จวินเหยียนมองอวิ๋นซีที่สูญเสียการควบคุมเล็กน้อย ก่อนจะออกแรงกอดนางไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดเสียงเบา “ข้ารู้ดีว่าโลกใบนี้มันไม่ยุติธรรมเลย เพราะเื่เหล่านี้เองก็เกิดขึ้นกับตัวข้าอยู่บ่อยครั้ง ในอดีตนั้นเป็เพราะข้าถูกคนใส่ร้ายว่าล่วงเกินสนมรักของเสด็จพ่อ เขาไม่แม้แต่จะฟังคำอธิบายจากปากข้าด้วยซ้ำก็แต่งตั้งข้าเป็หานอ๋อง และไล่มาอยู่หานโจวที่แสนจะกันดารนี้ ซ้ำร้ายระหว่างทางที่มา ตัวข้าก็เกือบต้องสิ้นชีพไปหลายต่อหลายครั้ง ตอนนั้นข้าเองก็เคยคิดว่า์ช่างไม่ยุติธรรมเลย ทว่า ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่์ให้ข้ามาอยู่ที่นี่ โชคดีเหลือเกินที่เกิดเื่เมื่อตอนนั้นขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วข้าก็ได้มาพบเ้าที่นี่”
ก่อนนี้อวิ๋นซีก็เคยได้ยินเื่นี้มาแล้ว แต่นึกไปว่านั่นคงเป็เพียงเสียงลือเสียงเล่าอ้างของคนอื่น แต่ตอนนี้ดูไปแล้วก็มีความเป็ไปได้แปดเก้าส่วนว่าเป็แผนที่หวงกุ้ยเฟยวางไว้ ถึงกระนั้นประโยคสุดท้ายที่เขาพูดเมื่อครู่กลับทำให้ใจที่แข็งยิ่งกว่าหินของอวิ๋นซีถึงกับคลายลงเล็กน้อย “จวินเหยียน ท่านไม่เป็ไรนะ”
นางลืมเลือนความเ็ปของตนไป และ้าเพียงได้ถามเขาสักคำว่า ยังไหวอยู่หรือไม่?
จวินเหยียนวางคางลงบนศีรษะนางแล้วจึงพูดเสียงเบา “อาซี คนที่เราอาจได้พบเจอบนโลกใบนี้มีเป็พันเป็หมื่น ทว่า คนที่ให้ได้เจอได้ผูกสัมพันธ์เป็สามีภรรยากันนั้นมีน้อยยิ่งนัก นับแต่ที่ข้ามาถึงหานโจวนี้ ใจของข้าก็อาจเรียกได้ว่าตายไปแล้ว ที่ผ่านมาข้าคิดเพียงจะฝึกฝนกองกำลังเพื่อสร้างฐานอำนาจให้ตนเอง จากนั้นก็ค่อยกลับไปเมืองหลวงอีกครั้ง เพื่อให้คนเ่าั้ที่ใส่ร้ายข้าเป็ต้องหวั่นเกรง หรือหากจะหวาดกลัวได้ก็ย่อมดี และเมื่อเวลานั้นมาถึงข้าก็จะเหยียบย่ำคนเ่าั้ไว้ใต้ฝ่าเท้าข้า ทว่า หลังจากที่ได้พบเ้า ความคิดของข้าก็เปลี่ยนไป”
“อวิ๋นซี ยามนี้ข้าคิดไว้เพียงว่า หากเ้า้าจะรั้งอยู่ข้างกายข้า การแย่งชิงใดๆ ในใต้หล้านี้ ข้าก็ย่อมยุติเพื่อเ้าได้ ข้าจะวางเื่ทุกอย่างนี้ลง และอาศัยอยู่ในดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือนี้ ใช้ชีวิตให้ดีๆ ไปกับเ้าและลูก”
คำพูดเหล่านี้เมื่อก่อนอวิ๋นซีก็เคยได้ยินเขาพูดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่คิดไปว่าเขาคงกำลังล้อตนเล่น ทว่าในตอนนี้นางเชื่อแล้วว่า บางทีเขาอาจจะยอมทำเช่นนั้นจริงๆ ?
“ไม่ ข้าจะช่วยท่านเอง สิ่งใดที่เป็ของท่าน ท่านจักต้องได้คืนมา” ไม่ว่าชาติก่อนนางกับเขาจะเคยมีความสัมพันธ์ใดที่ข้องเกี่ยวกันจริงหรือไม่ ทว่าในชาตินี้ระหว่างพวกเขาทั้งสองต่างก็มีศัตรูคนเดียวกัน ดังนั้น นางย่อมไม่ยินยอมให้เขาล่าถอย
“เ้าชอบเมืองหลวง? ” เขาถามนางขำๆ โดยไร้เสียง
อวิ๋นซียิ้มบางๆ “หากข้าบอกท่านว่าข้าชอบเมืองหลวงเล่า? ”
“เช่นนั้นพวกเราก็จะพยายามช่วยกันเปลี่ยนแปลงหานโจว เพื่อให้เสด็จพ่อทรงเปลี่ยนพระทัย และหลังจากนั้น ข้าจักพาเ้ากับหวานหว่านกลับไปยังเมืองหลวงด้วยกันอย่างสง่าผ่าเผย” ขอแค่นางชอบ จวินเหยียนก็รู้สึกได้ว่า ตนควรจะพยายามทำให้ได้สมดั่งที่ใจนางปรารถนา
“ท่านไม่ได้บอกว่าพันธุ์มันเทศเ่าั้ใกล้จะมาถึงแล้วหรือ ท่านไม่อยากไปดูหน่อยหรือ? หากอยากจะเปลี่ยนแปลงหานโจวก็มิใช่สักแต่พูดด้วยลมปาก จำต้องเข้าไปดูสถานที่เ่าั้ให้เห็นกับตา และเมื่อเราได้รู้ถึงสถานการณ์ของสถานที่แห่งนั้นอย่างชัดเจนแล้ว พวกเราก็จะคิดหาวิธีต่อไปออกเอง” ในสายตาของนาง ไม่ว่าคำพูดนั้นจะสวยหรูอย่างไรก็เป็เพียงการวางแผนรบบนกระดาษ [1] มีแต่ต้องไปเยือนสถานที่แห่งนั้น ตรวจดูสถานการณ์โดยรอบให้แจ่มชัด หลังจากนั้นจึงจะตัดสินใจดำเนินการต่อไปได้
“เช่นนั้นพวกเราจะไปเมืองอู้กันหรือ? ” เมืองอู้คือสถานที่เพาะเลี้ยงมันเทศในครั้งนี้ หากพิจารณาจากระยะเวลาแล้ว พันธุ์มันเทศก็น่าจะมาถึงเมืองอู้ภายในไม่กี่วันนี้ และหากพวกเขาจะลองไปตรวจสอบด้วยตนเองเสียสักครั้งก็คงเป็เื่ที่ดีเหมือนกัน
“อืม พวกเราเดินทางจากที่นี่ไปเมืองอู้ก็ต้องใช้เวลาราวสองวัน เพียงแต่การออกไปข้างนอกในครั้งนี้ของเราอาจต้องใช้เวลานานสักหน่อย ดังนั้น เื่ในจวนอ๋องนี้ ท่านจะต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อน” นางดันอ้อมแขนของเขาออก จากนั้นจึงพูดเสียงเบา “อีกประการ พวกเราจะมุ่งหน้าไปยังเมืองอู้อย่างเอิกเกริกไม่ได้ จำเป็ต้องปลอมตัวสักหน่อย”
“ได้ พวกเราจะออกไปในฐานะของฉินเหยียนและฮูหยินฉินเช่นเดิม ส่วนหวานหว่านนั้น ข้าคงต้องพานางไปด้วย เพราะการไปครั้งนี้ของพวกเราไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้ในจวนเราก็มีคนนอกมาพักอยู่ด้วย ข้าจึงไม่วางใจหากให้ลูกต้องอยู่ที่นี่” หากเป็เมื่อก่อน ต่อให้เขาจะต้องออกไปนอกสถานที่นานสักหน่อยก็ย่อมไม่เป็ไร ทว่าตอนนี้ในจวนมีหยวนอวี่เพิ่มเข้ามา ไม่ว่าจะทำเื่ใดก็ล้วนไม่สะดวกสบายดังเช่นกาลก่อนอีกแล้ว
“ต้องพาหวานหว่านไปแน่” หากหวานหว่านเป็บุตรสาวของตนจริง เช่นนั้นคนย่อมต้องเป็ยอดดวงใจของนาง ด้วยเหตุนี้ นางจะทิ้งลูกไว้ที่นี่ได้อย่างไร
“ทูลท่านอ๋อง มีคนจากเรือนฉิ่นเยว่มาแจ้งว่า ยามนี้หยวนอวี่เสี้ยนจู่เป็ลมไปแล้ว อยากจะให้ท่านอ๋องช่วยเสด็จไปทอดพระเนตรเสี้ยนจู่สักหน่อยเพคะ” เสียงที่ไม่ค่อยเต็มใจนักของหวนเอ๋อร์ดังลอดมาจากด้านนอก อยู่ดีไม่ว่าดีคนจะเป็ลมไปได้อย่างไร ในสายตาของหวนเอ๋อร์ สตรีนางนั้นจงใจชัดๆ
อวิ๋นซีขมวดคิ้ว จากนั้นก็พูดกับจวินเหยียน “ไปเถอะ พวกเราไปดูหน่อย” ตัวนางเองก็อยากจะไปดูเสียสักหน่อยว่า ดอกบัวขาวดอกนั้นจะเสแสร้งไปได้ถึงเมื่อไร ยิ่งกว่านั้น ในเมื่อคนคิดรังแกบุตรสาวนางก็อย่าได้คิดจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกเลย อย่าฝันไปเลย
จวินเหยียนมองอวิ๋นซี ก่อนจะพยักหน้าแล้วกล่าวตอบ “ได้ พวกเราไปดูหน่อย”
ไม่รู้เพราะเหตุใด เขามีความรู้สึกว่า หากหยวนอวี่ผู้นั้นได้เผชิญหน้ากับอวิ๋นซีเข้า คนจักต้องเสียเปรียบเป็แน่จนถึงขั้นที่ไม่อาจเอาคืนได้เลยก็ว่าได้ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกอดรนทนไม่ไหวที่จะได้เห็นนางจัดการผู้อื่น
เมื่อสาวใช้เรือนฉิ่นเยว่เห็นท่านอ๋องและพระชายามาด้วยกันก็พากันคุกเข่าทำความเคารพอยู่บนพื้น ก่อนที่จวินเหยียนจะพูดเสียงเรียบ “ลุกขึ้นเถอะ”
คนในห้องแน่นอนว่าต้องได้ยินเสียงที่ลานด้านนอก ขณะนั้นหยวนอวี่คิดไปว่า ในที่สุดตนก็จะได้เจอพี่จวินเหยียนแล้ว ในใจก็ให้รู้สึกปรีดาเป็อย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ ในตอนที่บรรดาสาวใช้กำลังแสดงความเคารพและเรียกขานพระชายานั้น นางก็ราวกับไม่ได้ยินเสียงใดอีกแล้วทั้งนั้น
จากนั้นจึงรีบเอนกายนอนลงบนเตียงแล้วพูดเสียงเบา “หากท่านอ๋องเข้ามาแล้ว พวกเ้าคงรู้นะว่าควรต้องทำเช่นไร”
อิ๋งอิ๋งยิ้มพลางช่วยนางจัดผ้าห่ม “วางใจเถิดเ้าค่ะ บ่าวรู้ว่าควรทำเช่นไร”
ทางด้านของเตี๋ยอี นางกลับเป็คนที่มีสติมากที่สุดในพวกเขาสามคน และเมื่อได้เห็นท่าทีตื่นเต้นของคนทั้งสอง นางก็ทำเพียงทำเื่ของตนต่อไปเงียบๆ
เพียงไม่นานจวินเหยียนที่สวมใส่ชุดสีแดงและอวิ๋นซีที่สวมชุดกระโปรงยาวร้อยจีบสีม่วงอ่อนก็เดินเข้ามา นี่เป็ครั้งแรกที่เตี๋ยอีและอิ๋งอิ๋งได้เจอหานอ๋องในตำนานผู้นี้ มิคาดรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายจะหล่อเหลาชวนตื่นตะลึงราวกับเป็ชาว์ที่มาเยือนพิภพ
ฉับพลันนั้นอิ๋งอิ๋งและเตี๋ยอีต่างก็เข้าใจพ้องกันว่าเหตุใดคุณหนูถึงได้ลุ่มหลงหานอ๋องเพียงนั้น ทั้งยังคิดได้ว่า คุณหนูตนคงจะรู้มานานแล้วว่าหานอ๋องทรงเสน่ห์ และรูปงามเพียงใด ไม่นานนักเป็เตี๋ยอีที่สามารถดึงสติตนให้กลับมาได้ก่อน จากนั้นจึงรีบฉุดร่างอิ๋งอิ๋งที่อยู่ข้างกายให้คุกเข่าลง “เตี๋ยอีถวายบังคมท่านอ๋อง และพระชายาเพคะ ขอทั้งสองพระองค์ทรงพระเจริญพันปีพันปีพันพันปี”
รอจนคนทั้งสองทำความเคารพเสร็จแล้ว หยวนอวี่ผู้มีใบหน้าซีดขาวจึงได้พยายามดิ้นรนลุกขึ้น ทั้งยังนึกในใจว่า เมื่อได้เห็นตน พี่จวินเหยียนจะต้องเกิดความรักถนอมขึ้นมาในใจ ทว่า มิคาดเขาจะทำทีราวกับมองไม่เห็น และปล่อยให้นางต้องลุกขึ้นด้วยตัวเอง
นางดิ้นรนอยู่พักหนึ่งก็เป็ต้องล้มลงไปบนเตียงโดยแรงอีกครั้ง ทั้งยังไม่ลืมส่งเสียงสะอึกสะอื้นออกมาราวกับเมื่อครู่ที่ล้มลงไปทำให้ร่างกายบางเ็ปมากอย่างไรอย่างนั้น อวิ๋นซีเห็นแล้วก็อดแค่นเสียงเ็าไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าไม่ได้เจอกันนานเพียงนี้ ทักษะการแสดงของแม่ดอกบัวขาวจะถดถอยลงมากกว่าเก่า
“ท่านอ๋อง ทอดพระเนตรสิเพคะยามนี้หยวนเสี้ยนจู่ล้มลงไปบนเตียงแล้ว เหตุใดท่านจึงไม่แสดงท่าทีอันใดบ้างเล่าเพคะ” อวิ๋นซีมองไปยังจวินเหยียน ถามยิ้มๆ
จวินเหยียนเลิกคิ้วมองตอบอวิ๋นซี “บุตรสาวเราถูกคนปล่อยให้ต้องตกหล่นลงกับพื้น ทว่าตอนที่เห็นหน้าพวกเรา นางยังไม่แม้แต่จะทำทีเป็อ่อนแอเพียงนี้”
ประโยคนี้ที่เขาพูดออกมาราวกับเป็การตบหน้าอีกฝ่ายฉาดใหญ่ ทั้งยังแฝงไว้ว่า ใจของหยวนอวี่ผู้นี้ยังสู้หวานหว่านที่อายุสองขวบกว่าไม่ได้ด้วยซ้ำ และการที่เขามาที่นี่ก็หาใช่มาเยี่ยมไข้คน แต่ตั้งใจจะมาเพื่อคิดบัญชี
ดังคาด หยวนอวี่ที่คิดจะเสแสร้งต่อไปถึงกับสีหน้าเปลี่ยน ประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาว นางมองไปยังจวินเหยียนด้วยท่าทีน่าสงสาร “พี่จวินเหยียน หยวนอวี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้จวิ้นจู่น้อยตกลงมานะเพคะ นับแต่ที่เกิดเื่ขึ้น หยวนอวี่ก็กลับมายังเรือนฉิ่นเยว่ด้วยความรู้สึกผิดเป็อย่างยิ่ง ทั้งยังกังวลเหลือเกินว่าจวิ้นจู่จะเป็อะไรหรือไม่ แต่หยวนอวี่ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะไม่อาจผ่านเข้าไปยังเรือนชั้นห้า เพื่อไปเยี่ยมดูอาการจวิ้นจู่น้อยได้”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] วางแผนรบบนกระดาษ(纸上谈兵)เปรียบเทียบถึงการคุยโวโอ้อวดไม่ได้ลงมือทำจริง เหมือนพวกเก่งแต่ปาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้