแล้วคนหนึ่ง
“ผู้หญิงเป็สิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนจริงๆ” ฉู่อวิ๋นนึกถึงข้อสรุปนี้ในใจ จากนั้นจึงเร่งความเร็วและก้าวไปต่อไปข้างหน้า
----------
[1] ์