เมื่อได้ยินเสียงเรียกของนาง จางเจิ้นอันก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างง่วงงุน
“ช่วยจับปลายด้ายสองข้างนี้ให้ข้าหน่อยนะเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์ยื่นม้วนด้ายหลากสีในมือส่งให้เขา พลางเอ่ยขอให้ช่วยจับไว้ ส่วนตัวเองก็หยิบเส้นไหมอีกสองเส้นขึ้นมา ก่อนเริ่มลงมือถักทออย่างคล่องแคล่วราวมืออาชีพ
“นี่เ้าใช้ข้าผิดประเภทงานไปหรือไม่” จางเจิ้นอันขยับกายนั่งให้ตรง สายตาทอดมองกลุ่มเส้นผมดำขลับของนางด้วยแววตาอ่อนโยนระคนขบขัน
“ข้าก็แค่กลัวท่านจะเบื่อน่ะสิเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยตอบ มือยังคงทำงานไม่หยุด “ไหนๆ ท่านก็นั่งว่างอยู่แล้ว มาช่วยข้าจับด้าย คุยกันไปพลางๆ แบบนี้ ไม่ดีกว่าหรือ”
จางเจิ้นอันครุ่นคิดในใจ ‘ต่อให้เบื่อ ข้าก็ไม่อยากจับงานฝีมือของผู้หญิงพวกนี้หรอกน่า อีกอย่างข้ามองเ้าปักผ้าก็เพลินดี ไม่เห็นจะเบื่อเลย’ แต่ปากกลับเอ่ยเพียงว่า “ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว”
“เ้าค่ะ”
เมื่อเทียบกับการปักผ้าแล้ว ฝีมือการถักเชือกของอันซิ่วเอ๋อร์นั้นดูจะคล่องแคล่วกว่ามาก เพียงชั่วครู่ สิ่งที่นางถักทอบนเส้นด้ายก็เริ่มเป็รูปเป็ร่างขึ้นมา อันซิ่วเอ๋อร์บอกให้จางเจิ้นอันปล่อยมือ แล้วลองนำไปทาบกับข้อมือของเขา พลางกล่าวว่า “พอดีเลย นี่คือสร้อยข้อมือเบญจมงคลที่ข้าทำเอง เสร็จแล้วจะให้ท่านนะเ้าคะ”
จางเจิ้นอันพิจารณาสร้อยข้อมือในมือนาง ด้ายเจ็ดสีถักทอลวดลายงดงาม แต่สีสันกลับฉูดฉาดเกินไปในความรู้สึกของบุรุษเช่นเขา เขานึกไม่ออกเลยว่าด้ายสีสดเช่นนี้จะดูเป็อย่างไรเมื่ออยู่บนข้อมือตน จึงรีบชักมือกลับ ไม่ยอมให้นางลองทาบวัดอีก
อันซิ่วเอ๋อร์ผูกปมสร้อยข้อมือเป็ปมเลื่อนเพื่อให้สวมใส่ง่าย แล้วทำท่าจะสวมให้จางเจิ้นอัน แต่เขากลับไพล่มือไปด้านหลัง ไม่ยอมยื่นออกมา
“ท่านพี่ ใส่หน่อยสิเ้าคะ ให้ข้าดูหน่อยว่าพอดีไหม” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยอ้อน พยายามดึงมือเขา แต่เขากลับนิ่งเฉย
“ตกลงท่านจะเอาหรือไม่เอา หากไม่เอา ข้าก็จะเอาไปให้คนอื่นแล้วนะ” เมื่อเห็นว่าเขาไม่้าจริงๆ อันซิ่วเอ๋อร์ก็ไม่คิดฝืนใจ นางหยิบสร้อยข้อมือขึ้นมา จัดลวดลายให้เข้าที่อีกครั้ง แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อท่านไม่ชอบ ก็ยังมีคนอื่นอีกมากที่อยากได้ ข้าเอาไปให้ผู้อื่นเสียดีกว่า”
นางทำท่าจะเก็บสร้อยเส้นนั้นขึ้นมา ทว่าในชั่วพริบตา จางเจิ้นอันก็เอื้อมมือคว้าข้อมือนางไว้แน่น ั์ตาดำลุ่มลึกหม่นลงราวม่านเมฆบดบังแสง
“เ้าจะเอาไปให้ใคร”
“ข้าน่ะรึ?” อันซิ่วเอ๋อร์ตอบด้วยสีหน้าเคร่งจริง “ก็คงจะมอบให้ท่านอาจารย์ของหรงเหอ เป็ของขวัญแทนคำขอบคุณ ที่ท่านทุ่มเทแรงใจสอนหลานข้าอย่างดี”
ทันทีที่ถ้อยคำจบลง จางเจิ้นอันก็ฉวยสร้อยข้อมือนั้นจากมือนางไว้โดยไม่รอช้า สอดมันเข้าไปในสาบเสื้อของตนอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวเสียงนิ่งแต่น้ำเสียงเจือแรงดื้อรั้นชัดเจน
“ไม่ได้ ข้าไม่ใส่ก็จริง แต่เ้าก็ไม่มีสิทธิ์จะเอาไปให้ใครทั้งนั้น”
อันซิ่วเอ๋อร์เอียงคอเล็กน้อย ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างขัดใจ “ท่านนี่มัน... เอาแต่ใจตัวเองเหลือเกิน ไม่ชอบแล้วยังจะหวงก้างอีก ไม่ให้ข้ามอบให้ใครต่ออีกต่างหาก”
“ข้าก็เป็คนแบบนี้แหละ ใครใช้ให้เ้าแต่งกับข้าล่ะ” จางเจิ้นอันยื่นมือไปลูบศีรษะนางเบาๆ แววตาเปี่ยมด้วยความเอ็นดู ท่าทางขัดใจของนางดูคล้ายลูกแมวขนฟูตัวน้อย ชวนให้อยากดึงมากอดไว้แนบอก แล้วลูบขนเล่นไปทั้งวัน
คิดแล้วเขาก็ลงมือทำตามใจ ทว่าเพิ่งจะยื่นแขนออกไปโอบเอวนาง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นหน้าลานบ้านเสียก่อน จางเจิ้นอันขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าไม่ปิดบังความเสียดาย ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ “ใคร”
“ข้าเอง ภรรยาของหลี่เถี่ยเกิน ซิ่วเอ๋อร์อยู่หรือไม่” เสียงสตรีใจดีดังแว่วตอบมาจากนอกประตู
“อ๊ะ พี่สะใภ้หลี่นี่เอง ข้าอยู่เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์รีบขานรับพร้อมดันจางเจิ้นอันเบาๆ เขาก้มมองนางแวบหนึ่งอย่างจำใจ ก่อนจะถอนใจเบาๆ แล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู
เมื่อเห็นว่าเป็จางเจิ้นอันเป็คนเปิด พี่สะใภ้หลี่ก็ดูแปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง “ไอ๊หยา... รบกวนเ้าจริงๆ ด้วยสิ”
จางเจิ้นอันไม่ตอบ เพียงแต่ขยับตัวเปิดทางให้ พี่สะใภ้หลี่จึงเดินเข้ามา เห็นอันซิ่วเอ๋อร์นั่งอยู่บนม้านั่งในลานบ้านก็ร้องทัก “ซิ่วเอ๋อร์”
“พี่สะใภ้หลี่ เชิญนั่งก่อนเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ตบม้านั่งข้างตัวเบาๆ พี่สะใภ้หลี่ก็นั่งลงอย่างเป็กันเอง เมื่อเห็นตะกร้าเย็บปักถักร้อยข้างกายนาง แววตาก็ฉายประกายชื่นชมระคนอิจฉา “ซิ่วเอ๋อร์ กำลังปักผ้าอยู่หรือ”
“เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มรับ ยื่นสะดึงในมือให้นางดู “นี่ผ้าเช็ดหน้าที่ข้าเพิ่งปักเสร็จ พี่สะใภ้ลองดูสิเ้าคะว่าเป็อย่างไรบ้าง”
“สวยมาก” พี่สะใภ้หลี่พยักหน้าชม “ซิ่วเอ๋อร์นี่ฝีมือดีจริงๆ พี่ล่ะอิจฉาคนปักผ้าเป็อย่างพวกเ้า ได้ทำงานสบายๆ ไม่เหมือนพี่ที่ต้องคลุกอยู่กับไร่นาทั้งวัน”
ในหมู่บ้านนี้ มีสตรีที่ปักผ้าเป็อยู่ไม่มากนัก อันซิ่วเอ๋อร์คือหนึ่งในนั้น และฝีมือปักของนางก็เป็ที่ยอมรับว่างดงาม
นางเป็คนหัวไว แม้แต่งานถักเชือกที่คนอื่นยังคงยึดติดกับลายเดิมๆ นางก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วจนชำนาญ สามารถพลิกแพลงถักเป็ลวดลายต่างๆ ได้หลากหลาย
ทั้งงานถักเชือก ปักผ้า ถักสร้อยข้อมือ ตัดเย็บเสื้อผ้า ทำรองเท้า งานฝีมือของสตรีเหล่านี้ ไม่มีสิ่งใดที่อันซิ่วเอ๋อร์ทำไม่ได้
“ก็ไม่ต่างกันหรอกเ้าค่ะ งานที่พี่สะใภ้ทำได้นั้น ข้าก็ทำไม่ได้เหมือนกัน” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงถ่อมตน ปลายประโยคมีแววเก้อเขินเจืออยู่ “ข้าแรงน้อย แบกของหนักไม่ไหว หาบน้ำก็ไม่คล่อง ดูไปดูมาไม่รู้ว่ามีใครแอบนินทาว่าข้าสำออยอยู่บ้างหรือเปล่า”
“ใครเขาจะว่าอะไร มีแต่คนอิจฉาเ้าน่ะสิ” พี่สะใภ้หลี่พูดพลางหยิบบางอย่างสีทองอร่ามออกมาจากอกเสื้อ “วันนี้ได้ยินตาหลี่บอกว่าเท้าเ้าโดนกับดักหนีบ พี่เลยคิดว่าเ้าน่าจะ้าเ้านี่”
สิ่งนั้นคล้ายกิ่งไม้แห้งที่มีขนสีทองปกคลุมอยู่เต็มไปหมด ว่ากันว่าว่านหนูขนทองนี้ใช้ห้ามเืได้ดี เมื่อดึงไปใช้แล้วก็จะงอกขึ้นมาใหม่ได้ ชาวบ้านมักใช้แทนยาทาแผลสด เพราะมีสรรพคุณห้ามเืชั้นเยี่ยม
“ว่านหนูขนทองหรือเ้าคะ กำลัง้าอยู่พอดีเลย ขอบคุณพี่สะใภ้มากนะเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์รีบรับมาด้วยความขอบคุณ “เดี๋ยวอีกสองวันข้าจะนำไปคืนให้นะเ้าคะ”
“ไม่เป็ไร จะใช้นานแค่ไหนก็ได้” พี่สะใภ้หลี่ส่งของให้นางเสร็จ ก็เปิดตะกร้าที่ถือมา หยิบยอดมันเทศกำหนึ่งออกมา “วันนี้พี่ไปดูที่ไร่มา มันเทศกำลังงามเชียว เอายอดอ่อนมาฝากให้ลองชิม อย่ารังเกียจล่ะ”
“จะไปรังเกียจได้อย่างไรกันเ้าคะ กำลังกลุ้มใจอยู่พอดีว่าไม่มีผักจะกิน”
อันซิ่วเอ๋อร์ทำหน้ายุ่งเล็กน้อย เอ่ยพลางถอนใจเบาๆ “ที่บ้านตอนนี้ไม่มีอะไรเลย กินแต่ปลา หน่อไม้ ผักป่า วนอยู่แบบนี้ทุกวัน ข้าเริ่มจะเบื่อเต็มทีแล้วล่ะเ้าค่ะ”
“ก็ได้ยินว่าสามีข้าบอกว่า พวกเ้ากำลังปรับที่ดินจะทำแปลงผักกันอยู่นี่นา อีกไม่นานก็คงปลูกกินเองได้แล้ว”
พี่สะใภ้หลี่ปลอบเสียงใจดี “รออีกไม่กี่เดือนก็ได้กินผักสดๆ แน่นอน” พี่สะใภ้หลี่ปลอบ แล้วคุยสัพเพเหระกับนางอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวกลับไปทำอาหารเย็น
อันซิ่วเอ๋อร์จึงเก็บข้าวของ เตรียมตัวเข้าครัวเช่นกัน
มื้อเย็นวันนั้น อันซิ่วเอ๋อร์ทำหมูนึ่งแป้ง กับผัดยอดมันเทศ เมื่อทานอาหาร อาบน้ำล้างหน้าเสร็จ ก็กลับมานั่งปักผ้าต่ออีกเล็กน้อย จบไปอีกหนึ่งวัน
หลังจากได้เรียนรู้วิธีทำรั้วจากเมื่อวาน จางเจิ้นอันก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเร่งซ่อมรั้วบ้านให้เสร็จโดยเร็ว รั้วเดิมนั้นทั้งเก่าและผุพังมานาน แต่ก่อนเขาไม่ใส่ใจนัก เพราะไม่มีใครกล้าเหยียบย่างเข้ามาใกล้บ้านอยู่แล้ว
ทว่าเวลานี้ บ้านที่เคยเงียบเหงามีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกคน ความคิดที่จะสร้างรั้วให้มั่นคงแข็งแรงจึงค่อยๆ งอกงามขึ้นในใจของเขา
อีกทั้งเลื่อยที่ใช้ก็หยิบยืมมาจากคนอื่น หากใช้คืนช้าเกินไปก็คงไม่เหมาะ ด้วยเหตุนี้ เช้ารุ่งขึ้น อันซิ่วเอ๋อร์ยังไม่ทันลืมตาดี จางเจิ้นอันก็ออกเดินขึ้นเขาไปตัดไม้ไผ่เสียแล้ว
เมื่ออันซิ่วเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าเรียบร้อย เขาก็กลับมาพอดี พร้อมลากไม้ไผ่กองใหญ่ลงมาจากเขา ใบหน้ามีเหงื่อผุด แต่ดวงตานิ่งสงบและแน่วแน่เหมือนเคย
“วันนี้ข้าจะขึ้นเขาไปอีกหลายรอบ ถือโอกาส่ที่อากาศยังดี ตัดไม้ไผ่มาตุนไว้ก่อน แล้วค่อยๆ ทำรั้วให้เสร็จ” หลังมื้อเช้า จางเจิ้นอันเอ่ยกับอันซิ่วเอ๋อร์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แน่วแน่
“อืม... ให้ข้าขึ้นไปเป็เพื่อนไหมเ้าคะ” นางถาม
“ไม่ต้องหรอก เท้าเ้าเพิ่งหายดี อยู่บ้านพักเถอะ ข้าขึ้นไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ” จางเจิ้นอันตอบพลางส่ายหน้าน้อยๆ ในใจนึกถึงภาพเมื่อนางเหยียบกับดักเข้า เขาแทบใจหายวาบ ไม่อยากให้นางเสี่ยงอีกแม้แต่น้อย
“ถ้าอย่างนั้น ท่านก็ระวังตัวด้วยนะเ้าคะ” เมื่อได้ยินดังนั้น อันซิ่วเอ๋อร์ก็ไม่ดึงดัน นางรู้ดีว่าเขาจดจำเส้นทางได้แล้ว และครั้งก่อนนางก็พาเขาไปถึงยอดเขาอย่างปลอดภัย ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอีก
ราวกับตั้งใจจะทุ่มเทแรงทั้งหมดที่มีให้กับรั้วนี้ จางเจิ้นอันก็สลัดความสบายเฉื่อยชาก่อนหน้านั้นทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขาขยันขันแข็งอย่างหาตัวจับได้ยาก เช้าออกขึ้นเขาตัดไม้ไผ่ บ่ายกลับมาก็ลงมือเลื่อยเป็ซี่เล็กซี่น้อยอย่างไม่ย่อท้อ ทำงานหนักต่อเนื่องหลายวัน ในที่สุดเขาก็สร้างรั้วไม้ไผ่ขึ้นมาสำเร็จด้วยสองมือของตนเอง
รั้วไม้ไผ่นี้ล้อมรวมเอาแปลงผักเล็กๆ ที่พวกเขาเพิ่งปรับพื้นที่ไว้เข้าไปด้วย ทำให้ลานบ้านดูกว้างขวางขึ้นอีก อันซิ่วเอ๋อร์ชอบบรรยากาศบ้านที่มีลานส่วนตัวเช่นนี้ รั้วไม้ไผ่สีเขียวสดที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเนื้อไผ่ ชวนให้รู้สึกสดชื่นเบิกบานใจ
จางเจิ้นอันยังไม่ลืมทำเล้าไก่เล็กๆ ไว้ที่มุมหนึ่งด้วย คราวนี้อันซิ่วเอ๋อร์ก็ไม่ต้องกังวลว่าไก่ที่เลี้ยงไว้จะบินว่อนไปทั่วลานอีกแล้ว
พอเื่ทำรั้วเสร็จสิ้น ทั้งสองก็หันมาวุ่นวายกับการปลูกผักต่อ ทว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ทำไปได้เพียงครู่เดียวก็ติดขัดไปเสียทุกทาง อันซิ่วเอ๋อร์จึงจนปัญญา ต้องตัดสินใจกลับไปขอความช่วยเหลือจากบ้านเดิม เื่นี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ และบังเอิญเหลียงซื่อผู้เป็มารดาก็อยากมาเยี่ยมเยือนดูความเป็อยู่ของบุตรสาวอยู่ก่อนแล้ว จึงถือโอกาสเดินทางมาด้วยตนเอง
นี่เป็ครั้งแรกที่เหลียงซื่อมาที่บ้านแห่งนี้ เมื่อมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าบ้านช่องถูกจัดเก็บเป็ระเบียบ ลานบ้านสะอาดสะอ้าน ข้าวของเครื่องใช้จัดวางเข้าที่เข้าทาง แนวรั้วด้านหลังก็ตั้งตรงสวยงาม แม้แต่พื้นดินก็ยังถูกปรับให้เรียบเสมอกัน เหลียงซื่อเห็นแล้วก็แอบพยักหน้าในใจอย่างพอใจ
“ซิ่วเอ๋อร์เอ๊ย ทีแรกแม่ยังนึกห่วงว่าเ้าจะใช้ชีวิตไม่เป็ ไม่นึกเลยว่าจะดูแลบ้านช่องได้สะอาดสะอ้านถึงเพียงนี้” เหลียงซื่ออดทอดถอนใจอย่างโล่งอกไม่ได้
“โธ่ ท่านแม่ก็ดูถูกข้าเกินไปแล้ว” อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มบางๆ “ก็ต้องดูเสียก่อนว่าข้าเป็ลูกใคร ท่านแม่เก่งกาจปานนั้น ลูกสาวอย่างข้าจะด้อยไปได้อย่างไรเ้าคะ”
คำพูดนี้เท่ากับยกย่องมารดาไปในตัว เหลียงซื่อได้ฟังก็ยิ้มกว้างขึ้น
“แล้ววันนี้ ลูกเขยไม่อยู่บ้านรึ” เหลียงซื่อมองไปรอบๆ ไม่เห็นเงาของจางเจิ้นอันจึงเอ่ยถาม
“เขาไปหาปลาเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ตอบ ก่อนจะรีบเสริมเมื่อเห็นสีหน้ามารดา “จริงๆ เขาก็ทะนงตัวอยู่บ้างน่ะเ้าค่ะ ไม่อยากให้ข้ารบกวนทางบ้าน กลัวพวกท่านจะลำบาก”
“เป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว จะลำบากอะไรกัน” เหลียงซื่อโบกมือ “เด็กคนนี้นี่ ช่างหัวแข็งเสียจริง เขาตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน พวกเราก็เหมือนญาติเขานั่นแหละ เดี๋ยวเขากลับมา แม่จะต้องคุยกับเขาสักหน่อย”
“ดีเลยเ้าค่ะ ท่านแม่ต้องคุยกับเขาสักหน่อย” อันซิ่วเอ๋อร์รีบเห็นด้วย แล้วเปลี่ยนเื่ทันควัน “ท่านแม่ดูสิเ้าคะ ตอนอยู่บ้านข้าผอมเพรียวสวยงาม ตอนนี้สิ ถูกเขาเลี้ยงเสียจนอ้วนขึ้นตั้งเยอะแล้ว”
“ที่ไหนกัน เดิมทีเ้าผอมไปต่างหาก ตอนนี้สิกำลังพอดี” เหลียงซื่อมองบุตรสาวอย่างพิจารณา เห็นว่าแก้มของนางดูมีน้ำมีนวลขึ้นเล็กน้อย บ่งบอกว่าอยู่ดีกินดี ในใจก็พลอยยินดี ในที่สุดก็วางใจในความเป็อยู่ของนางได้เสียที
