เฉียวเยว่ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าอยู่ดีๆ ตนเองจะได้ยินข่าวที่น่าตกอกใเช่นนี้ ฮ่องเต้ถึงขั้นมีพระราชดำริพระราชทานสมรสให้นางกับหรงจ้าน แม้ว่าจะยังไม่พระราชทานสมรสในตอนนี้ แต่ทุกคนต่างรู้กันหมด เมื่อฝ่าามีพระราชดำรัสออกไปแล้ว ย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้อีก
อย่างไรเสียคำตรัสของฝ่าาก็เทียบเท่ากับเก้ากระถางศักดิ์สิทธิ์
เฉียวเยว่นั่งเหม่ออยู่ในบ้าน นางอยู่ของนางดีๆ ไม่รู้ว่าถูกดึงเข้าไปในความวุ่นวายเ่าั้ได้อย่างไร เฉียวเยว่บีบผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยในมือ นางอยากลอบไปหาหรงจ้าน แต่กลัวว่าถูกคนเห็นเข้าจะไม่ดี จึงยังลังเลใจอยู่
พอเห็นเฉียวเยว่มีท่าทางเช่นนี้ ฉีจือโจวก็เอ่ยปากขึ้นมา "หากเ้าไม่เต็มใจ ลุงจะช่วยเอง"
เฉียวเยว่เงยหน้า ขบริมฝีปากกล่าวว่า "ข้าไม่ได้บอกว่าไม่เต็มใจ"
ฉีจือโจวบ่นพ้อในใจ สตรีโตแล้วก็เป็ของผู้อื่น เห็นชัดอยู่ว่านางมีความสุขมาก ดวงตายังทอประกายสดใส
"เ้า... รู้เื่นี้มาก่อนแล้วใช่หรือไม่?" ฉีจือโจวถามขึ้น
เฉียวเยว่ลุกขึ้นมานั่งตัวตรง พลางชูมือตอบกลับมาทันควัน "ข้าไม่รู้ ข้าสาบานได้"
ไท่ไท่สามเห็นท่าทางของบุตรสาว ก็ยกยิ้มน้อยๆ เอ่ยเสียงเบา "พี่ใหญ่อย่าขู่ให้เฉียวเยว่ใสิเ้าคะ นางยังเด็กอยู่เลย อีกอย่างเื่นี้ก็บังเอิญเกิดขึ้นพร้อมกัน ถึงได้มีผลลัพธ์เช่นนี้มิใช่หรือ ทุกคนต่างรู้ว่าอวี้อ๋องไม่สนิทสนมใกล้ชิดกับฝ่าา แต่ใครจะคิดว่าพระองค์จะทรงรักหลานชายมากถึงเพียงนี้”
ฉีจือโจวมองน้องสาวของตนเองเงียบๆ อยากจะพูดบางอย่าง แต่ก็ข่มใจไว้ แล้วถอนหายใจ "ดี"
อยู่ดีๆ ก็ตอบว่าดีโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ชวนให้คนงุนงงสงสัย แม้แต่เด็กฉลาดอย่างเฉียวเยว่ก็ยังไม่เข้าใจ นางเอ่ยถามเสียงเบา "แล้วอย่างไรหรือเ้าคะ?"
ฉีจือโจว "ไม่มีอะไร"
แท้จริงแล้วเขาไม่รู้จะอธิบายอย่างไรมากกว่า
ตอนนี้เมื่อมาคิดดูดีๆ ฉีจือโจวก็รู้สึกว่าตนเองหลงกลแผนการของหรงจ้านเข้าเสียแล้ว การที่เขาทำตัวเสียกิริยาใน่สองวันมานี้ไม่ว่าจะเป็ที่หอสุราหรือในห้องทรงพระอักษร ล้วนแต่เป็กลยุทธ์อย่างหนึ่งใช่หรือไม่? เป็กลยุทธ์ที่กระตุ้นให้ฝ่าาทรงนึกถึงเื่ราวในอดีต ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พระองค์จำเป็ต้องสงบอารมณ์ของหรงจ้านอย่างเร่งด่วน ดังนั้นจึงทรงเลือกวิธีที่ง่ายที่สุด คือการพระราชสมรสให้ซูเฉียวเยว่กับหรงจ้าน
ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ว่าอวี้อ๋องเอ็นดูรักใคร่ซูเฉียวเยว่ปานใด และเื่ที่เกิดขึ้นครานี้ก็ทำเพื่อซูเฉียวเยว่โดยเฉพาะ
แม้ฉีจือโจวจะไม่มั่นใจนัก แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเข้าเค้า ั้แ่เขาเริ่มมาสอบถามเกี่ยวกับความลับของสกุลเฉินก็นับว่าไม่เร็วมากนัก หรือั้แ่รู้ว่ามีชาวซีเหลียงเข้ามาในเมืองหลวง เขาก็เริ่มวางหมากเอาไว้แล้ว ั้แ่ให้ตนเองมาเห็น่หัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญพอดี และใช้โอกาสนี้กระตุ้นฝ่าาให้ทรงตัดสินพระทัยเลือกวิธีที่ง่ายที่สุดในการแก้ปัญหา
เขาถอนหายใจยาว เอ่ยว่า "ตีห่านมาทั้งชีวิต กลับถูกห่านจิกตาเสียได้"
เฉียวเยว่ยิ้มตาหยี "ท่านลุงหมายถึงพี่จ้านหรือเ้าคะ?"
ฉีจือโจวกลอกตา "ตอนนี้ดีใจไปเถอะ อย่าให้ถึงเวลาแล้วมาร้องไห้ก็แล้วกัน ความคิดอ่านของหรงจ้านล้ำลึกยิ่งนัก"
เฉียวเยว่กลับทำตัวปรกติ เอ่ยเสียงเบา "แล้วอย่างไรเล่า? เขามีความคิดล้ำลึก แล้วข้าโง่เขลานักหรือ?"
นางเชิดคางเล็กน้อย "ท่านลุงอย่าดูแคลนสตรีสิเ้าคะ หากสตรีเกิดเอาจริงขึ้นมา ก็ไม่ด้อยกว่าบุรุษเช่นกัน ส่วนพี่จ้าน ท่านไม่พูดข้าก็รู้ เขาเสแสร้งใช่หรือไม่ แล้วใช้สถานการณ์กระตุ้นให้ฝ่าาตัดสินพระทัย ถึงตัวข้าจะไม่ได้อยู่ในห้องทรงพระอักษร ก็คาดเดาได้"
เฉียวเยว่คาดเดาถูกเผง ฉีจือโจวมองหลานสาวอย่างเหลือเชื่อ เฉียวเยว่ทอยิ้มอ่อนจาง "ข้าทายถูกหรือเ้าคะ?"
ฉีจือโจวหัวเราะพรืดออกมา แล้วพูดว่า "ดูท่าข้าคงจะวิตกเกินไปเอง"
เฉียวเยว่ทำปากยื่น "ก็นั่นสิเ้าคะ"
นางลุกขึ้น ตบๆ ชายกระโปรง "ข้าจะไปพูดคุยที่เรือนท่านย่านะเ้าคะ"
หรงเยว่ขบคิดมาสองสามวัน จิตใจสงบเยือกเย็นแล้ว แต่ทางสกุลเฉิงดูเหมือนจะได้ยินข่าวคราว จึงไม่พอใจกับงานแต่งครานี้โดยสิ้นเชิง เื่นี้ดูท่าจะหมดหวังเสียแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ายังนึกเสียใจอยู่ เฉียวเยว่เป็ห่วงท่านย่าของตนเอง จึงไปหาทุกวัน
"เ้าปลอบประโลมท่านย่าให้มากหน่อยเล่า" ไท่ไท่สามกำชับ
เฉียวเยว่พยักหน้า ก่อนลุกขึ้นพาอวิ๋นเอ๋อร์ไปยังเรือนหลัก พวกนางเดินผ่านระเบียงยาว แล้วเลี้ยวเข้าไปในเรือนที่พักของฮูหยินผู้เฒ่า สาวใช้ที่ยืนเฝ้าหน้าประตูเห็นเฉียวเยว่มาก็ยอบกายคำนับ มุมปากของเฉียวเยว่โค้งขึ้นเป็รอยยิ้มอ่อนโยน แล้วพยักหน้าให้พวกนางเรียบๆ พอนางเดินเข้ามาใกล้ สาวใช้รุ่นเยาว์สวมอาภรณ์สีฟ้าเลิกม่านออกมาต้อนรับ
หลังเข้าไปในห้อง ก็เห็นแม่นางอีกสองสามคนอยู่กันพร้อมหน้า ดูเหมือนจะกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะคิดมาก จึงมาอยู่เป็เพื่อน
ทุกคนต่างนั่งอยู่บนเตียงเตา ล้อมโต๊ะชาที่ทำจากไม้หนานมู่ บนโต๊ะมีชาและขนมไม่น้อย แต่พวกนางกลับเอาแต่ม้วนผ้าเช็ดหน้า ไม่กินอะไรสักอย่าง
"น้องหญิงเจ็ดมาแล้ว" หรงเยว่เอ่ยปากก่อนคนแรก นางรู้ว่าครานี้ตนเองทำผิดไปแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงต้องสำรวมระมัดระวัง เสียงเบากว่าปรกติหลายส่วน
แน่นอนว่าความระมัดระวังนี้หาได้ใช้กับเฉียวเยว่ แต่เป็ฮูหยินผู้เฒ่า
เฉียวเยว่อมยิ้มพลางพยักหน้า หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปหา "ดูท่า ข้าคงจะมาสายสินะเ้าคะ ตอนนี้พวกท่านสนิทสนมกันมากกว่าข้าแล้ว ไม่ได้ ไม่ได้ ข้าริษยาแล้วนะ" เฉียวเยว่แสร้งทำเป็เ้าแง่แสนงอน
"เ้ากระต่ายน้อยนี่ ยามนี้ยังทำตัวเป็เด็กอยู่อีกหรือ ย่าได้ยินข่าวลือดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองหลวง ใครๆ ต่างก็พูดว่าฝ่าาเตรียมพระราชทานสมรสให้เ้าไว้แล้ว สภาพเ้าเยี่ยงนี้ ต่อไปจะแต่งเข้าจวนอวี้อ๋องได้อย่างไร?" ฮูหยินผู้เฒ่ากวักมือเรียกเฉียวเยว่เข้ามาพลางพูดหยอกเย้า
เฉียวเยว่เยื้องกรายเข้าไปยืนอยู่ต่อหน้าพวกนาง แล้วยอบกายคารวะ
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางสงบเยือกเย็น ไม่แก่นแก้วกระโดกกระเดกเหมือนที่ผ่านมา ก็เอ่ยว่า "เ้าเป็สาวแล้วจริงๆ"
ดวงตาคู่งามของเฉียวเยว่โค้งขึ้นเป็รูปจันทร์เสี้ยว ยิ้มกล่าวว่า "ข้าโตเป็สาวนานแล้ว พวกท่านแค่ไม่เห็นเอง แท้จริงแล้วข้าโตเร็วมาก"
เฉียวเยว่ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงเตา นางไม่เหมือนกับคนอื่นๆ หลังจากเช็ดมือแล้วก็หยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน "ข้าชอบเรือนของท่านย่าที่สุด จะทำอะไรก็ได้ เป็อิสระดี"
เฉิงเยว่กับเฉี่ยวเยว่ล้วนไม่เอ่ยวาจา เอาแต่ยิ้ม
พวกนางไม่ค่อยมาที่นี่บ่อยนัก จึงมักรู้สึกห่างเหินกับท่านย่า และวางตัวไม่ถูก แต่เห็นเฉียวเยว่เป็เช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกถึงความแตกต่าง
อย่าว่าแต่เฉิงเยว่กับเฉี่ยวเยว่ซึ่งเกิดจากอนุภรรยา กับหรงเยว่ก็ต่างกัน
บิดาของนางเป็คนไม่เอาถ่าน มารดาของนางก็พึ่งพาไม่ได้ ตระกูลท่านตาของนางก็ไม่ใช่สกุลฉี ไม่ได้รับความโปรดปรานเหมือนเฉียวเยว่ นึกถึงตรงนี้ ในใจก็รู้สึกฝาดเฝื่อน แต่นางก็ปรับอารมณ์ของตนเองได้อย่างรวดเร็ว
นางสะบัดศีรษะ แล้วเอ่ยว่า "เฉียวเยว่ เื่ก่อนหน้านี้เป็ความผิดของข้า ข้าอยากขออภัยต่อเ้ามาโดยตลอด"
เฉียวเยว่ตะลึงงัน
"ข้าขออภัยเื่ที่มารดาข้าไปอาละวาดที่เรือนสามของพวกเ้า"
หากไม่เพราะมารดาของนางขัดขวางอย่างเอาเป็เอาตาย นางก็คงมาขอขมานานแล้ว
"ข้าไม่เคยใส่ใจเลย อีกอย่างป้าสะใภ้รองเพียงร้อนใจก็เลยขาดสติไปชั่วขณะ ข้ารู้ ป้าสะใภ้รองหวังดีต่อพี่หญิงสาม แม้วิธีการจะผิดไปหน่อย แต่ข้าไม่โทษนางหรอกเ้าค่ะ อีกอย่างพวกเราก็มิได้เสียหายอันใด"
พูดมาถึงตรงนี้ เฉียวเยว่ก็ขยับเข้าไปข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า "ท่านย่า ท่านปวดไหล่ใช่หรือไม่"
เมื่อครู่นี้นางสังเกตเห็นท่าทีเล็กน้อยของท่านย่า ก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าของนาง แล้วคล้องแขนพูดฉอเลาะ "ท่านย่า ข้าช่วยทุบไหล่ให้นะเ้าคะ" พูดจบก็ย้ายไปอยู่ด้านหลัง แล้วทุบไหล่ให้ฮูหยินผู้เฒ่า
เฉียวเยว่ไม่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเป็การประจบสอพลอ ทุกอย่างล้วนเป็ธรรมชาติ ฮูหยินผู้เฒ่าก็เคยชินแล้ว "ไปทางซ้ายหน่อย ออกแรกอีกนิด"
เฉียวเยว่ตอบอื้อ
"เด็กคนนี้ ทั้งใจกว้างและเฉลียวฉลาดมาั้แ่เด็ก ภายหน้าออกเรือนไปก็คงจะไม่มีปัญหาอันใด"
แท้จริงแล้วฮูหยินผู้เฒ่าไม่ค่อยพอใจอวี้อ๋องเท่าไรนัก อายุก็มาก จิตใจยังผิดปรกติ หากครอบครัวของพวกเขายินดีก็แปลกแล้ว ดูอย่างตอนได้ข่าวเมื่อวานนี้ ท่านโหวผู้เฒ่าก็ปาถ้วยน้ำชาแตกไปหลายใบ แทบอดใจไม่ไหวอยากออกไปทุบตีองค์หญิงตัวก่อเื่ผู้นั้นเสียให้ตาย
แม้แต่ซูต้าหลางก็ถูกดึงเข้าไปพัวพัน เมื่อวานนี้เขาถูกท่านโหวผู้เฒ่าใช้แส้เฆี่ยนไปหลายที โดยไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าบุตรชายไม่ใช่เด็กแล้ว
ในสายตาเขา ล้วนเป็เพราะตัวซวยเ่าั้ถึงทำให้หลานสาวที่น่ารักของพวกเขาต้องแต่งงานกับชายแก่
หากไม่ใช่เพราะเห็นหรงจ้านรักใคร่เอ็นดูเฉียวเยว่มากมาย และคอยปกป้องนางมาั้แ่เล็ก ครานี้เพื่อนางแล้วถึงขั้นไม่คำนึงถึงชื่อเสียงของตนเอง เกรงว่าแม้แต่จวนอวี้อ๋องเขาก็คงบุกไปอาละวาด
แต่ถึงจะเป็เช่นนี้ก็มิได้หมายความว่าจะไม่ใส่ใจ เขายังรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก แม้พระดำริของฝ่าาจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ แต่อวี้อ๋องคิดจะแต่งงานอย่างราบรื่นเกรงว่าคงจะไม่มีทาง
ยังมีอุปสรรครอเขาอยู่อีกหลายด่าน
นึกมาถึงตรงนี้ ความไม่พอใจของฮูหยินผู้เฒ่าก็จางลงหลายส่วน เมื่อคืนตาเฒ่าของนางไปจวนสกุลฉีไม่กลับมาทั้งคืน ดูท่าตาเฒ่าสองคนคงจะสุมหัวกันหาเื่สร้างความลำบากให้หรงจ้านอยู่เป็แน่ จิ๊ๆ
นึกมาถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็อารมณ์ดีขึ้นมาก "ย่ายังอาวรณ์ไม่อยากให้เฉียวเยว่ออกเรือนเลย"
เฉียวเยว่กวาดตามองพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ เห็นทุกคนต่างมีสีหน้าต่างกันไป ก็ยิ้มเอ่ยว่า "นั่นเป็เพราะข้าอายุน้อย แต่ถึงจะมีกำหนดการลงมาจริงๆ ท่านย่าก็ตัดใจไม่ลงอยู่ดีแหละเ้าค่ะ"
"ก็จริง การหมั้นหมายของพี่หญิงสามของเ้าก็กำหนดเรียบร้อยแล้ว สกุลเฉิงจะมาสู่ขอวันมะรืนนี้แล้ว" ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ย
เฉียวเยว่รู้สึกประหลาดใจ แต่ไม่แสดงออก เพียงพูดอย่างสดใสชื่นบาน "เช่นนั้นก็ดีเหลือเกินเ้าค่ะ"
ฮูหยินผู้เฒ่ามองหรงเยว่แล้วอบรมสั่งสอนอย่างจริงจัง "เมื่อแต่งเข้าสกุลเฉิง ก็ต้องทำตัวให้ดี เ้าหนุ่มสกุลเฉิงผู้นี้ข้าว่าไม่เลวเลย เป็คนซื่อ ตรงไปตรงมา แม้ว่าจะมีคนบอกว่าเขาไม่แก่งแย่งชิงดี ไม่ทะเยอทะยานใฝ่หาความก้าวหน้า แต่มันก็อยู่ที่มุมมองของเรา ข้ากลับรู้สึกว่าเยี่ยงนี้ก็ไม่เลว เทียบกับการต้องเฝ้าเรือนหอว่างเปล่า หรือต้องทนทุกข์กับเหล่านางบำเรอ ไม่สู้หาที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์สักคนจะดีกว่า"
ครานี้หรงเยว่ยอมเชื่อฟัง นางพยักหน้า "ข้าทราบแล้วเ้าค่ะ"
แม้เฉียวเยว่ไม่รู้ว่าครอบครัวของพวกเขาใช้วิธีใดทำให้สกุลเฉิงยอมมาสู่ขอ แต่กลับไม่ถามมากมาย มีเพียงรอยยิ้มพิมพ์ใจ "ยินดีกับพี่หญิงสามนะเ้าคะ"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้