พวกหลิ่วซานสามคนยืนอยู่ที่เดิม มองส่งพวกหลิ่วเทียนฉีสี่คนจากไปก่อน พวกนางจึงเดินกลับบ้าง
“ท่านพี่ เมิ่งเฟยแห่งวิทยาลัยหลอมอุปกรณ์คือใครกัน?” หลิ่วซือมองหลิ่วซาน เอ่ยถามอย่างสงสัย
“ข้าก็ไม่รู้ชัดนัก แต่นางร้ายกาจยิ่ง อย่างน้อยก็ร้ายกาจกว่าข้า เพียงแต่ข้ามองระดับพลังของนางไม่ออก สตรีชุดขาวที่อยู่ด้วยกันกับนางก็เช่นกัน ระดับของทั้งสองล้วนเหนือกว่าอยู่มากนัก!”
หลิ่วอู่ได้ยินพลันมีสีหน้าซีดขาว “ร้ายกาจปานนั้นเชียวหรือ? เป็ไปได้อย่างไร? หลิ่วเทียนฉีจะไปรู้จักผู้ฝึกตนหญิงสองคนนั้นได้อย่างไรเล่า?”
นึกถึงเมิ่งเฟยที่จะตบจะสังหารตน แต่หน้าชื่นตาบานกับหลิ่วเทียนฉี ในใจหลิ่วอู่ยิ่งสะอิดสะเอียนหนัก
“ข้าก็ไม่รู้!” หลิ่วซานส่ายศีรษะบอก
“ไม่ว่าอย่างไร ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่อาจล่วงเกิน เสี่ยวอู่ หลังจากนี้เ้าระวังปากให้ดี อย่าพูดออกไปเสียทุกอย่าง หาเื่ผู้อื่นไปทั่ว!” หลิ่วซือมองน้องสาว ตักเตือนอย่างเหนื่อยใจ
“ถึงอย่างนั้น ถึงอย่างนั้นก็โทษข้าไม่ได้นะ? พวกท่านรู้หรือไม่ ผู้หญิงคนนั้นน่าขำมากเพียงไร? ถึงกับ ถึงกับวิ่งมาหาหลิ่วเทียนฉี หาเ้าขยะคนนั้นถึงนี่ จะให้รักษาใบหน้าของสตรีชุดขาวนั่น ข้า ข้าแค่พูดประโยคเดียว นางก็เหมือนยัยแก่บ้าเข้ามาตบปากข้า ข้าโกรธจัดถึงลงมือไปหรอก”
“รักษาใบหน้า?” หลิ่วซานได้ยินพลันตะลึง
“ก่อนหน้านี้ ได้ยินว่าในวิทยาลัยหลอมอุปกรณ์มีตัวอัปลักษณ์คนหนึ่งประกาศให้รางวัล หาคนรักษาใบหน้าที่ตำหนักภารกิจ หลังจากนั้น ใบหน้านางหายดีกลายเป็ยอดหญิงงามอันดับหนึ่งของวิทยาลัยหลอมอุปกรณ์ หรือว่าที่พูดกันคือเมิ่งเฟยผู้นี้หรือ?”
ได้ยินคำพูดของหลิ่วซาน หลิ่วซือนิ่งอึ้งไป “หรือนางคือเมิ่งเฟย คุณหนูใหญ่จากตระกูลเมิ่ง ตระกูลหลอมอุปกรณ์อันดับหนึ่งของนครเซิ่งตูงั้นหรือ?”
“ไม่ ไม่มีทางหรอก?” หลิ่วอู่ได้ยินเช่นนั้น สีหน้ายิ่งซีดขาว
นาง นางถึงกับล่วงเกินคุณหนูใหญ่ตระกูลเมิ่ง ตระกูลหลอมอุปกรณ์อันดับหนึ่งของนครเซิ่งตูเชียวหรือ?
“หรือ หรือใบหน้าของเมิ่งเฟย น้องเจ็ดเป็คนรักษา?” หลิ่วซานมองสองคนข้างกาย เอ่ยอย่างคลางแคลง
“เป็ไปได้อย่างไร? หลิ่วเทียนฉีเป็ผู้ใช้ยันต์นะ จะรักษาใบหน้าของเมิ่งเฟยได้อย่างไรเล่า? ข้าได้ยินว่าศิษย์พี่วิทยาลัยโอสถมากมายล้วนรักษาเมิ่งเฟยไม่หาย และยังถูกนางทุบตีด้วยนะ?” หลิ่วอู่ส่ายศีรษะ เหยียดหยันไม่ยินดีเชื่อว่าเป็ฝีมือเ้าขยะ
“เป็ไปได้อยู่!” หลิ่วซือพยักหน้า นางรู้สึกว่าเื่นี้เป็ไปได้มาก
หากไม่ใช่น้องเจ็ดมีข้อดีเหนือผู้อื่น คุณหนูใหญ่จากตระกูลเมิ่งจะวิ่งมาถึงวิทยาลัยยันต์ ขอให้น้องเจ็ดรักษาใบหน้าของสหายนางได้อย่างไรเล่า?
“ไม่มีทางหรอกน่า?” หลิ่วอู่ส่ายศีรษะ ยังไม่ปักใจเชื่อ
หลิ่วซือกับหลิ่วซานสบตากันทีหนึ่ง แม้ยังไม่เชื่อเื่นี้มากนักเช่นกัน แต่พวกนางกลับรู้สึกว่า แปดเก้าในสิบส่วนอาจเป็ความจริง
.........
ห้องส่วนตัวในโรงอาหาร
หลิ่วเทียนฉีสั่งอาหารดีๆ มาหนึ่งโต๊ะก่อนจะพูดคุยกับเมิ่งเฟยและจงหลิง
“ศิษย์น้องหลิ่ว ครั้งนี้ข้ามาหาเ้า หลักๆ คืออยากให้เ้าช่วยดูใบหน้าของหลิงหลิงสักหน่อย ดูว่าเ้าจะรักษาหน้าของนางให้หายดีได้หรือไม่!” เมิ่งเฟยพูดพลางมองจงหลิงที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“บนหน้าของศิษย์พี่จงหลิงก็มีรอยตำหนิแต่เกิดหรือขอรับ?” อีกฝ่ายปิดบังใบหน้าอยู่ตลอด เขาจึงไม่รู้สภาพของอีกฝ่าย
“ไม่ ไม่ใช่รอยตำหนิแต่เกิด แผลเป็น่ะ แผลเป็ที่คืนสภาพเดิมไม่ได้ อย่างไร พวกเ้ากินข้าวก่อนเถอะ! รอพวกเ้ากินเสร็จ ข้าค่อยถอดผ้าปิดหน้าให้ศิษย์น้องหลิ่วดู”
“หลิงหลิงกลัวพวกเ้าเห็นหน้านางแล้วไม่อยากอาหารกระมัง พวกเรากินข้าวกันก่อนเถิด เื่อื่นค่อยว่ากันทีหลัง!” เมิ่งเฟยพูดพลางหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารให้จงหลิง
จงหลิงเปิดผ้าปิดหน้าข้างริมฝีปากเล็กน้อย เริ่มกินคำเล็กๆ
เห็นแขกทั้งสองลงมือรับประทานอาหาร หลิ่วเทียนฉีจึงขยับตะเกียบคีบอาหารให้เฉียวรุ่ย ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายกินบ้าง
“อืม อร่อยมาก เนื้อสัตว์อสูรนี่ พลังทิพย์เข้มข้นนัก!” เฉียวรุ่ยคีบเนื้อขึ้นมากินอย่างเบิกบานใจ
จงหลิงเห็นเฉียวรุ่ยเคี้ยวตุ้ยๆ กินอย่างอารมณ์ดีเป็ที่สุดก็หัวเราะเบาๆ เมิ่งเฟยกะพริบตาปริบๆ อย่างแปลกใจเช่นกันพลางคิด ‘ศิษย์น้องเฉียวเป็คนเปิดเผยเสียจริง ถึงได้กินข้าวอย่างเต็มที่เช่นนี้’
จนกระทั่งรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ จงหลิงถึงยินดีปลดผ้าปิดหน้าออกให้หลิ่วเทียนฉีดู ช่วยรักษาใบหน้านาง
“โอ้ นี่...” เฉียวรุ่ยเห็นใบหน้าของจงหลิงก็อุทานอย่างใ
หากมองเพียงใบหน้าซีกซ้าย นับว่าเป็ยอดหญิงงามล่มเมืองทีเดียวเชียว แต่เมื่อมองหลุมมหึมาขนาดเท่าหนึ่งกำปั้นบนใบหน้าซีกขวา ใบหน้าของจงหลิงกลับดูนูนเด่นเป็อย่างยิ่ง
หลิ่วเทียนฉีใช้นิ้วมือแตะหลุมเนื้อที่ยุบจนยับย่นใต้ดวงตาของจงหลิงอย่างแ่เบาพลางเลิกคิ้วสูง
“ไม่ทราบว่าแผลนี้ ศิษย์พี่ได้มาอย่างไรหรือ?”
“อ้อ เป็เช่นนี้ หลายปีก่อนข้าออกไปฝึกวิชาข้างนอก ตอนนั้นพลังของข้าเพียงระดับสร้างรากฐาน่ต้น แต่กลับพบสัตว์อสูรระดับสร้างรากฐาน่ปลายตัวหนึ่งเข้า ยามนั้น ข้าใช้ค่ายกลกับพลังทิพย์โจมตีมันพร้อมกัน สู้รากเืสามวันสามคืน แม้ข้าสังหารมันได้ แต่ระหว่างการต่อสู้ ปากแหลมของสัตว์อสูรตัวนั้นก็กัดหน้าข้าจนาเ็และยังดูดเืไปอีก ทำให้ใบหน้าข้ากลายเป็เช่นนี้ หลายปีมานี้ ในตระกูลข้าเชิญหมอมีชื่อมามากมาย พวกเขาล้วนแต่บอกว่าข้าต้องพิษของสัตว์อสูรตัวนั้น าแมีพิษเช่นนี้รักษาไม่หายหรอก!” จงหลิงเล่าจบ สีหน้าหดหู่ขึ้นมาในทันที
“ไม่ทราบว่าสัตว์อสูรที่กัดศิษย์พี่จนาเ็ เป็สัตว์อสูรอะไรหรือ?” หลิ่วเทียนฉีมองอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนถามสภาพสัตว์อสูรโดยละเอียด
“เป็อสูรยุงั์ที่ดูดเืโดยเฉพาะตัวหนึ่ง สูงสองเมตรกว่า นิสัยดุร้ายเป็อย่างยิ่ง หากมันพบเหยื่อจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ นอกจากนี้ ปากของมันยังยาวและแหลมมาก นาทีที่ถูกมันกัดเข้า ข้ารู้สึกว่าเืทั้งร่างราวกับจะทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง เ็ปอย่างร้ายกาจ หากไม่ใช่เพราะข้าวางค่ายกลเอาไว้ และมีอุปกรณ์อาคมคุ้มครองกายที่ตระกูลมอบให้ เกรงว่าครั้งนั้น ข้าคงไม่ได้กลับมาอีกแล้ว!” จงหลิงพูดพลางถอนหายใจเบาๆ
“อ้อ เป็เช่นนี้เอง!” หลิ่วเทียนฉีพยักหน้ารับ
“ศิษย์น้องหลิ่ว แผลบนหน้าข้าเป็มานานนับปี แม้พูดกันว่าเมื่อถึงพลังวัตรระดับดวงปราณ โฉมหน้าจะปรับเปลี่ยนได้ แต่แผลนี้เป็แผลต้องพิษ ไม่ใช่สิ่งที่เป็มาแต่กำเนิด ข้าจึงกลัว หากข้าพลังวัตรถึงระดับดวงปราณและใบหน้านี้ไม่อาจรักษาหาย เช่นนั้นข้าถึงได้ตามเฟยเฟยมาเพื่อพบกับเ้า!”
“ศิษย์พี่จง ไม่ต้องตื่นเต้นไปหรอก!” หลิ่วเทียนฉีเผชิญหน้ากับจงหลิงผู้เปี่ยมไปด้วยความหวัง ตื่นเต้นไม่คลายก็ปลอบเสียงเบา
“ไม่ ศิษย์น้องหลิ่ว ฟังที่ข้าจะพูดก่อนเถอะ หากเ้ารักษาใบหน้าข้าจนหายดีได้ ข้าจะตอบแทนเ้าอย่างหนักหน่วงแน่ ไม่กลืนน้ำลายตนเองเป็อันขาด” จงหลิงมองหลิ่วเทียนฉีก่อนบอกอย่างหนักแน่น
“ใช่แล้ว แผลนี้ของหลิงหลิงเป็มานานนับปี ศิษย์น้องหลิ่ว หากเ้ารักษาหลิงหลิงได้ นางยินดีตอบแทนเ้าสองหมื่นก้อนศิลาทิพย์เชียวนะ!” เมิ่งเฟยรีบยื่นข้อเสนอ
หลิ่วเทียนฉีได้ยินก็ยิ้มเฝื่อน
“ข้าไม่ปิดบังความจริง ศิษย์พี่ทั้งสอง ตอนนี้ข้าไม่มีความคิดใดพอจะช่วยรักษาท่านได้เลย ไม่อย่างนั้นเอาเช่นนี้เถิด! ศิษย์พี่จง ท่านทิ้งป้ายหยกส่งสารไว้ให้ข้า ขอข้ากลับไปครุ่นคิดให้ละเอียดสักหน่อย ดูว่าจะช่วยรักษาท่านได้อย่างไร รอข้าคิดเรียบร้อยค่อยนัดท่านออกมา ท่านเห็นว่าอย่างไร?”
“ได้สิ!” จงหลิงพยักหน้า สวมผ้าปิดหน้าแล้วเอาป้ายหยกออกมามอบให้
“ถ้าอย่างนั้น นี่คือป้ายหยกเรียกตัวของข้า เ้าถือไว้ด้วยล่ะกัน หลังจากนี้ หากข้ามีธุระจะตามหาเ้าย่อมสะดวก ไม่ต้องวิ่งมาไกลถึงวิทยาลัยยันต์ของเ้าอีก!” เมิ่งเฟยพูดพลางมอบป้ายหยกเรียกตัวแผ่นหนึ่งให้
“ขอรับ!” หลิ่วเทียนฉีขานรับ รับป้ายหยกของเมิ่งเฟยมา
.........
หลังอาหาร หลิ่วเทียนฉีกับเฉียวรุ่ยกลับมาที่เรือนน้อย
“เทียนฉี เ้ารักษาศิษย์พี่จงให้หายได้หรือ?”
“ยังไม่รู้หรอก!” พูดพลางจูงเฉียวรุ่ยมานั่งบนเก้าอี้ด้วยกัน
“ศิลาทิพย์ตั้งสองหมื่นก้อนเชียวนะ!” เฉียวรุ่ยมองคนรัก เอ่ยเตือนเสียงเบา
ได้ยินคำนี้ หลิ่วเทียนฉีส่ายศีรษะ หลุดหัวเราะเล็กน้อย “ต่อให้นางไม่ให้ศิลาทิพย์ข้าสักก้อน ข้าก็อยากหาวิธีรักษาใบหน้านางให้หายเหมือนกัน”
“ทำ ทำไมเล่า?” ได้ยินเช่นนี้ ในใจเฉียวรุ่ยรู้สึกหึงอยู่นิดหน่อย
“เพราะนางคือจงหลิง ศิษย์คนเก่งซึ่งเป็ที่โปรดปรานของอาจารย์ใหญ่วิทยาลัยค่ายกล และยังเป็อันดับหนึ่งของวิทยาลัยค่ายกลด้วย หากได้คบเป็สหาย ย่อมมีประโยชน์กับพวกเราอย่างยิ่งเลยล่ะ”
จงหลิงคนนี้ ตายเพราะภรรยาคนที่สองของพระเอก นางเองก็เป็ผู้ใช้ค่ายกลที่มีพร์ยอดเยี่ยม วิชาค่ายกลจึงสูสีทัดเทียมกับจงหลิง ต่อมา ทั้งสองคนเข้าสำนักใหญ่ของจิ่นโจวเพื่อแย่งชิงกันเป็ศิษย์ส่วนตัวของยอดปรมาจารย์ เรียกได้ว่า พวกนางสู้กันในที่แจ้งกับที่ลับมาหลายต่อหลายครั้ง ท้ายที่สุด จงหลิงถูกพระเอก นางเอกและนางเอกคนที่สองร่วมมือกันวางแผนทำร้ายจนตาย พระเอกกับภรรยาคนที่สองจึงกลายเป็ศิษย์ส่วนตัวของยอดปรมาจารย์คนนั้น สำเร็จศาสตร์ค่ายกลอย่างงดงาม
ฉะนั้น กล่าวได้ว่าจงหลิงคือศัตรูคู่อาฆาตของนางเอกคนที่สอง ขอแค่คนผู้นี้มีชีวิตดียิ่งขึ้น นางเอกคนที่สองก็จะมีชีวิตอดสู ไม่สบายเหมือนครั้งก่อนเป็แน่
ในนิยายต้นฉบับ ฉากสุดท้ายคือนางเอกทั้งห้าคนวางแผนทำร้ายเฉียวรุ่ยจนตาย แม้เขาไม่รู้ว่าหลังข้ามมิติมา ฉากจบยังเป็ดังเดิมหรือไม่ ทว่า ั้แ่เสี่ยวรุ่ยอยู่กับตน ในใจหลิ่วเทียนฉีมีความคิดอย่างหนึ่ง นั่นคือขอแค่เขามีความสามารถพอ ต้องคิดวิธีสังหารพวกนางเอกได้แน่ มีเพียงการสังหารสตรีทั้งห้าเท่านั้น ถึงจะทำให้เขาวางใจ ไม่ต้องมาห่วงว่าเสี่ยวรุ่ยจะถูกสังหาร
หลักการว่าไว้ ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร เพราะอย่างนั้นเขาถึงอยากรักษาจงหลิงให้หาย อาศัยเื่นี้ผูกมิตรกับอีกฝ่าย หากดึงจงหลิงมาอยู่ฝ่ายตนได้ เช่นนั้นเขาย่อมมีอาวุธคมสำหรับต่อกรกับนางเอกคนที่สองเพิ่มขึ้นอีกชิ้น อย่างไรนางเอกก็มีห้าคน ไหนจะพระเอกที่โชคชะตาดีเหนือฟ้านั่นอีก หากตนสู้เพียงลำพังกับพวกเขาทั้งหกคนล่ะก็ ย่อมไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด เขาต้องหาพรรคพวกเสียก่อน
“ว้าว ศิษย์พี่จงหลิงร้ายกาจปานนั้นเชียว?” เฉียวรุ่ยกะพริบตา รู้สึกไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
“แน่นอนสิ ตำแหน่งของจงหลิงในวิทยาลัยค่ายกล ไม่เป็รองตำแหน่งของเมิ่งเฟยในวิทยาลัยหลอมอุปกรณ์หรอกนะ และพวกนางต่างก็เป็คุณหนูสูงศักดิ์ของตระกูลใหญ่แห่งนครเซิ่งตูอีกด้วย อำนาจตระกูลใหญ่โตยิ่งนักเลยล่ะ ในวิทยาลัยเซิ่งตู ไม่ว่าศิษย์เก่าหรือศิษย์ใหม่ โดยทั่วไปแล้วไม่มีใครกล้าหาเื่สตรีสองคนนี้หรอก”
“อ้อ ที่แท้เป็เช่นนี้นี่เอง!” เฉียวรุ่ยได้ยินคำอธิบายก็พยักหน้าหงึกหงัก
“ปล่อยจิ้งจอกน้อยออกมาหน่อยสิ ข้ามีเื่อยากถามน่ะ” จิ้งจอกเทพลายทองเป็สัตว์เทพ ความทรงจำสืบทอดมาครบถ้วนยิ่ง เื่ราวที่รู้ก็มากมายนัก หลิ่วเทียนฉีจึงอยากถามอีกฝ่ายเกี่ยวกับอสูรยุงั์ตัวนั้นดูสักหน่อย
“อื้อ!” เฉียวรุ่ยพยักหน้ารับ เอาจิ้งจอกน้อยของตนออกมาจากในถุงเลี้ยงอสูรแล้ววางไว้บนโต๊ะ