เจียงชิงอวิ๋นรู้สึกไม่พอใจที่หลี่หรูอี้มองสำรวจตน คิดในใจว่าในฐานะที่เป็หมอคนหนึ่ง จิตใจควรอยู่ที่ผู้ป่วย แต่แม่นางน้อยผู้นี้กลับไม่ยอมมองคนป่วย แต่กลับมองผู้อื่นแทน มีเหตุผลเช่นนี้ที่ไหนกัน หรือแม่นางน้อยไม่ใช่หมอเทวดาอันใด เป็แค่ชื่อเสียงจอมปลอม?
หลี่อิงฮว๋าชี้ไปที่ลุงโจวซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “น้องสาว พวกเขาบอกว่า ผู้ดูแลโจวอาการกำเริบตอนบ่าย ปวดจนทนไม่ไหว…”
นางหลิวรอจนร้อนใจแล้ว ต่อให้ไม่เชื่อแม้แต่น้อยว่าหลี่หรูอี้จะมีวิชาแพทย์สูงส่ง แต่ในเมื่อมาแล้วก็ต้องลองดูสักหน่อย รีบถามไปว่า “ตาแก่บ้านข้าเจ็บแทบตายแล้ว พวกเรากลัวเขาจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายเลยตีเขาให้สลบ เขาสลบไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็เ็ปจนสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีก พวกเราจำเป็ต้องพาตัวเขามาส่งที่นี่ ขอร้องเ้าล่ะ ช่วยตรวจดูหน่อยว่าเขาป่วยเป็อะไรกันแน่ เหตุใดจึงเ็ปเช่นนี้ ปวดจนเขาอยากตายเชียวหรือ”
“คราวที่แล้วพวกท่านส่งคนมาแล้วกล่าวเพียงว่า ผู้ป่วยปวดท้อง ข้าไม่อาจอาศัยคำพูดเพียงประโยคเดียวมาวินิจฉัยได้ว่า ผู้ป่วยเป็โรคอะไร” หลี่หรูอี้เดินเข้าไป ยื่นมือไปพลิกดูเปลือกตาของลุงโจว จากนั้นจึงจับชีพจรให้เขา “ข้าขอกล่าวให้ชัดเจนก่อนนะเ้าคะ ข้าไม่ได้มีใบรับรองฐานะแพทย์ที่ทางการออกให้ ไม่ใช่หมอที่ทางการรับรอง พวกท่านพาผู้ป่วยมาหาถึงที่ ข้าเห็นแก่ความจริงใจของพวกท่านจึงตรวจดูให้ เื่เงินข้าไม่กล้ารับ แต่หากข้ารักษาไม่ได้ พวกท่านก็อย่านำความลำบากมาสู่ครอบครัวข้าเลย”
นางกล่าวอย่างชัดเจน นับว่าตรงเข้าประเด็นก่อนแล้วประนีประนอมทีหลัง
ในโลกเดิมของนางเคยได้ยินเื่ข้อพิพาททางการแพทย์มามากมาย ต่อให้เป็โรงพยาบาลแพทย์ของทหารก็เกิดข้อพิพาททางการแพทย์เช่นกัน มีเื่ที่ครอบครัวผู้ป่วยมาทำร้ายหมอด้วย
ในโลกนี้นางไม่มีคุณสมบัติที่เป็กระทั่งหมอจร อีกทั้งครอบครัวหลี่ก็ไม่มีอำนาจไม่มีอิทธิพล ดังนั้นต่อให้วิชาแพทย์ของนางดีกว่าหมอทั่วทั้งแคว้นต้าโจว ก็ไม่กล้าตรวจรักษาให้ผู้ป่วยตามใจ
นางหลิวไม่คิดว่าคำพูดของหลี่หรูอี้ฟังดูแย่แต่อย่างใด กลับคิดว่ากล่าวตรงไปตรงมาเช่นนี้เป็เื่ดี จึงรีบตอบไปว่า “ไม่ พวกเราจะไม่ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นแน่นอน”
เมื่อครู่เจียงชิงอวิ๋นยังสงสัยหลี่หรูอี้ แต่ตอนนี้เมื่อได้ฟังคำพูดของนางแล้ว ก็รู้สึกว่านางเป็คนมีหลักการ หรือว่านางจะมีวิชาแพทย์สูงส่งจริงๆ
นี่ไม่ใช่คำพูดที่เด็กน้อยคนหนึ่งจะพูดออกมาได้ ในใจของลุงฝูรู้สึกแปลกใจกับความสุขุมเยือกเย็นของหลี่หรูอี้จริงๆ
จ้าวซื่อเข้ามาั้แ่เมื่อใดก็ไม่อาจทราบ นางเดินมาข้างกายหลี่หรูอี้ คารวะเจียงชิงอวิ๋นแล้วกล่าวว่า “บุตรสาวข้ายังเด็ก พูดจาไม่รู้ความ ขอนายท่านเจียงอย่าได้ตำหนินางเลยเ้าค่ะ”
“ไม่เป็ไร ลุงโจวไปหาหมอเลื่องชื่อในภาคเหนือมาหมดแล้ว ล้วนกล่าวว่ารักษาไม่ได้ หากบุตรสาวเ้ารักษาไม่ได้ ข้าย่อมไม่ตำหนินาง” ในตอนที่เจียงชิงอวิ๋นเห็นจ้าวซื่อ จึงค่อยเข้าใจว่า เหตุใดหลี่หรูอี้จึงมีบุคลิกที่เยือกเย็นเช่นนี้
หลี่หรูอี้ไม่มีเวลาฟังคำพูดของเจียงชิงอวิ๋น จึงเริ่มสอบถามนางหลิวทันที “ผู้ป่วยอาการกำเริบครั้งแรกเมื่อใด”
“สี่ปีก่อน ตอนนั้นเขาอาการกำเริบแค่หนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่เจ็บแล้ว”
“ในสี่ปีมานี้อาการกำเริบทั้งหมดกี่ครั้ง”
“ทั้งหมดเจ็ดครั้ง”
“ปกติผู้ป่วยชอบกินอาหารมันๆ หรือไม่”
“ตาแก่ไม่ชอบกินอาหารมันๆ เขาชอบกินผัก”
“ไม่กินข้าวเช้าใช่หรือไม่”
“ใช่ ตาแก่บ้านข้าไม่กินข้าวเช้า ไม่กินข้าวเช้ามาหลายปีแล้ว”
“ก่อนอาการกำเริบเขากินอะไรมา”
“อาหารกลางวัน”
“อาหารกลางวันกินอะไรบ้าง”
“ผัดเต้าหู้ ฟองเต้าหู้คลุกน้ำมันงาและหอมแดง เต้าหู้ทอด ไข่ทอด เห็ดผัดกุ้ง ผัดผักหัวไชเท้า ข้าวสวย”
สู่ตี้มีพืชผักให้กินตลอดทั้งหนึ่งปีสี่ฤดู หากเป็ฤดูหนาวก็มีเช่นกัน แต่เมืองเยี่ยนกลับไม่เป็เช่นนั้น เมื่อถึงฤดูหนาวไม่ว่าจะูเาหรือที่ราบก็ไม่เห็นใบไม้สีเขียวแม้ใบเดียว ไม่อาจกินผักใบเขียวได้ จึงได้แต่กินหัวไชเท้าทุกวัน ยังดีที่มีเต้าหู้ ตระกูลหลี่และฟองเต้าหู้ พ่อครัวในจวนเจียงจึงทำอาหารสองชนิดนี้ทุกวัน
ลุงโจวกินมังสวิรัติ ั้แ่วันแรกที่มาถึงจวนเจียงเขากินเต้าหู้ไปแล้วก็ชมไม่ขาดปาก ดังนั้นจึงต้องมีอาหารจากเต้าหู้ทุกวัน
วันนี้อาหารกลางวันที่ลุงโจวกินก่อนอาการกำเริบก็มีเต้าหู้และฟองเต้าหู้มากมาย
ในใจของหลี่หรูอี้เริ่มเข้าใจกระจ่างแล้ว “ปกติเขาดื่มน้ำน้อยใช่หรือไม่”
“ใช่ เ้าทราบได้อย่างไรว่าเขาดื่มน้ำน้อย” นางหลิวถามอย่างตื่นเต้น “เ้ารู้หรือว่าเขาเป็โรคอะไร”
หลี่หรูอี้ไม่ได้ตอบ แต่ยื่นมือไปกดบริเวณท้องของลุงโจวครู่หนึ่งแล้วถามว่า “เขาปวดตรงนี้ใช่หรือไม่”
นางหลิวพยักหน้าราวกับไก่จิกข้าวสาร “ใช่ๆๆ”
“ผลการวินิจฉัยเบื้องต้นคือ เจ็บป่วยที่ถุงน้ำดี”
“เจ็บป่วยที่ถุงน้ำดี หมายความว่าอย่างไร”
“เจ็บป่วยที่ถุงน้ำดีก็คือเป็นิ่วในถุงน้ำดี หมายถึง มีก้อนหินอยู่ในถุงน้ำดี ทำให้เจ็บจนทนไม่ไหว” หลี่หรูอี้เห็นนางหลิวมีสีหน้าตะลึงพรึงเพริด จึงอธิบายต่อไป “ถุงน้ำดีของคนเราเป็อวัยวะที่ไม่อาจปล่อยปละละเลยได้ มันไม่เหมือนกับตับ ไต กระเพาะ ที่ผู้คนศึกษาจนรู้จักดีแล้ว เมื่อเกิดเจ็บป่วยที่ถุงน้ำดี จะทำให้ผู้ป่วยเ็ปจนไม่อยากมีชีวิตอยู่”
นางหลิวรู้สึกว่าคำพูดของหลี่หรูอี้ฟังเข้าใจง่าย แต่นางมีชีวิตอยู่มานานเพียงนี้แล้วก็ยังไม่เคยได้ยินหมอท่านใดกล่าวถึงอาการป่วยที่ถุงน้ำดีมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโรคนิ่วในถุงน้ำดีเลย นางกล่าวพึมพำไปว่า “ตาแก่บ้านข้าป่วยที่ถุงน้ำดีหรือ”
เจียงชิงอวิ๋นอดกล่าวไม่ได้ว่า “ในถุงน้ำดีจะมีก้อนหินได้อย่างไร” จากนั้นจึงกำหมัดวาดออกไป “เ้าบอกว่าในถุงน้ำดีของลุงโจวเกิดก้อนหินขึ้นหรือ”
“เมื่อครู่ข้ากล่าวไปชัดเจนแล้วว่า เป็การวินิจฉัยเบื้องต้น มิใช่การวินิจฉัยสุดท้าย” หลี่หรูอี้เกลียดการถูกผู้ไม่เกี่ยวข้องตั้งคำถามด้วยความสงสัยเป็ที่สุด ต่อให้คนผู้นั้นจะเป็จักรพรรดิก็ไม่ได้ น้ำเสียงที่กล่าวจึงเต็มไปด้วยความค่อนแคะอยู่หลายคำ
“ก้อนหินที่ข้าว่าไม่ได้ใหญ่เท่ากำปั้น ถุงน้ำดีของมนุษย์ใหญ่ไม่เท่าไร จะมีก้อนหินใหญ่เพียงนั้นอยู่ในถุงน้ำดีได้อย่างไร”
หากมีก้อนหินขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารอยู่ในถุงน้ำดี ก็ทำให้ปวดจนทนไม่ไหวแล้ว จะมีก้อนหินใหญ่เท่ากำปั้นอยู่ได้อย่างไร
เจียงชิงอวิ๋นเคยอ่านตำราแพทย์มาเพียงลวกๆ จึงกล่าวไปอย่างเขินอายว่า “เช่นนั้นใหญ่เท่าใดเล่า”
“บ้างก็ใหญ่เท่าหัวแม่มือ บ้างก็เล็กเท่าเมล็ดข้าวสาร”
เจียงชิงอวิ๋นส่ายหน้า “ข้าคิดว่าในถุงน้ำดีของคนเรามีก้อนหินเกิดขึ้นไม่ได้หรอก” จากนั้นก็คิดในใจว่า นี่ไม่ใช่นิทานเทพเซียนสักหน่อยที่จะมีก้อนหินเกิดขึ้นในถุงน้ำดี
หลี่หรูอี้ทำหน้านิ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “นั่นเป็สิ่งที่ท่านคิดไปเอง ความจริงร่างกายของมนุษย์เรามิใช่เพียงแค่ถุงน้ำดีเท่านั้น แต่อวัยวะอื่นๆ ก็มีก้อนหินเกิดขึ้นได้” เช่น นิ่วในไต เป็ต้น ผู้ป่วยจะปวดยิ่งกว่ามีนิ่วในถุงน้ำดีเสียอีก เรียกได้ว่าอยากตายก็ไม่ได้อยากอยู่ก็ไม่ไหว
ความรู้สึกดีที่เจียงชิงอวิ๋นมีต่อหลี่หรูอี้ได้ถูกทำลายไปจนสิ้นแล้ว เขาจับจ้องไปทางหลี่หรูอี้ และ้าหาอะไรบางอย่างจากท่าทางของนาง “ข้าอ่านหนังสือหลายประเภท อ่านตำรามานับพัน ไม่มีตำราเล่มใดบันทึกไว้ว่า มีก้อนหินเกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์ได้” สิ่งที่เขาอ่านเจอในหนังสือน่าตื่นตะลึงจนทำให้ผู้คนใตายได้เลย
หลี่หรูอี้คิดในใจว่า อีกฝ่ายไม่ได้เป็แม้แต่หมอ เพียงอ่านตำรามาหลากหลายประเภทเท่านั้น ยังกล้าพูดคำเช่นนี้ออกมาอีกหรือ จากนั้นจึงกล่าวอย่างเรียบๆ ว่า “ระดับของการแพทย์ในปัจจุบันนี้ยังมีความเข้าใจต่อร่างกายมนุษย์ไม่เพียงพอ”
ต่อให้เป็โลกเดิมของนาง ด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันก็ยังมีอาการป่วยมากมายที่รักษาไม่ได้ เช่น โรคมะเร็งแต่ละชนิด โรคิัและโรคประสาท เป็ต้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแคว้นต้าโจวที่การแพทย์ยังล้าหลังเลย
เจียงชิงอวิ๋นถึงกับตื่นตะลึง
ในตอนนี้หลี่หรูอี้จึงค่อยเห็นรูปโฉมของเจียงชิงอวิ๋นได้อย่างชัดเจน ดวงตาและคิ้วงดงามดั่งภาพวาด ทุกท่วงท่าการ กระทำแสดงให้เห็นถึงความสง่างาม รวมทั้งการเติบโตได้เป็อย่างดี ฐานะก็ดีเยี่ยม นับเป็ผู้มีวาสนาจริงๆ แต่หากใช้ดวงตาของผู้เป็แพทย์พิจารณาแล้วกลับรู้สึกว่า ร่างกายของเขาผ่ายผอมเกินไป ดูแล้วคงจะมีอายุสั้น บนโลกใบนี้ไม่มีผู้ใดที่สมบูรณ์แบบจริงๆ “ท่านอ่านตำรามามากมายแล้วเป็อย่างไร บนโลกใบนี้ยังมีเื่ราวอีกมากมายที่อธิบายไม่ได้ ใช่หรือไม่”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้