ในห้องชั้นสองของโรงเตี๊ยมทิงเยว่เบิกตากว้างมองเหยาโม่หว่านวิ่งวุ่นไปมาด้วยความตกตะลึงในที่สุดก็เอ่ยปากอย่างอดไม่ได้
“คุณหนูสามไยท่านถึง...”
“ดูผู้เป็คน พูดจารู้เื่ขึ้นมาใช่หรือไม่? ตอนไปเยือนหออี๋ชุนพลาดท่าศีรษะได้รับความกระทบกระเทือน สมองก็เลยฟื้นกลับมาเป็ปรกติน่ะต้องขอบใจหลิวสิ่งที่ปกป้องข้าไว้ได้... จริงสิ ทิงเยว่ใครกันที่ทุบตีเ้าจนกลายเป็แบบนี้ หากข้าจำไม่ผิดเดิมทีเกาหมัวมัวเป็...คนที่พี่หญิงคัดเลือกด้วยตนเอง และส่งมาปรนนิบัติท่านแม่โดยเฉพาะมิใช่หรือ”เหยาโม่หว่านเอ่ยถามด้วยสีหน้านิ่งขรึม
“หายแล้ว?คุณหนูหายแล้วจริง ๆ ด้วย ช่างน่ายินดีเหลือเกิน ฮึก ๆแต่พวกเราคงกลับไปจวนอัครเสนาบดีไม่ได้อีกแล้วในวังส่งข่าวมาว่าเกิดเื่กับคุณหนูใหญ่ ยามนี้เกรงว่า...”
“จริงอยู่ที่ว่าเกาหมัวมัวเป็คนที่คุณหนูใหญ่คัดสรรมาแต่นางเป็คนสนิทของคุณหนูรอง จึงฟังแต่คำสั่งของฟูเหรินใหญ่ให้วางยาพิษในโอสถของฟูเหรินรองมาตลอดหลายปี เมื่อคืนบ่าวไปเห็นเข้าเต็มตาตอนที่หญิงชั่วผู้นั้นใส่ผงสีดำจำนวนมากลงไปในถ้วยโอสถของฟูเหรินรองเลยถูกจับมัดแล้วเอาไปขังในห้องเก็บฟืนนางยังบอกว่าจับคุณหนูส่งเข้าหอนางโลมไปแล้ว บ่าวโมโหจนหน้ามืดพุ่งเข้าชนนางอย่างแรง เลยถูกจับมัดแขวนไว้เยี่ยงนั้นแหละเ้าค่ะ...”
“คุณหนูพวกเราหนีไปจากเมืองหลวงกันเถิดหากฟูเหรินใหญ่มาพบตัวเข้า ต้องไม่ปล่อยท่านไปแน่” ทิงเยว่น้ำตาไหลพราก เล่าความอย่างละเอียดด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น
“เื่เกาหมัวมัว...เยว่เอ๋อร์ ข้ายังไปไม่ได้ เกิดมาเป็คนบื้อใบ้ อยู่อย่างขลาดเขลามาสิบกว่าปีไม่เคยทำสิ่งใดเพื่อมารดาผู้ให้กำเนิดแม้แต่คราเดียวบัดนี้ท่านต้องตายอย่างน่าอนาถ หากข้าผู้เป็บุตรสาวมิอาจล้างแค้นให้ก็เสียชาติเกิดแล้ว ในนี้คือตั๋วเงินร้อยตำลึงโม่หว่านขอขอบคุณที่เ้าช่วยดูแลท่านแม่มาตลอดหลายปี เ้าไปได้แล้วล่ะ”เหยาโม่หว่านนำตั๋วเงินยัดใส่มือของทิงเยว่ พลางกล่าววาจาอย่างสุขุม
ทิงเยว่มองตั๋วเงินนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนส่งมันคืนถึงมือของเหยาโม่หว่าน
“ถ้าคุณหนูไม่ไปบ่าวก็ไม่ไปเ้าค่ะ ฟูเหรินรองคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเยว่เอ๋อร์เอาไว้นางต้องมาตายอย่างไม่เป็ธรรมเช่นนี้เยว่เอ๋อร์ย่อมสมควรอยู่ช่วยแก้แค้นด้วยเช่นกันนับแต่นี้ต่อไปเยว่เอ๋อร์ขอติดตามคุณหนู หากอยู่ ก็ขออยู่ด้วยกัน หากตายก็ขอตายพร้อมกัน!” ทิงเยว่กล่าวคำสาบานอย่างหนักแน่นด้วยความเศร้าโศกและคับแค้นใจ
“ข้ารับรองพวกเราต้องไม่ตาย” เหยาโม่หว่านดึงมือทิงเยว่มากุมน้ำเสียงใสกังวานชวนให้ผู้อื่นััได้ถึงความมั่นคงหนักแน่น
“คุณหนูแล้วตอนนี้ควรจะทำเช่นไรเ้าคะ หรือจะกลับไปเปิดโปงการกระทำอันชั่วร้ายของฟูเหรินใหญ่กับเกาหมัวมัวให้นายท่านรับทราบ?”ทิงเยว่เงยหน้า เอ่ยถามซื่อ ๆ อย่างไร้เดียงสา
“เยว่เอ๋อร์จำไว้นะในโลกนี้ ไม่อาจพึ่งพาผู้ใดให้ออกหน้าแทนเราได้ทั้งสิ้น หากคิดแก้แค้นพึ่งได้แต่ตนเองเท่านั้น” ดวงหน้างามพิลาสราบเรียบสงบนิ่งจนแลดูเ็าั์ตาคู่งามเผยแววแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย ก่อนดึงทิงเยว่เข้ามาใกล้
“ข้ามีเื่จะถามเ้าหน่อยหลายปีมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างฟูเหรินใหญ่กับบิดาเป็อย่างไรบ้าง?”ก้าวแรกของการแก้แค้นจำเป็ต้องตั้งหลักจากจวนอัครเสนาบดี มิเช่นนั้นนางจะเข้าวังอีกครั้งได้อย่างไรด้วยสถานะของตนเองในตอนนี้ หากคิดจะกลับไปจวนอัครเสนาบดีก็จำเป็ต้องได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเหยาเจิ้นถิงเสียก่อน
“เื่นี้เยว่เอ๋อร์ไม่กระจ่างนักแต่รู้มาว่าฟูเหรินใหญ่อุปถัมภ์นักแสดงงิ้วคนหนึ่งไว้ข้างนอกดูเหมือนจะชื่อว่าโหลวอวี้ซิน เป็บุตรบุญธรรมของหัวหน้าคณะละครอวิ๋นเต๋อ(คณะละครเมฆคุณธรรม)ฟูเหรินใหญ่มักฉวยโอกาสระหว่างที่นายท่านไปประชุมที่ท้องพระโรงนัดแนะพบปะกับบุรุษผู้นั้นอยู่เป็ประจำบ่าวไพร่ในจวนต่างทราบกันทั่ว เป็เื่จริงแท้แน่นอนเ้าค่ะ”ทิงเยว่กล่าวอย่างมั่นใจ
“โหลวอวี้ซิน....”ริมฝีปากสีดอกท้อยกยิ้มบาง ๆ เบื้องลึกดวงตาฉายแววคมกล้า
“เยว่เอ๋อร์ ตอนนี้ข้ายังเผยตัวไม่ได้เ้าช่วยข้าทำธุระสองเื่ เื่แรกลอบเข้าไปในจวนอัครเสนาบดีตามหลิวสิ่งมาพบข้า เื่ที่สอง...”เหยาโม่หว่านหันไปกระซิบข้างหูทิงเยว่ หลังจากนั้นก็นำตั๋วแลกเงินทั้งหมดที่เหยาถูมอบให้ตนเองส่งให้ทิงเยว่อีกครั้ง
ยามเฉิน [1]ของวันรุ่งขึ้นเหยาถูเดินออกมาหน้าประตูจวนมองไปทางทิศตะวันออกของถนนใหญ่ตามปรกติวิสัยพอเห็นเกี้ยวของเหยาเจิ้นถิงยังไม่กลับมาจึงหันไปสั่งบ่าวที่เฝ้าอยู่หน้าประตูทั้งสองด้าน
“ได้ยินว่า่นี้มีคนเร่ร่อนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในเมืองหลวงมักออกปล้นสะดมอยู่เป็พัก ๆ พวกเ้าต้องเฝ้าจับตาให้ดีอย่าให้เกิดเื่สร้างความตื่นตระหนกแก่นายท่านเป็อันขาด”ขณะที่เหยาถูกำลังเอ่ยปากกำชับอยู่นั้น ก็มีบุรุษผู้หนึ่งแต่งกายชุดงิ้ววิ่งมาจากหัวโค้ง
“ท่านคือพ่อบ้านเหยาใช่หรือไม่ยะ...แย่แล้ว ฟูเหรินใหญ่เกิดเื่แล้ว” บุรุษผู้มาเหงื่อไหลไคลย้อยเต็มหน้าผากเท้าสองมือไว้บนหัวเข่า หายใจหอบแฮ่ก ๆ
“เ้าเป็ใคร?”เหยาถูแววตานิ่งขรึม มองชายผู้นั้นอย่างระแวดระวังก่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เรียนพ่อบ้านเหยาผู้น้อยเป็นักแสดงของโรงละคร มีนักเลงจากข้างนอกเข้ามาก่อความวุ่นวายพวกมันเห็นว่าฟูเหรินดูเป็คนร่ำรวยมั่งคั่ง ก็เลยจับกุมตัวไว้ยามนี้ที่โรงละครอวิ๋นเต๋อของเราชุลมุนวุ่นวายไปหมดหัวหน้าคณะควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่แล้วจึงใช้ให้ผู้น้อยรีบมาแจ้งเหตุให้พวกท่านรับทราบ และส่งคนไปช่วยเหลือโดยด่วนคนพาลเ่าั้รู้จักแต่เงินทอง ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าฟูเหรินอัครเสนาบดีคือผู้ใด”บุรุษผู้นั้นเอ่ยวาจาเร่งรัดด้วยน้ำเสียงหวาดวิตก
ขณะที่เหยาถูกำลังจะถามความให้ชัดแจ้งกลับได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง
“เกิดอะไรขึ้น?”เหยาเจิ้นถิงซึ่งอยู่ในเกี้ยวสี่คนหามเลิกม่านขึ้นพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“เรียนนายท่านคนจากคณะละครอวิ๋นเต๋อมาแจ้งว่าฟูเหรินประสบเหตุร้ายระหว่างชมงิ้วอยู่ที่นั่นบ่าวกำลังจะเกณฑ์คนออกไปช่วยเหลือฟูเหรินขอรับ” เหยาถูรายงานสถานการณ์ไปตามความจริง
“ไปตามคนมาเพิ่มสักสี่ห้าคนเหล่าฟูต้องไปดูให้เห็นกับตาเสียหน่อย ว่านักเลงหน้าไหนช่างไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้าขึ้นมาเหยียบศีรษะของเหล่าฟู!”เหยาเจิ้นถิงเอ่ยปากแค่นเสียงเยาะ ก่อนปล่อยม่านลงคนหามเกี้ยวทั้งสี่ย่อมเข้าใจความหมาย จึงเปลี่ยนทิศมุ่งหน้าไปโรงละครอวิ๋นเต๋อแม้ว่าเหยาถูยังคงเคลือบแคลงใจ แต่ไม่มีเวลาไตร่ตรองมากนัก ได้แต่รีบตามองครักษ์ผู้คุ้มกันภายในจวนออกมาสิบกว่าคนแล้วตามหลังไปทันที
ภายในเกี้ยวเหยาเจิ้นถิงบีบแหวนหยกสีนิลที่สวมอยู่บนนิ้วหัวแม่มือด้วยสีหน้าคร่ำเครียดแววตาแข็งกร้าว เขาได้รับการยืนยันในท้องพระโรงเช้าวันนี้แล้วว่าข่าวที่บุตรสาวคนรองส่งมาเมื่อคืนเป็ความจริง บัดนี้สี่ตระกูลใหญ่ทั้งสกุลหวังสกุลเซี่ย สกุลอวี่ และสกุลหวนต่างจับจ้องตำแหน่งหวงโฮ่วตาเป็มันเดิมทีเพราะธิดาของตนคนหนึ่งเป็หวงโฮ่ว อีกคนเป็กุ้ยเฟย จึงไม่ต้องอนาทรร้อนใจแต่ยามนี้เกียรติยศของสกุลเหยาล้วนต้องพึ่งพาซู่หลวนคนเดียวแล้วหากไม่เพราะเหตุผลนี้ไหนเลยจะต้องมาจัดการเื่นี้ด้วยตนเองเพื่อเอาอกเอาใจโต้วเซียงหลัน
ในตรอกลึก
หลิวสิ่งพาตัวบุรุษที่แต่งกายชุดงิ้วเดินเข้ามา
“เื่จัดการเรียบร้อยหรือไม่?”ทิงเยว่มองไปที่หลิวสิ่งพอเห็นเขาผงกศีรษะถึงหยิบตั๋วแลกเงินที่เหลืออยู่ส่งให้บุรุษผู้นั้น
“ท่านวางใจได้เลยผู้น้อยใส่ยาปลุกกำหนัดลงไปในสุราเรียบร้อยป่านนี้โหลวอวี้ซินกับเหยาฟูเหรินคงกำลังหน้ามืดเริงรักกันอย่างเร่าร้อนจนลืมสิ้นทุกสิ่งไปแล้วล่ะปรกติยามที่พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันเพียงลำพังทุกคนในคณะงิ้วทั้งนายบ่าวต่างเลี่ยงหลบด้วยการหาข้ออ้างออกไปข้างนอกดังนั้นตอนนี้ในโรงละครจึงมีแค่พวกเขาสองคนยิ่งไปกว่านั้นผู้น้อยมิได้ลั่นกุญแจประตูทางเข้าหออวิ๋นเต๋อ แล้วยัง...”ขณะที่ชายผู้นั้นกำลังจะสาธยายต่อ กลับถูกทิงเยว่ตัดบท
“เก็บของแล้วรีบออกไปจากเมืองหลวงเสียเ้าควรตระหนักได้ว่าหากท่านอัครเสนาบดีหาตัวเ้าพบ ผลลัพธ์จะออกมาเป็เช่นไร”ทิงเยว่เตือนด้วยความหวังดี
“ทราบแล้ว ๆผู้น้อยจะไปเดี๋ยวนี้ ไม่ให้ล่าช้าแม้แต่เค่อ [2] เดียว”บุรุษผู้นั้นรับตั๋วแลกเงินแล้วก็เดินจากไปอย่างเบิกบานใจ
หลังจากคนผู้นั้นจากไปแล้วทิงเยว่กับหลิวสิ่งก็รีบกลับไปโรงเตี๊ยมอย่างเร่งร้อน
“ทิงเยว่ จนถึงตอนนี้ข้ายังรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันคุณหนูสามของเรากลายเป็คนเฉลียวฉลาดไปแล้วจริง ๆ หรือเนี่ย”หลิวสิ่งเอ่ยปากกระซิบถามหลังเดินผ่านฝูงชน แววตาซ่อนความปีติยินดีไว้ไม่มิด
“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณหนูสามเป็ผู้วางแผนจัดละครฉากนี้ขึ้นมาข้าเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน ครานี้ฟูเหรินใหญ่คงจะถึงคราวเคราะห์เสียแล้วล่ะช่างสาแก่ใจยิ่งนัก” ระหว่างที่พูดคุยกันทิงเยว่กับหลิวสิ่งก็ปลีกตัวจากฝูงชน แยกไปตามทางแคบมุ่งสู่ที่หมาย
โรงละครอวิ๋นเต๋อตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของถนนซิ่งหวาปิด่กลางวัน เปิดแต่่กลางคืน เมื่อมาถึงโรงละครเหยาถูรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเพียงแต่นายท่านมาถึงแล้วและด้วยอุปนิสัยชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ของโต้วเซียงหลันก็สร้างความลำบากให้ตนเองอยู่ไม่น้อยยามนี้ย่อมไม่้าเข้าไปยุ่งกับเื่ไม่เป็เื่
“นายท่านถึงโรงละครอวิ๋นเต๋อแล้วขอรับ”เกี้ยวถูกวางลง เหยาถูเข้ามาช่วยเลิกม่านขึ้นเหยาเจิ้นถิงเงยศีรษะมองไปทางอาคารสองชั้นที่อยู่ด้านซ้ายมือหัวคิ้วมุ่นขมวดเล็กน้อย หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ ก็ก้าวลงมาจากเกี้ยว
“ไหนว่ามีอันธพาลมาก่อความวุ่นวายไม่ใช่หรือ?”เหยาเจิ้นถิงถามขึ้นด้วยความสงสัย ขณะเดินมาถึงหน้าโรงละครเหยาถูซึ่งอยู่ข้างกายลองผลักประตูเข้าไป ปรากฏว่าได้ยินเสียงลั่นเอียดแสดงว่าไม่ได้ลั่นดาน
เหยาเจิ้นถิงก้าวเข้าไปโดยไม่ต้องคิดขณะที่เหยาถูกำลังจะออกคำสั่งให้ผู้คุ้มกันคนอื่น ๆ ตามเข้ามากลับถูกเ้านายยับยั้งไว้ก่อน
“ให้พวกเขารอด้านนอกส่วนเ้าตามเหล่าฟูมา”ชั่วขณะที่เข้าประตูมาเหยาเจิ้นถิงได้ยินเสียงหัวร่อต่อกระซิกของโต้วเซียงหลันอยู่แว่วๆ จึงรั้งเหล่าผู้คุ้มกันไว้ด้านนอก ให้เหยาถูตามเข้ามาเพียงคนเดียว
หลังจากก้าวเข้าสู่โรงละครซึ่งตกแต่งแบบเปิดโล่งภาพที่ปรากฏสู่สายตานอกจากโต๊ะเก้าอี้ และม้านั่งยาว ตรงกลางยังมีเวทีการแสดงที่ตบแต่งประดับประดาอย่างหรูหรา
“อวี้ซิน...เ้าคิดถึงผู้อื่นบ้างหรือไม่?”ทันทีที่ทั้งสองก้าวเข้ามาก็ได้ยินน้ำเสียงออดอ้อนฉอเลาะของโต้วเซียงหลันลอยมาจากชั้นสอง
“นายท่าน...”เหยาถูมองไปที่เหยาเจิ้นถิงอย่างขอความคิดเห็น
“เ้ารั้งอยู่นี่อย่าให้ผู้ใดเข้ามาเป็อันขาด” เหยาเจิ้นถิงเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแม้สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ แต่ในแววตากลับมีริ้วคลื่นซัดโหมอย่างรุนแรงเหยาถูสงวนถ้อยคำ ยืนเฝ้าเงียบ ๆ อยู่หน้าประตู
ยามนี้เหยาเจิ้นถิงก้าวขึ้นบันไดแต่ละขั้นด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านน้ำเสียงยั่วยวนที่ผ่านเข้ามาในหูยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
“คิดถึงสิแม้กระทั่งในความฝันยังคะนึงหาแต่เซียงหลันไม่จืดจางเสียดายที่อวี้ซินเป็เพียงนักแสดงต่ำต้อย สถานะไม่คู่ควร มิเช่นนั้นคงพาเ้าหลบลี้ไปสุดหล้าฟ้าเขียวด้วยกันแล้วไม่ต้องมาแอบมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่เช่นนี้...” หลังจากดื่มสุราไปสามจอกโหลวอวี้ซินก็รู้สึกว่าโลหิตในร่างกายกำลังเดือดพล่านรั้งตัวโต้วเซียงหลันเข้ามาแนบชิดในอ้อมอก พลางสอดมือเข้าไปเคล้นคลึงความอวบอิ่มเต็มไม้เต็มมือเร้าอารมณ์วาบหวามวาจาตรงข้ามกับหัวใจโดยสิ้นเชิง
“ยอดรักของข้าชอบพูดแต่คำหวานอยู่เรื่อย อวี้ซิน จูบข้าซี...”โต้วเซียงหลันรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจสุดจะทานทนร่างกายร้อนผ่าวประหนึ่งถูกแผดเผาด้วยเพลิงปรารถนาเบียดกายคลอเคลียอยู่ในอ้อมอกของชู้รัก
“ทุกถ้อยวาจาของอวี้ซินมีดวงตะวันและจันทราเป็พยาน...” โหลวอวี้ซินเป็บุรุษที่มีรูปลักษณ์คล้ายสตรีดวงหน้าผุดผ่อง ริมฝีปากดุจกลีบดอกท้อ นับได้ว่าเป็ชายงามอย่างแท้จริงยามนี้กำลังอารมณ์เตลิดเปิดเปิง รีบปลดเปลื้องอาภรณ์ของโต้วเซียงหลันอย่างย่ามใจก่อนฝังใบหน้าซุกไซ้ที่ซอกคอขาวนวลอย่างหื่นกระหาย ด้วยฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดทั้งสองจึงพร้อมกระโจนขึ้นสังเวียนสวาท โดยไม่ต้องโหมโรงมากมายให้เสียเวลา
“อา...อวี้ซินเร็วหน่อยซี...อูย...” โต้วเซียงหลานถูกยั่วเย้าจนลุ่มหลง หัวใจกระเจิดกระเจิงมวยผมกระเซิงทิ้งตัวสยายลงมา สองมือลูบคลำสะเปะสะปะไปทั่วเรือนร่างของโหลวอวี้ซินด้วยอารมณ์รัญจวน
เสียงครางแว่วหวานของโต้วเซียงหลันผนวกกับฤทธิ์ยากระตุ้นกำหนัดทำให้โหลวอวี้ซินรู้สึกคึกคักซู่ซ่าราวกับถูกฉีดเืไก่ [3] รีบจับเรียวขาของนางแยกออกแล้วผลักแรงปรารถนาอันแข็งขึงกระแทกกระทั้นเข้าไปสุดกำลัง
ฉากเริงสวาทอันเร่าร้อนของภรรยากับชายชู้ปรากฏสู่สายตาของเหยาเจิ้นถิงที่แอบมองลอดผ่านช่องว่างประตูห้องพิเศษั์ตาทะมึนลึกกลายเป็สีโลหิตสาดประกายโทสะแรงกล้าเส้นเืที่หน้าผากปูดโปนจนแทบะเิ สองมือภายใต้แขนเสื้อกำหมัดแน่นแหวนหยกประดับเสียดสีท้องนิ้วจนรู้สึกเจ็บ แต่เหยาเจิ้นถิงกลับยังคงไม่คลายมือออกเพลานี้เขาอยากพังประตูเข้าไปเด็ดเอาชีวิตของชายหญิงชาติสุนัขคู่นั้นจนแทบทนไม่ไหวแต่จำเป็ต้องข่มกลั้นอารมณ์ไว้
เหยาเจิ้นถิงกัดริมฝีปากแน่นร่างกายสั่นเทิ้มไปด้วยแรงโทสะอันเกรี้ยวกราด “เป๊าะ!” เสียงแหวนหยกบนนิ้วมือแตกร้าวร่วงตกลงมาที่พื้นแต่ดูเหมือนจะไม่มีผลต่อคนทั้งสองที่กำลังโรมรันพันตูกันอย่างถึงพริกถึงขิงภายในห้องสุดท้ายเหยาเจิ้นถิงพลันหมุนตัวถอยกลับออกมาจากห้องพิเศษชั้นบนทุกย่างก้าวขณะลงบันไดล้วนหนักอึ้งผิดปรกติ
“นายท่าน...”เมื่อเห็นเ้านายใบหน้าเผือดสี เหยาถูก็ก้าวเข้ามาอย่างวิตกกังวล
“เื่ในวันนี้ห้ามแพร่งพรายออกไปแม้แต่คำเดียวกลับ!” เหยาเจิ้นถิงกำชับอย่างเ็าน้ำเสียงทุ้มต่ำทิ้งความหนาวเหน็บเสียดแทงกระดูกเอาไว้ก่อนเดินนำออกไปจากโรงละครอวิ๋นเต๋อเหยาถูเหลือบตาขึ้นไปที่ห้องพิเศษชั้นสองด้วยจิตใต้สำนึกหางคิ้วกระตุกอยู่สองสามครั้ง แล้วรีบจ้ำตามนายออกไปอย่างรวดเร็ว
...
เชิงอรรถ
[1] ยามเฉินหรือยามมะโรง หมายถึง่เวลา 7.00-8.59 น.
[2] 1 เค่อคือหน่วยเวลา 15 นาที
[3] ฉีดเืไก่เป็สำนวน่ปฏิวัติวัฒนธรรม ที่คนนิยมฉีดเืไก่เข้าเส้น เพราะเชื่อว่าเป็ยาอายุวัฒนะรักษาได้สารพัดโรค ช่วยให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าต่อมาใช้เปรียบเปรยคนที่มีอาการคึกคัก ตื่นเต้น