ถ้อยคำของเย่เฟิงแข็งกร้าวและเด็ดเดี่ยว จึงอดทำให้ผู้ฝึกยุทธ์เ่าั้ที่ไม่ชอบขี้หน้าเย่เฟิงตัวสั่นเทาไม่ได้ ก่อนจะเหลือบมองหน้ากัน แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าบุกโจมตีเย่เฟิง
เขาเย่เฟิงไม่ชอบเป็ฝ่ายยั่วยุก่อนมาแต่ไหนแต่ไร แต่หากผู้ใดยั่วยุเขาก่อน เขาย่อมลงมืออย่างไม่ปรานี เช่นเดียวกับเหยียนเหิงเมื่อครู่นี้ หากอีกฝ่ายไม่ดูถูกเย่เฟิงเพื่อพิสูจน์พลังของตนเอง อีกฝ่ายไม่มีทางมีจุดจบเช่นนี้อย่างแน่นอน
“เพียงหมัดธรรมดาก็ทำลายตบะของเหยียนเหิงได้แล้ว เด็กคนนี้แข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่?”
เหยียนเหิงถูกเย่เฟิงทำลายตบะในหนึ่งการโจมตี ทำให้ผู้คนตาเบิกกว้างไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 เอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 7 ด้วยการโจมตีเดียว นี่เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเย่เฟิง
“ใช่ แม้ตบะของเด็กผู้นี้จะต่ำต้อย แต่พลังต่อสู้ก็น่าสะพรึงกลัวมาก พวกเราอย่ายั่วยุเด็ดขาด หาไม่แล้วอาจจะมีจุดจบอย่างเหยียนเหิง” คนผู้หนึ่งกล่าวเสียงเบาขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาหวาดหวั่น
หลังจากเย่เฟิงเอาชนะเฉิงกังและเหยียนเหิงก็ไม่มีผู้ใดกล้าเป็ฝ่ายยั่วยุก่อน
แต่ในขณะที่ผู้คนให้ความสนใจเย่เฟิง บนเวทีประลองก็มีหลายศึกปะทุมากขึ้นเรื่อย ๆ
ศึกตะลุมบอนของ 3,000 กว่าคน พลังทุกรูปแบบทุกปลดปล่อยออกมาไม่ขาดสาย ลำแสงทำลายล้างพาดผ่านไปมาในห้วงอากาศ เสียงปะทะดังสนั่น แม้แต่เสียงกรีดร้องก็ดังไม่ขาดสาย ผู้ฝึกยุทธ์คนแล้วคนเล่าถูกซัดกระเด็นตกจากเวทีประลอง
“กฎของศึกตะลุมบอนช่างเหี้ยมโหดมาก ผู้ฝึกยุทธ์ 3,000 กว่าคน แต่มีเพียง 300 คนที่จะผ่านเข้ารอบต่อไปได้ สุดท้ายแล้วผู้รอดชีวิตก็มีแต่อัจฉริยะมากความสามารถ” บนอัฒจันทร์ ผู้ฝึกยุทธ์จากกองกำลังต่าง ๆ ของแดนชิงอวิ๋นเห็นการประลองที่โหดร้ายเช่นนี้ก็อดคิดในใจไม่ได้
ด้านซือคงเสวียน เขายังคงบำเพ็ญตบะอยู่ที่เดิมโดยที่ไม่มีผู้ใดกล้ารบกวนเขา ราวกับอยู่คนละโลกก็ไม่ปาน
เว่ยเจิ้นเทียน หวงเหยียนิ และเหลียงปู้ผั่วก็ยังนิ่งเฉย พวกเขาคือสี่อัจฉริยะบุรุษแห่งแดนชิงอวิ๋น จึงไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุ ส่วนเย่เฟิงก็กลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์คนที่ห้าที่ไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุเช่นกัน เขาไขว้ขานั่งลงขัดสมาธิและเริ่มบำเพ็ญตบะ
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้วทุกวินาทีมีค่า การที่เย่เฟิงประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ นั่นเพราะเกี่ยวข้องกับพร์ที่เหนือกว่าผู้อื่นและมีความขยันหมั่นเพียรในการบำเพ็ญตบะ
“หมอนี่...” ผู้คนเห็นเย่เฟิงบำเพ็ญตบะเหมือนกับซือคงเสวียนโดยไม่สนใจผู้ใดต่างก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
เย่เฟิงไม่สนใจสายตาของเหล่าผู้คนที่มองมา แต่จู่ ๆ มีแสงปกคลุมร่างเขาจาง ๆ และแฝงด้วยพลังประหลาด เพียงพริบตาเย่เฟิงก็เข้าสู่ห้วงลืมเลือน เพิกเฉยต่อทุกสรรพสิ่ง
“เขาคิดว่าตัวเองเป็ใคร? เขาก็แค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 เท่านั้น แต่กลับเลียนแบบซือคงเสวียนโดยไม่สนใจใครหน้าไหน ช่างยโสโอหังยิ่งนัก!” คนผู้หนึ่งกล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยียบ
“ซือคงเสวียนคือยอดฝีมือ คนผู้นี้จะทัดเทียมได้เยี่ยงไร? แม้คนผู้นี้เอาชนะสองคนนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทัดเทียมซือคงเสวียนได้ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียจริง ๆ !” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวพลางแสยะยิ้ม
“คนผู้นี้ใจกล้ามาก มิสู้ฉวยโอกาสนี้กำจัดเขาไม่ดีกว่าหรือ?” คนผู้หนึ่งกล่าวพลางยิ้มอย่างชั่วร้าย เขาไม่ชอบขี้หน้าเย่เฟิง เพียงแต่ติดที่พลังของเย่เฟิง จึงไม่ได้ลงมือ
“ความคิดนี้ไม่เลว จะโทษก็ต้องโทษเขาที่โอหังมากเกินไป!” อีกคนกล่าวเสริม
“เ้าพูดถูก ในเมื่อเป็เช่นนี้ งั้นพวกเราสองคนก็ไปกำจัดเขากันเถอะ!”
เมื่อทั้งสองคนเจรจาเสร็จสิ้นก็เดินไปหาเย่เฟิง หมายกำจัดเย่เฟิงในตอนบำเพ็ญตบะ
“จะโทษก็ต้องโทษเ้าที่อวดดี จะมาโกรธพวกเราไม่ได้!” ผู้ฝึกยุทธ์คนแรกกล่าวขณะเดินไปถึงที่ด้านหน้าเย่เฟิงก่อน จากนั้นวาดฝ่ามือโจมตีเย่เฟิง ตำแหน่งโจมตีคือหน้าอกของเย่เฟิง
“ต่ำทราม!”
จ้าวซินอี๋ที่ดูอยู่บนอัฒจันทร์หลักเห็นฉากนี้ก็ลุกพรวดจากที่นั่ง พร้อมเผยสีหน้าเย็นะเื
“เ้าหมอนี่จบเห่แน่!”
รูม่านตาของผู้คนหดแคบลง เหล่าคนที่ดูถูกเย่เฟิงต่างแสยะยิ้มอย่างเ็า ในที่สุดก็จะได้เห็นเย่เฟิงพ่ายแพ้และคิดว่าเขาจะต้องเจอจุดจบด้วยฝ่ามือนี้
“ปัง!” ขณะเดียวกันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น ทันทีที่ฝ่ามือของคนนั้นจู่โจมร่างเย่เฟิงก็มีพลังทำลายล้างรายล้อมกายเย่เฟิง ทว่าร่างกายของเย่เฟิงราวกับเหล็กกล้าที่ไม่สั่นคลอนแม้แต่นิดเดียว
เมื่อคนนั้นเห็นฉากนี้ก็เผยสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมาเล็กน้อย เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้โจมตีมนุษย์ แต่เป็กำแพงเหล็ก เขาจึงร่นถอยหลังไปหลายก้าว
“เป็ไปได้อย่างไร? การโจมตีของข้าทำลายการป้องกันเขาไม่ได้ เขาใช้ทักษะอะไรกันแน่?” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นกล่าวด้วยความสงสัย เขาอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 แม้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เฟิง แต่ตอนที่เย่เฟิงกำลังบำเพ็ญตบะก็ไม่มีทางป้องกันเช่นนี้ได้
“ข้าเอง!” ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนเห็นฉากนี้ก็ก้าวออกมา ก่อนจะไปเยือนเบื้องหน้าเย่เฟิง พร้อมกับเหวี่ยงหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพลังอันน่าทึ่งโจมตีเย่เฟิงทันที
“ตูม!!!” เสียงะเิดังสนั่นหวั่นไหว ทันทีที่รังสีหมัดของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นจู่โจมร่างเย่เฟิงก็มีพลังทำลายล้างเข้าปกคลุมร่างผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นรู้สึกว่ากำลังถูกพลังมหาศาลกดทับจนต้องส่งเสียงร้องออกมา ก่อนร่างจะถูกดีดออกไปกองกับพื้นเวที พร้อมกับกระอักเื
“อะไรน่ะ?” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็ตกตะลึง
“ร่างกายของชายผู้นี้แข็งทนทานเพียงนี้เชียวหรือ? ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นอยู่จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 ถือว่ามีพลังโจมตีแกร่งกล้า แต่กลับทำลายการป้องกันของอีกฝ่ายไม่ได้ มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวด้วยความใ หากไม่เห็นกับตาตัวเอง พวกเขาก็ไม่มีทางเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็ความจริง แม้แต่เว่ยเจิ้นเทียน หวงเหยียนิ และเหลียงปู้ผั่วก็ยังประหลาดใจกับพลังกายของเย่เฟิง
บนอัฒจันทร์หลัก สีหน้ากังวลของจ้าวซินอี๋มลายหายไป แต่แทนที่ด้วยรอยยิ้มสดใสที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด เย่เฟิงน่าจะฝึกทักษะบ่มเพาะกายาที่ทรงพลัง เขาถึงมีร่างกายที่แข็งทนทานเช่นนี้” องค์าาจ้าวพึมพำขณะมองเย่เฟิงที่มีแสงแห่งการป้องกันรายล้อมร่างกาย แม้แต่เขาเองก็ยังสู้เย่เฟิงในเื่นี้ไม่ได้
“โชคดีที่ข้าไม่ได้โจมตีคนผู้นี้ก่อน หาไม่แล้วคนที่ถูกซัดกระเด็นอาจจะเป็ข้า” คนเ่าั้ที่คิดจะลงมือจัดการเย่เฟิงก่อนหน้านี้ต่างรู้สึกดีใจ เหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุเย่เฟิงก่อน แม้เย่เฟิงยังอยู่ในสภาวะบำเพ็ญตบะ แต่คนเ่าั้ก็ทำได้เพียงมองดู ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 8 ขึ้นไปไม่สนใจเย่เฟิง พวกเขาเพียงแค่เพลิดเพลินไปกับความสงบสุขที่ไม่มีผู้ใดรบกวนเช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรคนที่เย่เฟิงเอาชนะก่อนหน้านี้ล้วนไม่มีคุณสมบัติทัดเทียมกับพวกเขา หากให้พวกเขาสู้กับเฉิงกังหรือเหยียนเหิง พวกเขาก็เอาชนะได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
ผู้เข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่มีั้แ่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 ถึง 9 อีกอย่างกฎการประลองก็ไม่มีการกดระดับตบะแต่อย่างไร นี่จึงเป็ข้อเสียอย่างหนึ่งที่ไม่เอื้ออำนวยต่อผู้มีตบะต่ำต้อย นั่นหมายความว่าหากมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุด้าจัดการผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 เช่นนั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 คนนั้นก็ทำได้เพียงยอมจำนน การประลองยุทธ์เลือกคู่ช่างโเี้ยิ่งนัก
เย่เฟิงอยู่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 แต่เทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 8 เ่าั้ หรือกระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุด ในด้านของตบะห่างชั้นกันมาก หากต่อสู้กันจริง ๆ เย่เฟิงคงเป็ฝ่ายเสียเปรียบ ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 8 ขึ้นไปเ่าั้จึงรู้สึกใกับศักยภาพของเย่เฟิง แต่เื่อื่นกลับไม่ได้สนใจ
เวลาล่วงเลยเป็กลางวัน ผู้ฝึกยุทธ์บนเวทีประลองลดน้อยลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งถูกซัดกระเด็นตกเวทีประลอง จู่ ๆ ขุนนางผู้ดำเนินการผู้นั้นก็ลุกพรวดจากที่นั่ง ก่อนจะตีฆ้องส่งสัญญาณเป็อันสิ้นสุดการประลองรอบแรก
บัดนี้ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่บนเวทีประลองมี 300 คนพอดี นี่หมายความว่า 300 คนนี้ผ่านเข้ารอบต่อไป
เมื่อเสียงฆ้องดังขึ้น เย่เฟิงก็ออกจากสภาวะบำเพ็ญตบะ พร้อมกับมีแสงเฉียบคมปะทุออกจากดวงตาคู่นั้นของเขา บำเพ็ญตบะไม่ถึงครึ่งชั่วยาม แต่ดูเหมือนว่าจะทำให้ตบะของเย่เฟิงก้าวหน้าไปมาก
“ตบะก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย ดูท่าการบำเพ็ญตบะจะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม สภาพจิตใจ และการสติปัญญา” เย่เฟิงคิดในใจ เขาเรียนรู้สิ่งนี้จากการบำเพ็ญตบะเมื่อครู่นี้
การบำเพ็ญตบะในบางครั้งก็ลืมเลือนทุกอย่างกระทั่งการกินและการนอน นั่นทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่น่าพึงพอใจ แต่การมีสภาพจิตใจ สติปัญญา และจังหวะโอกาสคือสิ่งสำคัญที่สุด
“ผ่านศึกตะลุมบอนที่โหดร้ายมาเมื่อครู่นี้ ผู้ที่หลงเหลืออยู่ก็ไม่มีผู้ใดที่อ่อนแอ นี่หมายความว่าสองรอบต่อไปจะโหดร้ายยิ่งกว่าเดิม” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวขณะมองผู้ฝึกยุทธ์ 300 คนที่ยืนอยู่บนเวทีประลอง
จ้าวซินอี๋ในฐานะหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแดนชิงอวิ๋น นางย่อมมีแรงดึงดูดที่แรงกล้า แม้กระทั่งดึงดูดอัจฉริยะระดับหัวกะทิทั่วทั้งแดนชิงอวิ๋นมายังอาณาจักรจ้าว จึงทำให้การประลองยุทธ์เลือกคู่ดุเดือดเช่นนี้
“ตบะของ 300 คนนี้ต่ำสุดอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 7 สูงสุด มีเพียงเย่เฟิงผู้นั้นเป็ข้อยกเว้นที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 รอบต่อไป เย่เฟิงอาจจะถูกคัดออกก็เป็ได้” คนผู้หนึ่งกล่าวขณะมองเย่เฟิง ในความคิดของเขา ตบะของเย่เฟิงต่ำต้อยเกินไป มิอาจต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 8 ขึ้นไปเ่าั้ได้
“ใช่ ผู้ฝึกยุทธ์เ่าั้ดูเหมือนจะไม่สนใจเย่เฟิงเท่าไร หาไม่แล้วเขาจะรอดมาถึงรอบที่สองได้อย่างไร?” อีกคนกล่าวเห็นด้วยกับคนนั้น แต่เมื่อพูดเื่จ้าวซินอี๋ที่รู้จักกับเย่เฟิง หลาย ๆ คนก็อดเห็นเย่เฟิงเป็ศัตรูตัวฉกาจไม่ได้ จึงต้องเอาชนะเย่เฟิงเพื่อแสดงฝีมือของตัวเอง
“หือ?”
ซือคงเสวียนออกจากสภาวะบำเพ็ญตบะเช่นกัน เขาเหลือบมองไปที่เย่เฟิงอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อเห็นว่าเย่เฟิงปกติไร้ซึ่งาแใด ๆ ก็ต้องประหลาดใจเล็กน้อย ราวกับไม่คิดว่าเย่เฟิงจะผ่านเข้ารอบที่สองได้อย่างราบรื่น
