ศาสตราจารย์เฉียวหย่งกุ้ยยังไม่ทันเดินทางมาจากปักกิ่ง คังเหว่ยก็ฟื้นขึ้นมาเสียแล้ว
คังเหว่ยตื่นขึ้นมาคราวนี้แม้จะรู้สึกเจ็บแผลอยู่บ้าง แต่ก็ได้สติมากขึ้น เขาสามารถใช้ความคิดในการวิเคราะห์สิ่งต่างๆ สายตาไม่ได้ดูล่องลอยเหมือนก่อนหน้านี้ พอเห็นโจวเฉิงเขาก็แย้มยิ้มขึ้นมาทันที
“เฮ้อ พี่เฉิงจื่อก็มาเยี่ยมผมด้วยหรือนี่”
โจวเฉิงรู้สึกแสบร้อนที่ตาเหลือเกิน เ้าเด็กบ้าคนนี้ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าที่หลายคนมารวมตัวกันเช่นนี้ก็เพราะอาการของเขามันสาหัส! ถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา สิ่งที่โจวเฉิงเห็นคงไม่ใช่คนเป็ แต่เขาคงได้ไปร่วมงานศพของคังเหว่ยแทนน่ะสิ
“ออมแรงไว้หน่อย ดูแลตัวเองดีๆ นายอาการหนักถึงเพียงนี้ ฉันจะไม่มาเยี่ยมนายได้ที่ไหนกัน”
คังเหว่ยยิ้มเหยเก เพราะมีผ้าพันแผลพันอยู่รอบศีรษะ ทำให้รอยยิ้มของเขาดูไม่ได้เอาเสียเลย
“พี่เฉิงจื่อ ครั้งนี้ต้องขอบคุณพี่สะใภ้ที่ช่วยผมไว้...”
หากคนาเ็ไม่ใช่คังเหว่ยแต่เป็เซี่ยเสี่ยวหลาน โจวเฉิงคงต่อยเขาสักหมัดแน่นอน ยังมีหน้ามาพูดอีกหรือ พอเจอเหตุร้ายอย่างกะทันหันก็ตื่นตระหนก มีสติสู้เสี่ยวหลานไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าคังเหว่ยหักพวงมาลัยเองไม่แน่อาจจะหลบพ้นแล้วก็เป็ได้ แต่คังเหว่ยกลับนั่งตัวแข็งทื่อเสียอย่างนั้น
“ไว้หายดีเมื่อไรก็ไปสมัครเรียนขับรถเสีย หาครูฝึกที่ทักษะการขับรถดีเยี่ยมมาสอนขับรถให้ใหม่”
คังเหว่ยพยายามยกมือขึ้นอย่างยากลำบาก ก่อนจะทำท่าน้อมรับคำสั่ง
“รับรองว่าจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จแน่นอนครับ!”
ยังมีอารมณ์มาล้อเล่นอีก ถึงอย่างไรสีหน้าของคังเหว่ยก็สดใสขึ้นไม่น้อย ในที่สุดโจวเฉิงก็ยิ้มออก ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง “คังจื่อ รถชนกันคราวนี้มันเป็อุบัติเหตุ นายกับพี่สะใภ้ของนายเพียงโชคร้ายเท่านั้น แต่นายก็โชคดียิ่งนักที่มีคนคอยช่วยเหลือ หลายวันที่นายหมดสติไปฉันพบว่าอารองของนายไม่ได้เสแสร้งเหมือนอย่างที่พวกเราคิดแม้แต่น้อย”
อุบัติเหตุรถชนคราวนี้ของคังเหว่ย คนที่เปลี่ยนไปมากที่สุดคือเซี่ยอวิ๋น หลังเธอรู้ตัวว่าร้องไห้ฟูมฟายไปก็ไร้ประโยชน์ ในที่สุดเซี่ยอวิ๋นก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ของผู้เป็แม่ได้อย่างเหมาะสม
คังเหลียนิเองก็เช่นกัน เขาเปลี่ยนไปจากภาพลักษณ์ในความทรงจำของโจวเฉิงอย่างสิ้นเชิง
เดิมทีเขากับคังเหลียนิไม่ค่อยได้คุยกันมากนัก โดยส่วนใหญ่เขาจะรู้เื่ของคังเหลียนิจากปากคังเหว่ย รวมถึงการคาดเดาจากปากของคนในวงสังคม
คังเหว่ยาเ็ครั้งนี้ คังเหลียนิคือคนที่ร้อนใจมากที่สุด โจวเฉิงรับรู้ได้อย่างชัดเจน
“อารองของผม เก่งเื่เอาหน้ามากที่สุด...”
รอยยิ้มของคังเหว่ยหายไปแล้ว จู่ๆ เขาก็มีท่าทีที่เคร่งขรึมขึ้นมา
โจวเฉิงหัวเราะ “ถ้านายยังไม่ฟื้น อารองของนายอาจจะฆ่าคนแซ่ตู้ตายไปแล้วด้วยซ้ำ เชื่อไหมล่ะ ฉันรับรู้ได้ว่าเขากำลังขาดสติ ทั้งยังไม่สนว่าผลดีผลเสียที่ตามมาจะเป็อย่างไร และไม่สนว่าต้องทุ่มเทอะไรลงไปบ้าง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะต้องส่งคนแซ่ตู้ไปอยู่เป็เพื่อนนายให้ได้... เสียวเหว่ย ฉันขอพูดในฐานะเพื่อนสนิทของนาย ถ้าเขาทำไปเพื่อหวังเอาหน้าจริงๆ จำเป็ด้วยหรือที่เขาต้องทำถึงขั้นนี้หรือ นี่ก็ปี 1985 แล้ว ไม่ใช่ตอนที่พ่อของนายเพิ่งจากโลกนี้ไปเสียหน่อย ตอนนั้นคุณปู่ของนายยังไม่เกษียณ ถ้าอารองไม่ดูแลนาย คุณปู่คังคงเอาเื่เขาแน่ ทว่าตอนนี้คุณปู่นายเกษียณราชการมาหลายปีแล้ว อิทธิพลของท่านก็ลดน้อยลงทุกวัน ดังนั้นครอบครัวนายต้องพึ่งบารมีของอารอง แล้วเขายังจำเป็ต้องเล่นละครต่ออีกหรือ?”
ตรรกะนี้มันไม่ถูกต้อง
ราวกับคังเหว่ยถูกวางระบบความคิดมาเช่นนี้ ไม่รู้ั้แ่เมื่อไรที่คนอื่นชอบมากระซิบบอกเขาว่า คังเหลียนิไม่ได้ดีกับเขาจากใจจริง
เขาไม่ชอบเรียนหนังสือ คังเหลียนิก็ตามใจ
เขาก่อเื่นอกบ้าน ถ้าเป็ลูกคนอื่นก็คงถูกตี แต่คังเหลียนิกลับไม่ด่าเขาสักคำ ทั้งยังช่วยเขาเก็บกวาดเื่วุ่นวายที่เกิดขึ้นด้วย
คังเหลียนิเข้มงวดกับลูกชายและลูกสาวของตัวเอง ลูกพี่ลูกน้องชายของคังเหว่ยอายุน้อยกว่าเขาเพียงไม่กี่เดือน ก็ต้องเข้าเรียนั้แ่อายุยังน้อย และเรียนจบมหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว ต่อมาลูกพี่ลูกน้องชายคนนี้ได้ถูกอารองส่งไปทำงานในระดับปฏิบัติการณ์ที่ยากลำบากที่สุด
เมื่อมองย้อนกลับมาที่คังเหว่ย เขาไม่ชอบเรียนหนังสือ เรียนจบแค่ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ คังเหลียนิจึงหาตำแหน่งงานสบายๆ ให้เขา จะเข้างานหรือไม่ ถึงอย่างไรคังเหว่ยก็ได้รับเงินเดือนเท่าเดิม คังเหว่ยเองก็เคยกระตือรือร้นอยากก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่ตอนหลังมีคนมาบอกเขาว่า คังเหลียนิกำชับไว้ว่าต้องดูแลคังเหว่ยเป็อย่างดี และคังเหว่ยไม่จำเป็ต้องพยายามมากมายขนาดนั้น
อายุงานถึงเกณฑ์เมื่อไร คังเหว่ยก็จะได้เลื่อนตำแหน่งเอง
ทำให้เสียคน!
มีคนบอกคังเหว่ยเช่นนี้ คังเหว่ยยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นด้วยกับคำพูดเ่าั้
ที่เขามาทำธุรกิจกับโจวเฉิงก็เพราะรู้สึกอัดอั้น ไม่อยากถูกคังเหลียนิเห็นเป็เครื่องมือใช้เล่นละครตบตาคนอื่นอีกต่อไป เขาไม่จำเป็ต้องพึ่งคังเหลียนิก็สามารถประสบความสำเร็จได้ คังเหว่ยคิดว่าตนกำลังสู้กับปีศาจจอมปลอมที่ชั่วร้าย และเขามั่นใจว่าจะเอาชนะปีศาจตนนี้ได้ แต่ตอนนี้โจวเฉิงกลับบอกว่า เขาจินตนาการสร้างศัตรูทางความคิดไปเอง?
คังเหว่ยเล่ารายละเอียดพวกนี้ตามความคิดของตนแล้วก็ทำสีหน้าข้องใจ
“ถ้าเขาไม่อยากทำให้ผมเสียคน และเขาไม่ได้เสแสร้ง แล้วการเลี้ยงผมให้เหมือนเศษสวะแบบนี้ มีอะไรให้เขาภูมิใจกัน?”
บ้านไหนก็อยากให้ลูกหลานของตัวเองประสบความสำเร็จ แต่อารองของเขากลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ถ้าไม่มีเจตนาร้ายแล้วอารองของเขา้าอะไรกันแน่!
คังเหว่ยรู้สึกปวดหัว รถชนคราวนี้คงทำให้สมรรถภาพของสมองเขาถดถอยลง เขาไม่เข้าใจคังเหลียนิเลยจริงๆ
“เขาอาจจะอยากให้นายมีชีวิตที่สุขสบายหน่อยก็เท่านั้น”
จุดนี้โจวเฉิงเพิ่งนึกขึ้นได้ หลังจากที่ได้ยินกวนฮุ่ยเอ๋อพูดถึงนิสัยในอดีตของคังเหลียนิ คนคนหนึ่งนิสัยเปลี่ยนจากหน้ามือเป็หลังมือย่อมมีสาเหตุ ตอนพ่อของคังเหว่ยสละชีวิตในสนามรบ คังเหลียนิก็เข้ามาแบกรับภาระของตระกูลคังทันที จากจุดนี้โจวเฉิงคิดว่าอารองคังเป็ลูกผู้ชายตัวจริง
ไม่บอกปัดความรับผิดชอบ ไม่บอกว่าตนไม่สามารถทำได้ แต่ละวันต้องเจอเื่ยากลำบากอะไรบ้าง มีเพียงตัวคังเหลียนิเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด โจวเฉิงลองวิเคราะห์อีกฝ่าย อารองคังรักคังเหว่ยจากใจจริง รักจนไม่อยากให้คังเหว่ยต้องตกระกำลำบาก สงสารคังเหว่ยที่ต้องสูญเสียพ่อั้แ่อยู่ในท้องแม่ ดังนั้นเขาจะเป็คนรับความลำบากนี้เอาไว้เอง ขอเพียงคังเหว่ยมีความสุขก็พอแล้ว?
การคาดเดานี้อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่ก็คงไม่ต่างไปจากนี้สักเท่าไร
หลังฟังการวิเคราะห์ของโจวเฉิงจบ คังเหว่ยก็นอนทำหน้างง
“พี่เฉิงจื่อ พี่หมายความว่าผมมองอารองผิดไปอย่างนั้นหรือ ความจริงแล้วผมไม่จำเป็ต้องต่อสู้ฝ่าฝันอะไร เขาก็เตรียมอนาคตของผมไว้ให้เป็อย่างดี ผมแค่นอนเสพสุขจากความลำบากของเขาก็พออย่างนั้นหรือ?”
ถ้าอย่างนั้นเขาจะขายบุหรี่กับวัสดุก่อสร้างไปทำไมกัน เพื่อธุรกิจวัสดุก่อสร้าง เพื่อกระเบื้องแค่หนึ่งชิ้น เขาต้องต่อรองราคากับโรงงานผลิตจนปากเปียกปากแฉะ สิ่งเหล่านี้เขาทำไปเพื่ออะไร!
คังเหว่ยมีสีหน้ามึนงงไปหมด โจวเฉิงรู้สึกคันมือเหลือเกิน อยากอัดเขาสักหมัดจริงๆ
“ตอนนี้รู้แล้วว่าอารองของนายหวังดี ก็เลยคิดแต่จะเสพสุขอย่างนั้นรึ?”
ทำแบบนั้นคงไม่ได้แน่นอน
คังเหว่ยเพิ่งผ่าตัดเสร็จก็ยังมิวายคิดถึงเื่การไปดูหน้าร้านใหม่ แน่นอนว่าตอนนี้เขาชอบทำธุรกิจ ประเทศออกนโยบายอนุญาตให้ประชาชนมีธุรกิจเป็ของตัวเอง สามารถทำการค้าขายที่ถูกกฎหมายเพื่อสะสมความมั่งคั่ง การหาเงินและความภาคภูมิใจในตัวเองเป็คนละเื่เดียวกัน ดังนั้นคังเหว่ยไม่มีเหตุผลให้ต้องเลิกทำธุรกิจ
อายุตั้งเท่าไรแล้ว ยังอยากแบมือขอเงินคนอื่นอีกหรือ?
“พี่เฉิงจื่อ ผมเข้าใจแล้ว ขอเวลาผมคิดหน่อยนะครับ”
ตอนนี้คังเหว่ยไม่รู้ว่าเขาควรเผชิญหน้ากับอารองอย่างไร แน่นอนว่าโจวเฉิงไม่้าบีบเขา ตอนนี้คังเหว่ยจำเป็ต้องพักผ่อนให้มากๆ ถึงจะเป็การดีที่สุด เสียงเปิดประตูดังขึ้น เป็เซี่ยเสี่ยวหลานที่ยื่นศีรษะเข้ามาตรงประตู “สองพี่น้องคุยเปิดอกกันเสร็จหรือยัง”
โจวเฉิงลุกขึ้นยืน “พักผ่อนไปก่อนนะ เสี่ยวหลานคงมีธุระ”
โจวเฉิงรู้จักเซี่ยเสี่ยวหลานเป็อย่างดี เพราะเธอมีธุระอยากคุยด้วยตามคาด
“เหมือนฉันจะเห็นเซี่ยจื่ออวี้ที่โรงพยาบาลน่ะ เธอปิดหน้าปิดตาเดินไปพบตู้เ้าฮุย”
ท่าทางของเซี่ยจื่ออวี้ แม้เซี่ยเสี่ยวหลานอยากจำไม่ได้ก็ยังยาก
สองคนนี้ทำไมถึงเกี่ยวพันกันได้?
หรือตอนที่เธอปฏิเสธไม่ไปฮ่องกง ตู้เ้าฮุยก็ไปหาเซี่ยจื่ออวี้จริงๆ แล้วเซี่ยจื่ออวี้คิดอะไรอยู่กันแน่ คนที่ตลบหลังหวังก่วงผิงก็คือตู้เ้าฮุยมิใช่หรือ ทำท่าเหมือนรักหวังเจี้ยนหัวจะเป็จะตายแต่ยังไปมาหาสู่กับตู้เ้าฮุย เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เข้าใจเซี่ยจื้ออวี้เลยจริงๆ!