หลังจากร้านสาขาใหญ่เปิดทำการอีกครั้ง ธุรกิจก็ค่อนข้างมั่นคง เรียกได้ว่าดีกว่าที่คิดไว้ เพราะร้านใหม่ ซึ่งใช้ชื่อหมี่หลันหยางในการจดทะเบียนนั้น ได้ทำการปรับปรุงโดยทุบผนังเชื่อมต่อพื้นที่ทั้งหมดเข้าด้วยกัน
ถึงแม้ขนาดร้านจะเทียบกับห้างสรรพสินค้าเฉียนคุนไม่ได้ แต่ก็ใหญ่กว่าร้านเดิมที่บ้านเก่าของหลินเผิงเฟยถึงเจ็ดแปดเท่า กลายเป็ร้านเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดในย่านที่พักอาศัย ป้ายห้องเสื้อหลันเยว่ แขวนเด่นเป็สง่า
การจัดการร้านสาขานี้มอบหมายให้ เผิงลี่น่า เด็กสาวผู้มีความสามารถ เธอเป็ลูกศิษย์คนที่สองของหลิวลี่ ลูกศิษย์คนแรกคือ หนิวเถียจู้ ที่เก่งกาจเกินหน้าเกินตาอาจารย์ เด็กสาวกำลังพยายามไปในทิศทางนั้น เธอแอบแข่งขันกับหนิวเถียจู้เป็การส่วนตัว โดยบอกว่าจะต้องพยายามทำให้ดีกว่าเขาให้ได้
ในส่วนของห้างสรรพสินค้าเฉียนคุน มีหลิวลี่และหนิวเถียจู้อยู่แล้ว หมี่หลันเยว่จึงไม่ต้องกังวล สิ่งที่เธอต้องใส่ใจมากที่สุดในอีกไม่กี่ปีที่เหลือ คือการหาคนที่มีความสามารถพอที่จะรับผิดชอบงานได้เอง แม้ว่าเธอจะเลือกหร่วนิอี้ และคนอื่นๆ เข้ามาสี่คน แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว คนที่รับผิดชอบจริงๆ ก็คือ หมี่หลันหยาง เฉียนหย่งจิ้น และหลินเผิงเฟย
ถ้าขาดคนรุ่นใหม่ก็คงไปไม่รอดนั้นเป็ไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสามคนรวมถึงหนิวเถียจู้ เธอจะต้องพาพวกเขาไปด้วยอย่างแน่นอน
"พี่หย่งจิ้น คิดว่าพี่หร่วนิอี้มีโอกาสที่จะรับผิดชอบงานได้เองไหมคะ?"
คำถามของหมี่หลันเยว่ เฉียนหย่งจิ้นเข้าใจได้เป็อย่างดี เป็การถามว่าหร่วนิอี้สามารถมาแทนที่ตำแหน่งของเขาได้หรือไม่
"น่าจะได้นะ พี่หร่วนิอี้ฉลาดมาก แถมยังหัวไวและเป็คนใจเย็น แต่ถ้าจะให้ดูแลจัดการทั้งหมด ก็ต้องฝึกฝนกันอีกหน่อย"
หมี่หลันเยว่พยักหน้า ขมวดคิ้วเล็กน้อย
"พี่หย่งจิ้น พวกเรายังมีเวลา ถ้าพี่คิดว่าคนนี้ใช้ได้ ก็ทุ่มเทให้กับการฝึกฝนเขา ใช้เวลาสองปีในการสร้างเขาขึ้นมา ถ้าไม่ได้ผล ก็รีบรับสมัครคนใหม่ คัดเลือกคนที่มีความสามารถออกมาฝึกฝน"
"ถึงพวกเราจะบอกว่ามีเวลาอีกสี่ปี แต่ถ้าไม่รีบ เวลาจะไม่พอ เพราะหลักสูตรของโรงเรียนมัธยมปลายจะเข้มข้นกว่า พวกเราต้องทุ่มเทให้มากขึ้น ต้องมั่นใจว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ปักกิ่งไปด้วยกันได้ ดังนั้นการคัดเลือกคนจึงมุ่งเน้นในปี ม.3 ปีนี้ แต่ปีนี้พวกเราก็ประมาทไม่ได้ พวกเราจะต้องสอบตรงเข้าโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งให้ได้"
"ทุกคนรู้เื่ที่พวกเราสอบเลื่อนชั้นข้ามไปพร้อมกันทั้งเมืองแล้ว ถ้าสอบตกขึ้นมาละก็ขายหน้ากันหมดแน่ๆ ฉันไม่ยอมให้เื่แบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด ไม่งั้นเจอกันแน่"
ไม่ต้องพูดถึงเฉียนหย่งจิ้น แม้แต่หมี่หลันหยางและหลินเผิงเฟยที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็ยังหน้าซีด พวกเขารู้ดีว่าหมี่หลันเยว่อาจจะพูดเล่นในเวลาปกติ แต่ถ้าพูดถึงเื่จริงจังแล้ว เธอจะต้องทำให้ได้ตามที่พูดอย่างแน่นอน ไม่มีวันผิดคำสัญญา
"หลันเยว่วางใจได้ จะไม่เป็แบบที่เธอพูดออกมาแน่นอน พวกเราจะทำงานให้ดีที่สุด และรับรองว่าจะไม่ทิ้งการเรียน"
ตลกน่า หมี่หลันเยว่เข้มงวดเื่การเรียนมากแค่ไหน พวกเขารู้ดีที่สุด เฉียนหย่งจิ้นรีบให้คำมั่นสัญญา
เขาไม่อยากสอบได้ไม่ดี จนถูกหมี่หลันเยว่เขี่ยออกจากกลุ่มไป หมี่หลันหยางและหลินเผิงเฟยก็รีบรับประกันว่าจะสอบตรงเข้าโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งให้ได้ และต้องได้คะแนนดีด้วย หมี่หลันเยว่จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
"พี่เผิงเฟย ทางพี่เป็ยังไงบ้าง พี่อันเสี่ยวหวู่กับพี่ตานจือ สองคนนี้พอใช้ได้ไหม ทางพี่้าความรอบคอบมากกว่าใคร เพราะการจัดซื้อเป็สิ่งที่ต้องอาศัยคนที่ไว้ใจได้ เมื่อพวกเราไปแล้ว ก็เหมือนกับว่ามอบเส้นเืใหญ่ของที่นี่ให้กับคนคนนั้น"
หลินเผิงเฟยก็รู้ว่าการจัดซื้อ้าคนที่ไว้ใจได้ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก
"หลันเยว่ อันเสี่ยวหวู่คนนี้ไม่เลว อย่างน้อยตอนนี้ดูเหมือนว่าเป็คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์และละเอียดอ่อน ทัศนคติในการทำงานก็ถูกต้อง แต่จะให้มอบหมายงานทั้งหมดให้เขาทำเลย ก็ต้องรอดูไปก่อน"
นั่นก็หมายความว่า ไม่ใช่ว่าเขาไม่ดี แต่ยังไม่วางใจพอที่จะฝากหลังไว้ให้ได้
"ได้ พี่ช่วยใส่ใจและพิจารณาเขาต่อไปอีกสักพัก ถ้าได้ผล ก็ค่อยๆ โอนงานที่พี่ทำอยู่ให้เขาไปทีละนิด แต่ก่อนที่จะโอนงานให้ ก็ต้องหาคนสำรองเข้ามาอีกสักสองสามคน"
"ถ้ามีใครเก่งกว่าเขา พวกเราก็อาจจะลองใช้ดู ถ้าพี่ยังคิดว่าอันเสี่ยวหวู่คนนี้ใช้ได้ ก็ให้คนใหม่มาแทนที่เขา พวกเราสี่คนยังไงก็ต้องปล่อยมือ ฉันรับผิดชอบในการสร้างหลันซิง ส่วนพวกพี่สองคนมีงานที่หนักกว่า รับผิดชอบในการสร้างผู้สืบทอด"
"ส่วนพี่ชาย ไม่ต้องหาคนมาสืบทอดแล้ว ให้พี่ช่วยดูแลผู้จัดการร้านทั้งสองคน ให้คนอื่นเริ่มคุ้นเคยกับการเติมสินค้าด้วย แบบนี้งานของพี่ก็จะถ่ายโอนไปให้พวกเขาได้โดยตรง ความสามารถของพวกเขาไม่ใช่แค่การจัดการร้านเท่านั้น"
หมี่หลันเยว่เคยเป็ผู้จัดการร้านมาก่อน การขาดแคลนสินค้า การเติมสินค้า ความสะอาด การจัดวางร้าน และความประพฤติของพนักงาน สิ่งเหล่านี้เป็ความรับผิดชอบของผู้จัดการร้าน หลิวลี่และเผิงลี่น่าตอนนี้ยังจัดการในระดับที่เล็กเกินไป เธอสามารถเพิ่มอำนาจให้พวกเขาได้มากขึ้น
"ฉันรู้แล้ว จะจัดการให้ดีที่สุด"
งานของหมี่หลันหยางดูเหมือนจะไม่สำคัญและชัดเจนเท่าเฉียนหย่งจิ้นและหลินเผิงเฟย แต่จริงๆ แล้วงานของเขากลับทำยากที่สุด เพราะมันจุกจิก ถ้าดูแลไม่ทั่วถึง ก็อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายของร้าน
วันเวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ ในขณะที่ทุกคนต่างก็วุ่นวายอยู่กับงาน ใน่เวลานี้ หนิวต้าลี่ได้เปิดร้านสาขาห้องเสื้อหลันเยว่ของตัวเองแล้ว เขาตัดสินใจได้ง่ายๆ เพราะร้านของจางเหรินซ่านประสบความสำเร็จอย่างมาก ยอดขายดีอย่างน่าทึ่ง
ไม่เพียงแต่ร้านของจางเหรินซ่านเท่านั้น ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นหลันเยว่ของเซี่ยหย่งเลี่ยงก็ดำเนินกิจการไปได้อย่างยอดเยี่ยม หนิวต้าลี่ได้ไปเยี่ยมชมและศึกษาทั้งสองร้าน แล้วก็รู้สึกเสียใจที่ลังเลในตอนแรก
จริงๆ แล้วก็โทษการตัดสินใจที่ผิดพลาดของหนิวต้าลี่ไม่ได้ เพราะเขาทำธุรกิจเสื้อผ้าขายส่งมาตลอด โดยแบกกระเป๋าใบใหญ่ไปทางใต้ แล้วซื้อเสื้อผ้าสีต่างๆ กลับมาตามใจชอบ วางขายในร้านของตัวเอง ถือว่าเสร็จงานแล้ว การได้ขายห้องเสื้อหลันเยว่ก็ถือเป็โอกาสพิเศษแล้ว
เขาได้จัดพื้นที่พิเศษสำหรับห้องเสื้อหลันเยว่ แต่นั่นก็เป็ขีดจำกัด ในหัวของเขายังไม่มีแิในการเปิดร้านสำหรับร้านค้าเดียว แต่เมื่อเขาเห็นร้านห้องเสื้อหลันเยว่ของจางเหรินซ่านและร้านเสื้อผ้าแฟชั่นหลันเยว่ของเซี่ยหย่งเลี่ยง หัวใจของเขาก็เปิดกว้างขึ้นมาทันที
ที่แท้ ธุรกิจสามารถทำแบบนี้ได้ ตัวเองสายตาสั้นไปเสียแล้ว เมื่อคิดถึงคำแนะนำทั้งหมดของเด็กสาว ั้แ่ที่เขาร่วมมือกับหมี่หลันเยว่ ก็ไม่มีสักครั้งที่ไม่ประสบความสำเร็จ การลังเลของตัวเองในเื่นี้ ถือเป็การลดความเชื่อมั่นในตัวเด็กสาว ต้องเจ็บตัวสักครั้ง ถึงจะไม่มีอะไรต้องบ่น
ใน่เวลานี้เอง หนิวต้าลี่ก็นึกถึงคำเตือนของหมี่หลันเยว่ ตอนที่เขาอยากได้เสื้อผ้าชั้นนำ ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะรู้ถึงความลังเลของเขาั้แ่ตอนนั้น เธอ้าให้เขาได้ัักับข้อดีของเื่นี้อย่างแท้จริงก่อน ถึงจะให้เขาเริ่มดำเนินการ ต้องบอกว่าเด็กสาวดูแลเขาเป็อย่างดี ไม่เสียทีที่รู้จักกัน
การกระทำสำคัญกว่าความคิด เมื่อหนิวต้าลี่รู้ตัวว่าพลาดโอกาสไปแล้ว เขาก็อยากจะชดเชยความสูญเสียให้กลับคืนมาทันที วันนั้นเขาจึงนั่งรถไปที่ซวงเฉิง เพื่อพูดคุยกับหมี่หลันเยว่อย่างจริงจัง หมี่หลันเยว่เห็นว่าลุงหนิวตระหนักถึงข้อดีของร้านอย่างแท้จริง จึงยอมให้เขาสร้างร้าน
ครั้งนี้หนิวต้าลี่ไม่มีความลังเลเลย เขาทำตามการออกแบบการตกแต่งของหมี่หลันเยว่ทั้งหมด และทำตามคำแนะนำทั้งหมดของหมี่หลันเยว่ เพราะหมี่หลันเยว่มีประสบการณ์มาแล้ว ส่วนเขาเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจด้านนี้ ต้องเรียนรู้อีกมาก
เมื่อเขาตกลงทำสัญญาและกลับไปสร้างร้าน จางเหรินซ่านและเซี่ยหย่งเลี่ยงก็มาเปิดร้านที่ว่างอยู่ของตัวเองอีกร้าน แบบนี้ ทั้งสามคนก็มีร้านห้องเสื้อหลันเยว่และร้านเสื้อผ้าชั้นนำอย่างละร้าน
เมื่อร้านของทั้งสามคนขายดิบขายดี ก็มีผู้ประกอบการจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มาเจรจาสัญญา เมื่อฤดูหนาวผ่านไปและฤดูใบไม้ผลิเวียนมาอีกครั้ง ในเฮยหลงเจียงก็มีร้านห้องเสื้อหลันเยว่กว่าสิบแห่ง และร้านเสื้อผ้าชั้นนำของหลันเยว่อีกเจ็ดแปดแห่ง
หมี่หลันเยว่พอใจกับผลงานนี้มาก และสิ่งที่ทำให้เธอพอใจยิ่งกว่าคือ กองกำลังหนุนของเธอได้รับการจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเื่อื่น ภายในครึ่งปีนี้ ความก้าวหน้าของหมี่หลันซิงทำให้เธอต้องประหลาดใจ เธอเชื่อมั่นว่า หากเธอออกจากซวงเฉิงในตอนนี้ น้องชายของเธอจะสามารถจัดการธุรกิจในซวงเฉิงให้ดีได้
ไม่เพียงแค่นั้น หมี่หลันเยว่ยังพบว่า เมื่อหมี่หลันซิงค่อยๆ เรียนรู้เคล็ดลับของธุรกิจ สมองของเขาก็ดูเหมือนจะเปิดออกเช่นกัน การเรียนรู้ไม่ยากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เมื่อก่อนเธอต้องสอนพิเศษและสอนการบ้านให้เขาอย่างหนัก แต่ตอนนี้หมี่หลันซิงแทบจะไม่ต้องให้เธอเป็ห่วงเื่การเรียนอีกแล้ว
ส่วนเฉียนหย่งจิ้นและหลินเผิงเฟย หร่วนิอี้ที่เฉียนหย่งจิ้นไม่ได้คาดหวังไว้มากนัก กลับแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และทักษะความเป็ผู้นำใน่ครึ่งปีนี้ ทำให้เฉียนหย่งจิ้นที่ตั้งใจจะพิจารณาเขาต่อไปอีกสักพัก เริ่มค่อยๆ มอบอำนาจให้เขา คนที่รับเข้ามาใหม่สองคนก็อยู่ภายใต้การดูแลของเขา และประสบความสำเร็จอย่างมาก
ส่วนอันเสี่ยวหวู่ที่หลินเผิงเฟยค่อนข้างคาดหวังไว้ เมื่อภาระบนบ่าเพิ่มขึ้น กลับดูเหมือนจะแบกรับไม่ไหว ดูเหมือนว่าอันเสี่ยวหวู่จะเหมาะกับการเป็คนดูแลคลังสินค้ามากกว่า แต่ตานจือที่ไม่ค่อยมีใครสังเกต กลับช่วยเขาแบ่งเบาภาระทีละน้อย เมื่ออันเสี่ยวหวู่มีแรงกดดันในการทำงานมากเกินไป แล้วก็เปล่งประกายออกมา
"ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนที่แบกรับภาระในท้ายที่สุดคือตานจือ"
ตอนที่หมี่หลันเยว่ประชุมเล็กๆ กับพี่ชายของเธอ ตอนที่ได้ยินหลินเผิงเฟยยืนยันผลงานของตานจืออีกครั้ง เธอก็เริ่มทบทวนตัวเอง
"เขาว่ากันว่าคนเราดูแต่ภายนอกไม่ได้ พวกเรามองแต่เปลือกนอกมากเกินไป ผ่านเื่นี้ พวกเราก็ได้รู้ความจริงข้อนี้อีกครั้ง พวกเราไม่ได้ขาดคน พวกเราต้องคัดเลือกบุคลากรจากพนักงาน"
"จริงๆ แล้วการคัดเลือกคนที่มีศักยภาพจากพนักงาน จะช่วยประหยัดแรงได้มากกว่าการรับสมัครคนใหม่จากภายนอก เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์ของพวกเรามากที่สุด เพียงแต่ว่าพวกเราจะขุดค้นคนเก่งเหล่านี้ออกมาได้อย่างไร ก็ต้องทดสอบความสามารถของพวกเรา ในฐานะผู้นำ พวกเราต้องมีวิสัยทัศน์ในการมองคนออก ขอเป็กำลังใจให้ทุกคน เตรียมพร้อมสำหรับอนาคตของพวกเรา"
