สุนัขป่าวิบัติสืบเท้าเข้าหาทั้งคู่ทีละก้าว โลหิตยังคงหยดจากร่างลงสู่พื้นไม่หยุด ด้านหลังมีเศษอวัยวะกระจัดกระจายอยู่รอบบริเวณที่มันเคยอยู่ ยามนี้มันไม่เพียงดูคล้ายปีศาจที่ขึ้นมาจากบ่อโลหิต แต่ราวกับมันกลายเป็ปีศาจร้ายไปแล้วจริงๆ
ยามสุนัขป่าวิบัติจับจ้องมา ไป๋หยุนเฟยก็รู้สึกถึงแรงกดดันอันอำมหิตพุ่งมาปะทะใบหน้า มันสั่นสะท้านจากส่วนลึกของิญญาจนร่างแข็งทื่อ ขณะที่ในใจถูกครอบงำด้วยความหวาดกลัวสุดบรรยาย ที่มันมองเห็นมีเพียงลานสีแดงฉานดุจโลหิตและปีศาจร้ายที่สืบเท้าเข้าหาตนเองทีละก้าว
“แย่แล้ว หนีเร็วหยุนเฟย! รีบแยกกันหนีไป!” เมื่อเห็นสุนัขป่าวิบัติเข้ามาใกล้ ผู้เฒ่าอู๋จึงฝืนระงับความหวาดกลัวในใจร้องะโบอกแก่ไป๋หยุนเฟยพร้อมกับที่รีบวิ่งไปอีกด้าน
หลังจากวิ่งออกไปราวห้าหกวา ผู้เฒ่าอู๋เมื่อเหลียวกลับมากลับมองเห็นไป๋หยุนเฟยยังคงยืนเหม่อลอยมองไปยังคนคลุ้มคลั่งที่ย่างเท้าเข้าหามันทีละก้าว
“หยุนเฟยรีบหนี!” ผู้เฒ่าอู๋ร่ำร้องสุดเสียง แต่ไป๋หยุนเฟยกลับยังไม่มีปฏิกิริยาใด
ยามนี้จิตใจของไป๋หยุนเฟยถูกครอบงำด้วยความหวาดกลัวจนไม่หลงเหลือความคิดจะหลบหนี การตายอย่างสยดสยองของคนเ่าั้ยังคงประทับในความคิด สุดท้ายภาพเหตุการณ์คล้ายแปรเปลี่ยนเป็ตัวมันถูกกระทำ ตาย มันต้องตาย ต้องตายแน่นอน!
สุนัขป่าวิบัติใกล้เข้ามาทุกที
ผู้เฒ่าอู๋ยังะโอีกหลายครั้งแต่ก็ไร้ผล เมื่อเห็นสุนัขป่าวิบัติก้าวเท้าเข้าหาหยุนเฟย ชายชราจึงก้มดูขวานในมือ จากนั้นจึงเงยหน้ามองไปยังหยุนเฟย ยามนั้นดวงตาผู้เฒ่าอู่พลันทอประกายเด็ดเดี่ยว ก่อนจะหันกลับไปยังสุนัขป่าวิบัติพร้อมกับขว้างขวานออกไปสุดกำลัง
“เ้าปีศาจ! มาฆ่าข้าสิ!”
มิคาดผู้เฒ่าอู๋กลับใช้ตนเองเป็เหยื่อล่อสุนัขป่าวิบัติเพื่อยื้อเวลาให้ไป๋หยุนเฟยหลบหนี
สุนัขป่าวิบัติเบี่ยงตัวเล็กน้อยหลบเลี่ยงขวานเล่มนั้น มันหันไปมองผู้เฒ่าอู๋แต่กลับไม่ได้ไล่ตามอย่างที่คิด เพียงมองไปยังไป๋หยุนเฟยอีกครั้งราวกับครุ่นคิดบางอย่าง จากนั้นจึงส่งยิ้มขบขันราวเสียสติ... มันหยิบค้อนทองแดงซึ่งหล่นอยู่ข้างเท้าก่อนจะ... ขว้างไปยังไป๋หยุนเฟย
ไป๋หยุนเฟยยังคงยืนอยู่กับที่ด้วยสีหน้าเหม่อลอย หากถูกค้อนทองแดงขว้างมากระแทกใส่มันต้องไม่อาจรอดชีวิตอย่างแน่นอน
“ตูม!” เสียงหนักทึบของวัตถุหนาหนักกระแทกร่างคนดังขึ้นคราหนึ่ง พร้อมกับที่ผู้ชมด้านนอกลานส่งเสียงโห่ร้องโดยพร้อมเพรียง
แต่แล้วพวกมันกลับต้องประหลาดใจ เพราะค้อนนี้ไม่ได้กระแทกถูกคนที่คาดคิดไว้ แต่กลับกระแทกใส่... ผู้เฒ่าอู๋ แทนที่จะเป็ไป๋หยุนเฟยที่ยังคงยืนนิ่งค้างอยู่กับที่
คิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดแล้วผู้เฒ่าอู๋กลับพุ่งมาถึงข้างกายไป๋หยุนเฟยก่อนจะผลักมันออกไป จนตนเองต้องถูกค้อนที่ลอยมากระแทกใส่ทรวงอกอย่างถนัดถนี่
“พรวด!” โลหิตอุ่นระอุทะลักพรวดจากปากของผู้เฒ่าอู๋สาดกระเซ็นในอากาศใส่ชโลมค้อนทองแดงก่อนหยาดหยดลงสู่พื้น โลหิตบางส่วนยังกระเซ็นต้องใบหน้าของไป๋หยุนเฟย ทว่าแม้โลหิตอุ่นระอุแต่ในใจมันกลับเย็นเยียบ... เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง
พริบตานั้นเสียงรอบข้างพลันเงียบงัน ยามได้เห็นผู้เฒ่าอู๋ล้มเข้าหา ไป๋หยุนเฟยเมื่อเห็นใบหน้าเปี่ยมด้วยความห่วงกังวลของอีกฝ่าย... พละกำลังที่หายไปก็กลับคืนสู่ร่าง มันรีบลนลานคว้าร่างผู้เฒ่าอู๋ที่ล้มลงสู่พื้นเอาไว้ หลังจากประคองลงนอนราบกับพื้นจึงคุกเข่าลงด้านข้าง ก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงลังเลว่า “ผู้เฒ่า...ผู้เฒ่าอู๋?”
เหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้ทุกคนต้องงุนงง ผู้ชมหยุดร้องะโไปชั่วขณะ เพียงส่งสายตาจับจ้องไปยังไป๋หยุนเฟยในลานกว้างพลางกระซิบกระซาบสนทนากัน
สุนัขป่าวิบัติเองก็ชะงักเท้าลง แทนที่จะก้าวเท้าไปเบื้องหน้าต่อ มันกลับจับจ้องไปยังสองคนตรงหน้าด้วยความสนใจ
โลหิตยังทะลักออกมาจากปากผู้เฒ่าอู๋ไม่หยุด ทรวงอกชายรายุบหายเป็หลุมกว้าง โลหิตที่ทะลักหลั่งไหลถึงกับย้อมเสื้อผ้าผู้เฒ่าอู๋จนแดงฉานไปทั้งร่าง
“หยุนเฟย... แค่ก แค่ก... ในที่สุดเ้าก็รู้สึกตัว รีบหนี เ้าต้องรีบหนี...”
“ผู้เฒ่าอู๋ ผู้เฒ่าอู๋... อย่าได้กล่าว อย่าได้กล่าวอันใดอีก... ผู้เฒ่าอู๋... ท่าน... ท่านต้องไม่ตาย... ต้องไม่ตาย...” ไป๋หยุนเฟยปาดเช็ดโลหิตที่ทะลักจากปากของผู้เฒ่าอู๋ ขณะที่น้ำตาของมันไหลหยดลงบนใบหน้าผู้เฒ่าอู๋ไม่หยุด
“ฮ่า ฮ่า... อย่าได้เสียใจไป หยุนเฟย ข้าไม่สำนึกเสียใจ... ดีแล้วที่ช่วยเ้ารอดชีวิตมาได้”
“เ้ารู้หรือไม่? เด็กเอย ยามข้ามองเห็นแววตากระจ่างสดใสของเ้า ข้านึกถึงว่า หากหลานสาวข้ายังมีชีวิตอยู่ หากเ้าทั้งคู่อาศัยอยู่ด้านนอก ข้าจะชักนำให้เ้ากับเสี่ยวอวี้เอ๋อร์ได้พบปะกันแน่นอน พวกเ้า... ต้องกลายเป็คู่รักที่เปี่ยมสุข ฮ่า ฮ่า... แค่ก แค่ก!” อาจเพราะนึกถึงเื่ราวอันเป็สุข หรือบางทีอาจเป็่สติแจ่มใสก่อนสิ้นลม ผู้เฒ่าอู๋กลับเอ่ยคำพูดเหล่านี้ในคราเดียว จากนั้นจึงกระอักโลหิตอีกคำโต ครั้งนี้ถึงกับมีเศษอวัยวะภายในปะปนกับโลหิตออกจากปาก
“ผู้เฒ่าอู๋ ผู้เฒ่าอู๋...” ไป๋หยุนเฟยเ็ปใจราวถูกมีดกรีด มันไม่ทราบจะกล่าวอันใด ได้แต่ะโเรียกผู้เฒ่าอู๋ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ผู้เฒ่าอู๋ยกมืออย่างยากลำบากปาดเช็ดน้ำตาบนใบหน้าไป๋หยุนเฟย พร้อมกับส่งสายตาเปี่ยมความรักเมตตา
“หยุนเฟย...เ้าต้องมีชีวิตต่อไป...ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใดเ้าต้องไม่ละทิ้งความหวัง... จำคำข้าให้ดี... เ้าต้องมีชีวิตต่อไป... อย่างมีมโนธรรม!”
“น่าอนาถนัก สุดท้าย... ข้ายังคงไม่อาจ... แก้แค้นให้แก่การตายของ... หลานสาวสุดที่รักของข้า...”
มือที่ลูบใบหน้าของไป๋หยุนเฟยแ่เบาถูกทิ้งลงอย่างอ่อนล้า สุดท้ายก็ไม่อาจเคลื่อนไหวอีก... “ผู้เฒ่าอู๋... ผู้เฒ๋าอู๋...”
ไป๋หยุนเฟยส่งเสียงพึมพำราวเครื่องจักรพลางเหม่อมองชายชราที่เพิ่งรู้จักไม่ถึงครึ่งวันตรงหน้า พร้อมกับจารึกกิริยาสุดท้ายของอีกฝ่ายไว้ในใจ
“อ๊าก!”
“อ๊าก!”
“อ๊าก!”
ไป๋หยุนเฟยแหงนหน้าร่ำร้องสุดเสียง ทว่ายังไม่อาจบรรเทาความเศร้าโศกในใจมันได้ ริ้วรอยสีแดงฉานสองเส้นพาดผ่านใบหน้ามันลงมา... หยาดน้ำตาโลหิต!
บนอัฒจันทร์ จางหยางจับจ้องไป๋หยุนเฟยภายในลานด้วยยิ้มเย็นเยียบที่มุมปาก ดวงตามันฉายแววทั้งอิ่มเอมทั้งพึงพอใจ
คุณชายรองเจิ้งนั้นก็จับจ้องไป๋หยุนเฟยเช่นกัน ทว่าท่าทีคล้ายแปรเปลี่ยนไปจากเดิม
ยามนี้แม้แต่ชายในชุดคลุมสีดำก็ยังเงยหน้าขึ้น ราวกับกำลังสังเกตเหตุการณ์ภายในลาน... สุนัขป่าวิบัติมองไป๋หยุนเฟยเบื้องหน้าด้วยสายตาเ็า มันรู้สึกว่าชมดูเหตุการณ์ฉากนี้เพียงพอแล้ว จึงเตรียมจะยกเท้าก้าวไปเบื้องหน้า
แต่มันกลับพบว่าไป๋หยุนเฟยหยุดร่ำไห้แล้ว มิหนำซ้ำยังยืนขึ้นอย่างแช่มช้าก่อนจะเดินเข้าหาตนเองทีละก้าว ขณะที่มือยังคงกำก้อนอิฐเอาไว้
สุนัขป่าวิบัติคาดไม่ถึงว่าตนเองจะลอบบังเกิดความหวาดกลัว เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายจ้องมองมาด้วยดวงตาที่หลั่งโลหิตสีแดงฉาน
“หวาดกลัว? เป็ไปได้อย่างไร...”
สุนัขป่าวิบัติสั่นศีรษะเล็กน้อยพร้อมกับที่เดินเข้าหาไป๋หยุนเฟย มันตัดสินใจแล้วว่าจะทรมานคู่ต่อสู้คนสุดท้ายของมันช้าๆ จนตาย... ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันไม่ไกล เพียงไม่กี่ลมหายใจมาหยุดยืนเผชิญหน้ากัน ก่อนที่สุนัขป่าวิบัติจะพลันยกกำปั้นขวาขึ้นชกไปยังใบหน้าของไป๋หยุนเฟยอย่างฉับพลัน
ไป๋หยุนเฟยกลับยกก้อนอิฐขึ้นเหวี่ยงปะทะกำปั้นของสุนัขป่าวิบัติ
ด้วยทักษะยุทธ์ของสุนัขป่าวิบัติ มันย่อมสามารถหลบเลี่ยงก้อนอิฐได้โดยง่าย แต่มันกลับไม่ทำ ก้อนอิฐ? กระทั่งกำแพงมันยังทลายได้ด้วยหมัดเดียว
ขยี้ก้อนอิฐแล้วหักแขนเด็กน้อยผู้นี้ก็เป็ทางเลือกที่ไม่เลวนัก สุนัขป่าวิบัติครุ่นคิดพลางยิ้มเย็นเยียบที่มุมปาก
“พลั่ก!”
“กร๊อบ!”
เสียงแรกเป็เสียงก้อนอิฐกระทบหมัด
ทว่าเสียงที่สองกลับไม่ใช่เสียงก้อนอิฐถูกบดขยี้ แต่เป็เสียงกระดูกนิ้วมือแหลกละเอียด
สุนัขป่าวิบัติมองดูนิ้วมือที่หักบิดเบี้ยวจนผิดรูป มันลืมเลือนกระทั่งความเ็ปหรือแม้แต่การเคลื่อนไหวถัดไป... แต่ไป๋หยุนเฟยกลับไม่ได้ลืมเลือน
หลังจากบดขยี้กำปั้นของสุนัขป่าวิบัติด้วยก้อนอิฐแล้ว ไป๋หยุนเฟยจึงสืบเท้าไปเบื้องหน้าพร้อมกับยกก้อนอิฐขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะเหวี่ยงฟาดไปที่หน้าผากของสุนัขป่าวิบัติ
ยามก้อนอิฐฟาดลงมาสุนัขป่าวิบัติก็คืนสติ แต่คิดจะเบี่ยงศีรษะหลบก็ไม่ทันการณ์แล้ว... ศีรษะมันจะถูกขยี้ดั่งนิ้วมือมันหรือไม่
“อย่ามาล้อข้าเล่นนะ?!”
ทันใดนั้น สุนัขป่าวิบัติรู้สึกถึงพลังที่มันเคยััได้เลือนรางพลันกระเพื่อมพลุ่งพล่านภายในร่างก่อนจะพุ่งขึ้นสู่ศีรษะ ิับนใบหน้าและศีรษะมันเริ่มสั่นกระตุกก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็เป็ชั้นแข็งดั่งเขาสัตว์ มองไปราวกับว่า... จะแข็งแกร่งขึ้น?
“โอ?” บนอัฒจันทร์จางหยางพลันอุทานด้วยความยินดีว่า “ทะลวงผ่านแล้ว?”
“พลั่ก!” เสียงดังแว่วมาแ่เบา
นั่นคือเสียงก้อนอิฐกระทบศีรษะ ครั้งนี้กลับไม่มีเสียงกระดูกแตกหัก
“ข้ากลับไม่าเ็! อีกทั้ง... ข้าทะลวงผ่านแล้ว!”
สุนัขป่าวิบัติตื่นเต้นสุดขีด มันรีบระงับความลิงโลดในใจ ก่อนจะกลับสู่ท่าทีอันดุร้าย แต่ยามที่มันคิดจะยกมือขึ้นโต้ ทันใดนั้น... มันกลับวิงเวียนศีรษะไปชั่วขณะ
ผลกระทบเพิ่มเติมระดับ +10 : เมื่อจู่โจมมีโอกาส 1% ที่จะทำให้เป้าหมายมึนงงเป็เวลาสูงสุด 3 วินาที (เมื่อโจมตีศีรษะโอกาสทำให้มึนงงเพิ่มเป็ 5%)
การกระตุ้นสัมฤทธิผล!
“โอ?” บนอัฒจันทร์พลันมีเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจดังขึ้นแ่เบาอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้กลับดังจากปากชายในชุดคลุม
“ท่านลุงฉินเกิดอะไรขึ้น?” คุณชายรองเจิ้งด้านข้างเอ่ยถามด้วยความงุนงง
“เมื่อครู่ข้ารู้สึกราวกับอิฐก้อนนั้น... มีพลังิญญาสั่นกระเพื่อม...”
“ว่าอะไร? เป็ไปได้หรือ... อิฐก้อนนั้นเป็วัตถุิญญา? นี่เป็ไปได้อย่างไร...?”
“โอ... อาจบางทีเพราะสุนัขป่าวิบัตินั้นตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ การกระเพื่อมของพลังิญญายามมันก้าวสู่ด่านนวกะิญญาอาจทำให้ััข้าผิดพลาด... อีกอย่างพลังิญญาของเด็กหนุ่มนั้นก็ตื่นขึ้นเช่นเดียวกัน แม้จะยังไม่เข้มแข็งแต่พลังิญญามันเกิดความเปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆ... หรือไม่บางทีข้าอาจััผิดพลาดไปเอง”
ภายในลาน ความรู้สึกวิงเวียนกะทันหันส่งผลให้สุนัขป่าวิบัติความคิดสับสนจนไม่อาจควบคุมพลังิญญาได้ ความเปลี่ยนแปลงบนศีรษะมันจึงกลับคืนสู่สภาพเดิม
แต่การจู่โจมด้วยก้อนอิฐระลอกที่สองของไป๋หยุนเฟยตามติดมาถึงแล้ว!
“พลั่ก!”
“กร๊อบ!”
อืม ครั้งนี้กลับเป็เสียงกระดูกแตกหัก
หนึ่งลมหายใจ!
ร่างของสุนัขป่าวิบัติถูกกระแทกถอยไปหนึ่งก้าว แต่การจู่โจมด้วยก้อนอิฐครั้งที่สามกลับตามมาในทันที
ครั้งนี้นอกจากเสียงกระดูกแตกหัก ยังปรากฏโลหิตหลั่งไหลออกมา
สองลมหายใจ!
ในที่สุดสุนัขป่าวิบัติที่กำลังมึนงงก็ไม่อาจทรงตัวต้องหงายหลังล้มลง
ไป๋หยุนเฟยที่ตาแดงฉานกลับไม่ยอมหยุดมือ มันก้าวเท้าเข้าไปนั่งคร่อมบนร่างสุนัขป่าวิบัติ ก่อนจะยกก้อนอิฐขึ้นและกระแทกลงอีกครั้ง
สามลมหายใจ!
ในที่สุดสุนัขป่าวิบัติก็ฟื้นจากอาการวิงเวียน สิ่งแรกที่มันรู้สึกคือ... ศีรษะของมันเ็ปแทบตายแล้ว... จากนั้นเมื่อสายตากลับมามองเห็นชัดเจน มันจึงได้เห็น... ก้อนอิฐ!
แล้วมันก็สิ้นสติไป... ครั้งนี้มันสิ้นสติไปจริงๆ... ซึ่งย่อมหมายถึงมันไม่มีโอกาสจะตื่นขึ้นอีกตลอดกาล
ในการทุบเป็ครั้งที่สาม ไป๋หยุนเฟยฟาดอิฐใส่ใบหน้าสุนัขป่าวิบัติ ทั้งยังกระแทกมันจนสิ้นสติปราศจากการป้องกันโดยสิ้นเชิง
จากนั้นไป่หยุนเฟยยังกระแทกก้อนอิฐลงครั้งแล้วครั้งเล่า สมรภูมิเดรัจฉานตกอยู่ในความเงียบงัน ผู้คนทั้งหมดมองดูชายหนุ่มที่ทุบก้อนอิฐภายในลานด้วยสายตางุนงง ไม่เว้นแม้แต่จางหยาง คุณชายรองเจิ้ง หรือกระทั่งท่านลุงฉิน... คงยากจะบอกได้ว่าสุนัขป่าวิบัติตายหลังจากถูกทุบไปกี่ครั้ง แม้แต่ไป๋หยุนเฟยเองก็ไม่ทราบ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงผู้ชมรอบนอก
ไม่ทราบว่าผ่านไปเท่าใดในที่สุดไป๋หยุนเฟยจึงหยุดมือ เนื่องเพราะ... มันไม่อาจรู้สึกได้ว่า”ทุบศีรษะ” อีก... น้ำตาของมันหยุดไหลแล้ว แต่ดวงตายังคงแดงฉาน หลังจากยกมือขึ้นนวดเฟ้นดวงตาอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดจึงค่อยกลับมามองเห็นชัดเจน
มันก้มลงมองสุนัขป่าวิบัติที่นอนอยู่ใต้ร่าง หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่จึงค่อยลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงเดินไปอุ้มร่างของผู้เฒ่าอู๋ ก่อนจะไปกล่าวกับจางหยางด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ข้าชนะแล้ว ปล่อยข้าเป็อิสระ...”
เมื่อถูกจับจ้องด้วยสายตาเ็าราวน้ำแข็งของอีกฝ่าย จางหยางพลันรู้สึกกังวลทั้งแสดงท่าทีหวาดหวั่นอย่างไม่อาจควบคุม
มันมองไปยังศพของสุนัขป่าวิบัติภายในลาน จากนั้นจึงหันมองไปยังไป๋หยุนเฟย ทันใดนั้นจางหยางกลับชี้นิ้วไปยังไป๋หยุนเฟยด้วยท่าทีอำมหิตพร้อมกับร้องะโราวคลุ้มคลั่ง
“ยาม! ยาม! ฆ่ามันให้แก่ข้า! ฆ่ามัน!”