หือ?
แลมพาร์ดไม่เคยคิดเลยว่าจู่ๆ อเล็กซานเดอร์จะขอร้องแบบนี้
ในสถานการณ์ที่อันตรายแบบนี้ สิ่งแรกที่คิดไม่ใช่ความปลอดภัยของตัวเอง แต่เป็ให้ยอดฝีมืออันดับหนึ่งไปคุ้มครองแองเจล่าสาวน้อยบอบบางคนนั้น ช่างเป็การกระทำที่เหนือความคาดหมายของผู้คนจริงๆ นั่นทำให้ในใจของแฟรงก์ แลมพาร์ดบวกคะแนนให้เด็กหนุ่มมหัศจรรย์ตรงหน้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
แต่ก็เป็คะแนนเล็กน้อยเท่านั้น
เพราะแผนการที่อเล็กซานเดอร์ตัดสินใจจะเริ่มบุกโจมตีก่อน ทำให้แลมพาร์ดตัดคะแนนการประเมิณค่าไปสิบคะแนน
โง่งมอย่างเห็นได้ชัด ภายใต้สถานการณ์แบบนี้การเลือกที่จะเริ่มเปิดฉากโจมตีก่อนก็คือไอ้โง่ชัดๆ
การกระทำแบบนี้เป็การทำลายชีวิตที่มีค่าของทหารเมืองแซมบอร์ดอย่างเปล่าประโยชน์ พวกข้าศึกมีทั้งจำนวนคนที่มากกว่าและอุปกรณ์ก็ครบครัน นี่เท่ากับมอบโอกาสที่จะทำให้พวกข้าศึกสามารถชนะาได้อย่างง่ายดาย
แลมพาร์ดยอมรับว่าในาก่อนหน้านี้ อเล็กซานเดอร์ได้แสดงความกล้าหาญอย่างยิ่ง กล้าหาญเกินกว่าที่เขาคาดไว้ด้วยซ้ำ แต่ในาที่เป็เหมือนเครื่องบดเนื้อคราวนี้ หากไม่ใช่ผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งระดับจันทราขึ้นไปคงไม่สามารถทำตามแผนของเขาได้ แค่ความกล้าหาญส่วนตัวมันไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ แลมพาร์ดไม่หวังจะให้อเล็กซานเดอร์คิดว่าหลังจากที่ได้รับชัยชนะในการต่อสู้เล็กน้อยไม่กี่ครั้งมาทำให้ตัวเองทระนงตนขึ้นมา
“หากอยากโจมตี บางทีข้าอาจจะไปทำลายเครื่องยิงหินพวกนั้นสักสองสามเครื่อง ดังนั้น...ท่านไม่ต้องรีบไปตายหรอก”
เพื่อิญญาของสหายเก่าที่ขึ้น์ไปนานแล้ว เพื่อสาวน้อยที่ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างแองเจล่า ในที่สุดแลมพาร์ดก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ แม้ว่าอาการาเ็จะกำเริบ ก็อยากจะออกไปเสี่ยงอันตรายออกไปทำลายเครื่องยิงหินที่ถือว่าเป็ภัยคุกคามใหญ่ของเมืองแซมบอร์ด...หวังว่าด้านล่างเครื่องยิงหินจะไม่มียอดฝีมือฝ่ายข้าศึกคอยปกป้อง
“ท่านลุงแลมพาร์ด นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาเื่เครื่องยิงหินพวกนั้น ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ว่าท่านจะทำลายเครื่องยิงหินได้จริงๆ ก็เกรงว่าเมืองแซมบอร์ดก็ยังคงยืนหยัดได้ไม่นานอยู่ดี...ท่านวางใจเถอะ ข้าเป็คนหนุ่มกลัวตายขนาดนี้ หากไม่มั่นใจจะไม่มีทางทำเื่นี้อย่างแน่นอน”
ซุนเฟยพูดถึงตรงนี้ก็พลันเปลี่ยนท่าทางเป็เคร่งขรึมก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้ๆ หนึ่งก้าวและกระซิบ “ท่านลุง ท่านจำเป็ต้องอยู่บนกำแพงนี้ เพราะมีแค่ท่านที่ทำให้อสรพิษที่ซ่อนอยู่ในมุมมืดพะว้าพะวังได้”
สีหน้าของแลมพาร์ดพลันเปลี่ยนไปชั่วครู่
“เ้าก็รู้หรือ?”
มุมปากของซุนเฟยก็พลันฉีกยิ้มลึกลับออกมาแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “อืม น่าเสียดายที่ข้าพบเพียงร่องรอยเล็กๆ น้อยๆ ไม่กล้ามั่นใจว่าเป็ใครกันแน่...แต่ข้ารู้สึกได้ว่าในเมืองแซมบอร์ด บางทีอาจจะมีแค่ท่านที่สามารถรับมือกับเขาได้ชั่วคราว”
แลมพาร์ดพยักหน้า
วินาทีต่อมา สายตาของเขาก็เปลี่ยนเป็แหลมคมขึ้นมา เขามองซุนเฟยจากบนลงล่างอย่างละเอียดชั่วครู่ ทันใดนั้นร่างของเขาก็แผ่คลื่นสีฟ้าออกมาห่อหุ้มที่แขนขวาทั้งหมด เขาไม่พูดไม่จาแต่เดินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วะเิคลื่นพลังแข็งแกร่ง ชกออกไปอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าไปที่อกของซุนเฟย
แรงกดดันที่เหมือนูเาสูง หมัดที่มาพร้อมกับเสียงะเิ
ทุกคนรอบข้างต่างพากันคาดไม่ถึง ยอดอันดับหนึ่งเมืองแซมบอร์ดจู่ๆ ก็ลงมือทำร้ายาาอเล็กซานเดอร์ ทำให้พวกเขาพลันใไปชั่วขณะ
แต่ซุนเฟยเหมือนกับจะคาดไว้แล้ว เขาไม่มีทีท่าตื่นใแต่อย่างใด
ตูม!
เขาเองก็ชกสวนออกไปเช่นกัน ยินดีแลกหมัด
หมัดนี้ไม่แฝงพลังทักษะใดๆ ทั้งหมดเป็พละกำลังล้วนๆ ในร่างของเขาแม้จะไม่ได้แฝงไปด้วยพลังทักษะ แต่หมัดนี้กลับทิ้งภาพตกค้างในอากาศ เสียงะเิกลางอากาศดังสนั่น
ตึง!
สองหมัดกระแทกชนพร้อมกัน
ทันใดนั้น คลื่นพลังที่แข็งแกร่งเหมือนคลื่นั์ก็ะเิเสียงดังสนั่น เหมือนพายุหมุนรุนแรงพัดมาตรงแนวราบ ทหารที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ต่างถูกแรงลมพัดใส่จนต้องหลับตาแน่น ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ก็เซถอยหลังออกมา ดาบในมือก็แทบจะกำไว้ไม่อยู่
คลื่นพลังสีฟ้าบนแขนของแลมพาร์ดก็พลันสลายหายไป ร่างสั่นอยู่ไม่กี่ครั้งแต่ก็สามารถที่จะยืนได้มั่นคง
ซุนเฟยถอยหลังไปสองสามก้าวถึงจะยืนได้มั่นคง หอบหายใจถี่ไปชั่วครู่ กำปั้นชาและเจ็บไปทั้งทั้งแขน
“ดี ไม่เลวเลย!”
แลมพาร์ดพยักหน้า สายตาที่มองซุนเฟยมีประกายความพอใจ แต่กลับยากที่จะระงับความประหลาดใจและใไม่ได้
ในที่สุด ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแซมบอร์ดก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของซุนเฟย เขาพูดด้วยท่าทางซับซ้อน “ด้วยพลังนี้ คงจะพอป้องกันตัวเองได้ ดี ข้าจะอยู่ที่นี่ ท่านก็ออกไปรบเถอะ...แต่ระวังตัวด้วย หากสถานการณ์เลวร้ายก็อย่าฝืน ทำลายเครื่องยิงหินสักสองสามเครื่อง ให้พวกข้าศึกได้รับบทเรียนสักเล็กน้อยพอแล้วรีบกลับมา หากพวกเรายื้อเวลาอีกสักระยะ ราชอาณาจักรเซนิทอาจจะได้รับข่าวและส่งกำลังเสริมมาที่นี่อย่างรวดเร็วแน่ๆ”
นี่อาจจะเป็ครั้งแรกในรอบสิบปีที่แลมพาร์ดพูดมากที่สุด แม้ว่าจะเป็เพียงประโยคสั้นๆ ไม่กี่ประโยค แต่ซุนเฟยกลับรู้สึกได้ถึงความห่วงใยลึกซึ้งในคำพูดนั้น
“อืม ท่านวางใจเถอะ ข้ารู้ดีว่าควรทำอะไร”
ซุนเฟยพูดจบก็โค้งกาย จากนั้นก็หันหลังเดินไปที่หอสังเกตการณ์
ความจริงแล้ว ในชั่วพริบตาที่แลมพาร์ดลงมือเมื่อครู่ เขาก็รู้แล้วว่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งเมืองแซมบอร์ด้าจะทดสอบพลังของตัวเอง หลังจากมั่นใจกับพลังของเขา แลมพาร์ดจึงยอมเห็นด้วยกับแผนการเริ่มโจมตีของเขา
และการลงมือครั้งนี้ก็อยู่ในการคาดเดาของซุนเฟยก่อนหน้านี้ คนเถื่อนเลเวล 12 สามารถต่อกรกับนักรบสองดาวได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ถ้าเผชิญหน้ากับนักรบสามดาวก็คงยากอยู่เหมือนกัน
เมื่อครู่ที่แลมพาร์ดชกออกมา ซุนเฟยก็ใช้พลังทั้งร่างชกสวนกลับ แม้จะทำลายคลื่นพลังบนแขนเขาได้ แต่ซุนเฟยเองกลับต้องถอยหลังไปสองสามก้าว ทำให้เสียโอกาสไป
“จะต้องรีบเพิ่มความแข็งแกร่งให้เร็วกว่านี้!”
ซุนเฟยตัดสินใจอย่างแน่วแน่ รอหลังจากที่สถานการณ์เลวร้ายของเมืองแซมบอร์ดนี้ถูกจัดการเสียก่อน เขาจะรีบกลับไปโลก Diablo ฝีกฝนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง แผ่นดินอาเซรอทที่เต็มไปด้วยาหากอยากมีชีวิตรอด อยากปกป้องคนสำคัญจะต้องมีหมัดที่หนักและอำนาจที่ยิ่งใหญ่
เมื่อกลับมาที่หอสังเกตการณ์ บรู๊คก็ได้พาชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ยี่สิบคนมารออยู่ที่นี่แล้ว
คนเหล่านี้ต่างมีรูปร่างสูงใหญ่องอาจทุกคน และสูงมากกว่าสองเมตร ท่อนบนเปลือยเปล่าโชว์กล้ามเนื้อที่แข็งแรงราวกับสร้างมาจากหินและเหล็กกล้า เปี่ยมด้วยพละกำลังที่พลุนพล่าน ร่างกายเต็มไปด้วยขนเหมือนสัตว์ป่าและเป็สัตว์ป่าที่ดุร้ายจนทำให้ผู้คนเห็นแล้วหนาวเย็นะเื ทุกส่วนของร่างกายมีกลิ่นอายดิบเถื่อนเหมือนมอนสเตอร์รูปร่างคนที่เดินออกมาจากป่า
นี่ก็คือนักรบทรงพลังยี่สิบคนที่บรู๊คคัดเลือกออกมาตามคำสั่งของซุนเฟย
ปึง ปึง!
ซุนเฟยพยักหน้า ก่อนจะยกมือทุบหน้าอกชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ตัวเอง ยิ้มออกมาพลางถาม “นักรบ บอกข้าสิ เ้าชื่ออะไร?”
“ดร็อกบาขอรับ ฝ่าา ข้าชื่อดิดิเย ดร็อกบาขอรับ!”
“ดี พิสูจน์ให้ข้าดูหน่อยสิว่าเ้ามีพลังมากแค่ไหน นักรบดร็อกบา” ซุนเฟยพูดออกมา
ดร็อกบาได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มเรียบง่ายและซื่อตรง
ชายฉกรรจ์กวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะหมุนกายเดินไปตรงด้านหน้าผนังหินหอสังเกตการณ์ ร่างกายเตี้ยๆ เดินไปยกเศษผนังหินที่พังทลายที่สูงราวๆ สี่ห้าเมตร ออกแรงยกเห็นได้ชัดถึงกล้ามเนื้อบนร่างและสองแขนที่ปูดขึ้นมา ก่อนที่จะยกผนังหินขึ้นมาไว้และค้างมันอยู่นาน
ในดวงตาของซุนเฟยปรากฏความยินดี
ผนังหินนี้น้ำหนักน่าจะประมาณหกร้อยเจ็ดร้อยจิน (สามร้อยกิโลกรัม) ผนังหินถูกดร็อกบายกขึ้นมาแบบไม่ลำบากมากนัก เหมือนกับว่าเขายังมีแรงเหลือเฟือ ซุนเฟยต้องยอมรับว่าสมรรถภาพทางกายของคนธรรมดาทั่วไปในแผ่นดินอาเซรอทเหนือชั้นกว่าคนบนโลกเก่าของเขาเสียอีก ชายที่ชื่อดร็อกบาหากอยู่ในโลกเก่าของเขาจะต้องได้เข้าร่วมการแข่งขันยกน้ำหนักระดับโลก และเตะแชมเปี้ยนนักยกน้ำหนักระดับโลกลงกระป๋องแน่ๆ
“เยี่ยม! สมแล้วที่เป็นักรบไร้พ่าย!”
ซุนเฟยหัวเราะพลางเอ่ยชมก่อนจะเดินไปยกผนังหินที่ดร็อกบาถือไว้เพียงมือเดียว ออกแรงเล็กน้อย ยกมันโยนทิ้งไปไกลๆ เสียงดัง ‘ตูม’ ฝุ่นคลุ้งกระจาย เศษหินกระดอนขึ้นมาทีหนึ่ง
การกระทำแบบนี้ทำเอานักรบทั้งยี่สิบคนมองตาค้าง
ในบรรดาคนกลุ่มนี้ ดร็อกบาเป็คนที่มีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุด แต่เขาก็ทำได้แค่ยกผนังหินขึ้นมาได้เท่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะถูกาาอเล็กซานเดอร์ใช้มือเดียวยกมันโยนทิ้งออกไปเหมือนโยนลูกไก่ออกไป นี่เป็พลังอะไรกัน? ช่างเหนือล้ำจินตนาการมากๆ
เห็นแบบนี้เหล่าชายฉกรรจ์ก็พากันเลื่อมใสศรัทธา มองไปยังซุนเฟยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเทิดทูน
นี่เป็ผลที่ซุนเฟย้า
หลังจากที่เข้าสู่ ‘โหมดคนเถื่อน’ ด้วยเลเวล 12 ปัจจุบันพละกำลังของคนเถื่อนก็มีไม่น้อยกว่าห้าพันจิน (สองพันห้าร้อยกิโลกรัม) พลังกายที่ไร้ขีดจำกัดเป็ความสามารถเฉพาะของคนเถื่อน ที่เขาแสดงแบบนี้ก็เพื่อเอาชนะชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ด้วยสิ่งที่พวกเขาถนัด และทำให้พวกเขายอมมอบความจงรักภักดีให้กับตัวเอง
“ในบรรดาทหารทั้งหมดของข้า ด้านพละกำลังพวกเ้าถือว่าแข็งแกร่งที่สุด แต่ไม่รู้ว่าความกล้าหาญของพวกเ้าจะแข็งแกร่งเช่นพละกำลังหรือไม่?” ซุนเฟยอยากจะกระตุ้นนักรบเหล่านี้เพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจของพวกเขา
พูดประโยคนี้จบ ดวงตาของเหล่าชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ก็แดงก่ำ ทุกคนต่างทำท่าคันไม้คันมืออยากทุบตีศัตรูเต็มแก่ออกมา
“ฮ่าๆๆ ดีมาก ข้าจะออกไปนอกเมืองเพื่อมอบบทเรียนที่ยากจะลืมให้พวกลูกหมาพวกนั้น ว่าอย่างไร กล้าไปลุยด้วยกันกับข้าไหม?” ซุนเฟยหันกายแล้วชี้นิ้วไปทางข้าศึกที่ปักหลักอยู่บนสะพานเหมือนอสรพิษดำ พลางถามเอ่ยถามด้วยรังสีฆ่าฟัน
“ฝ่าา ข้าอยากออกไปมอบบทเรียนให้ไอ้พวกสารเลวนั้นไวๆ แล้วขอรับ” ดร็อกบากำหมัดชูไปทางพวกมันพลางพูดออกมาเสียงดัง
“ฝ่าา ข้าอยากกระทืบข้าศึกสารเลวนั่น ให้ข้านำหน้าด้วยเถอะนะขอรับ”
“ข้าสามารถจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียว ฮ่าๆๆ
ใครกลัวพวกลูกหมานั่นกัน?”
“ข้าเคยทุบหัวพวกมันมายี่สิบเอ็ดตัวแล้ว ไม่ถือสาหากจะได้ทุบอีกยี่สิบเอ็ดตัว!”
เหล่าชายฉกรรจ์ได้ยินการตัดสินใจซุนเฟย ไม่เพียงไม่มีความหวาดกลัวแม้สักนิด กลับกันยังคันไม้คันมืออยากประเคนหมัดและฝ่าเท้าเต็มที ความหมายคืออยากจะพุ่งลงไปตะลุยกับพวกมันแล้ว
ตอนนี้เอง
“ฝ่าา ของที่ท่านให้เตรียมเรียบร้อยแล้วขอรับ”
เพียร์ซะโมาแต่ไกล เขานำทหารจำนวนหนึ่งขึ้นมาบนกำแพง ทุกคนบนกำแพงได้ยินก็หันไปมอง ทหารสี่สิบกว่านายที่เดินตามหลังเพียร์ซ ใบหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยเหงื่อขณะที่แบกชุดอัศวินเกราะหนักขึ้นมา
-----------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้