หลิวเฟินในตอนนี้นั้นแตกต่างจากตอนเพิ่งหย่าร้างอย่างสิ้นเชิง
หญิงชนบทผิวคล้ำและผอมแห้ง บัดนี้ดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาก
โครงหน้าของคนตระกูลหลิวล้วนดูดีทุกคน เพียงแต่มีรูปร่างค่อนข้างเล็กเท่านั้น เมื่อก่อนหลิวฟางนั้นนับว่าเป็คนที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลหลิว มิเช่นนั้นหลิวฟางจะได้แต่งงานกับเหลียงปิ่งอันหรือ หลิวหย่งเองก็หน้าตาไม่แย่ แม้หลี่เฟิ่งเหมยจะแต่งงานเป็ครั้งที่สองแล้ว ทว่าตอนนั้นหลี่เฟิ่งเหมยยังอายุไม่มากนัก สามารถหาคนที่มีคุณสมบัติทางการเงินดีกว่าหลิวหย่งได้ แต่เป็เพราะตอนดูตัว หลี่เฟิ่งเหมยเห็นหน้าตาของหลิวหย่งแล้วถูกชะตา ดังนั้นเงื่อนไขอื่นๆ ย่อมสามารถผ่อนปรนกันได้
หลิวเฟินเองก็มีรูปร่างผอมบางมาั้แ่ยังสาว ทว่าการทำงานหนักบั่นทอนความงดงามของเธอจนสิ้น
แม้จะดูแลตัวเองมาหนึ่งปีกว่าแล้ว แต่ก็ดีขึ้นกว่าตอนที่เซี่ยเสี่ยวหลานเจอเธอครั้งแรกเท่านั้น และแม้จะทิ้งห่างจากพวกแม่บ้านปากยื่นปากยาวที่หมู่บ้านต้าเหอมาหลาย่ตัว ทว่าเมื่อยืนอยู่ตรงหน้าคนที่ถูกประคบประหงมมาั้แ่เล็กอย่างจี้หย่า หลิวเฟินยังมีผิวที่ขาวเนียนไม่เพียงพอ บรรยากาศรอบกายเธอจึงเต็มไปด้วยคำว่า ‘เฉิ่มเชย’
อย่างไรก็ตามลูกค้าผู้หญิงของหลานเฟิ่งเหมยไม่คิดว่าหลิวเฟินเป็คนเฉิ่มเชย พวกเธอกลับชอบหลิวเฟินมากอีกด้วย โดยเฉพาะเวลาที่หลิวเฟินช่วยเลือกชุดให้!
แต่จี้หย่านั้นไม่เหมือนกัน เพราะจี้หย่าเป็สาวสวยนำแฟชั่น
เธอไม่เหมือนสหายหญิงที่ซางตู เนื่องจากจี้หย่าอยู่เมืองนอกมาสิบกว่าปี หากเจอหญิงบ้านนอกอย่างหลิวเฟิน จี้หย่าเดินตามถนนคงไม่แม้แต่จะชายตาแลด้วยซ้ำ หลิวเฟินกับเซี่ยเสี่ยวหลานหน้าตาคล้ายกันมาก จี้หย่าจึงเดาได้ว่าหลิวเฟินเป็ใคร เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ผู้หญิงแบบนี้จะสามารถยั่วยวนทังหงเอินได้สำเร็จ
อย่างน้อยตอนนี้ทังหงเอินก็เป็ถึงนายกเทศมนตรีของเขตเศรษฐกิจพิเศษ ถ้าเขาอยากหาผู้หญิงสักคนคงไม่จำเป็ต้องหาหญิงบ้านนอกแบบนี้หรอกกระมัง!
แม้จี้หย่าจะมีแฟนที่ต่างประเทศอยู่หลายคน แต่เธอก็ยังคงอดคิดไม่ได้ว่าทังหงเอินจะแต่งงานใหม่แล้วหรือเปล่า เพียงแต่ตระกูลจี้ส่งข่าวมาว่า ทังหงเอินครองตัวเป็โสดมาตลอดหลายปี... นี่ก็คือสิ่งที่ทำให้ตระกูลจี้คิดว่าพวกเขาสามารถใช้จี้เจียงหยวนควบคุมทังหงเอินได้ ทังหงเอินไม่มีลูกคนอื่น ดังนั้นจี้เจียงหยวนจึงนับว่าเป็ลูกชายเพียงคนเดียวของเขา!
ฝ่ายที่เป็คนขอหย่าร้าง ย่อม้าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับอดีตสามีหรืออดีตภรรยา
หากทังหงเอินหาคนที่ดีกว่าจี้หย่าได้ จี้หย่าคงได้แต่ยอมรับอย่างไม่เต็มใจนัก
แต่ดูคนที่ทังหงเอินหามาสิ... จี้หย่ารู้สึกเหมือนตนเองถูกเหยียดหยาม แม้ร่างกายของเธอจะผ่ายผอม แต่กลับใช้สายตาร้อนแรงดั่งเปลวไฟจ้องหลิวเฟินเขม็ง
หลิวเฟินเวลามีเื่กับคนอื่น ความคิดแรกของเธอคือล่าถอย
เพราะคนอื่นเห็นเธอแล้วคงคิดจับผิดว่าเธอมีดีตรงไหนบ้าง แต่เพื่อลูกสาวแล้ว วันนี้หลิวเฟินไม่มีทางอ่อนข้อให้เด็ดขาด
จะถอยไม่ได้ คนที่ทำผิดไม่ใช่เธอสักหน่อย!
เสี่ยวหลานบอกว่าเธอไม่ผิด ย่าอวี๋บอกว่าเธอต้องลุกขึ้นหนุนหลังลูกสาว ทังหงเอินบอกว่าไม่ใช่ความผิดของเธอก็คือไม่ใช่
หลิวเฟินจ้องกลับไป
มือที่จับตัวพี่สะใภ้ของจี้หย่าออกแรงบีบโดยไม่รู้ตัว หญิงบ้านนอกกล้าโผล่หน้ามาที่นี่ไม่พอ ยังกล้าจ้องหน้าเธอกลับอีก เป็เพราะทังหงเอินคอยตามใจและให้ท้ายสินะ ทังหงเอิน้าใช้วิธีนี้เหยียดหยามเธอ บอกว่าคนอย่างเธอเทียบหญิงบ้านนอกยังไม่ได้ใช่หรือไม่?
“โอ้ย...”
ภรรยาของจี้หลินถูกจี้หย่าบีบแขนจนหลุดร้องอุทานออกมา
เสียงนี้ทำลายความเงียบงันที่เกิดขึ้นภายในห้อง
จี้หลินเป็คนแรกที่แสดงความไม่พอใจ
“นายกทัง วันนี้เป็เื่ภายในครอบครัวของนายกับฉัน มีคนอื่นอยู่ด้วยคงไม่งามหรอกกระมัง!”
จี้หลินเคยขอโทษเซี่ยเสี่ยวหลานแล้ว ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ยอมให้อภัย แม้จี้หลินจะคิดว่าน้องสาวของตนทำไม่ถูก แต่เขาก็ไม่ถูกชะตากับเซี่ยเสี่ยวหลานสักเท่าไร
ทังหงเอินยังไม่ทันกล่าว ย่าอวี๋ก็แค่นหัวเราะ
“ถ้าอย่างนั้นพวกคุณสองตระกูลทะเลาะกัน แล้วทำไมถึงลากคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาด้วยเล่า ตอนนั้นทำไมตระกูลของคุณถึงไม่มีเหตุผลบ้างเล่า พอตอนนี้ดันกลัวถูกคนอื่นหัวเราะเยาะแล้วหรือ?!”
สีหน้าของย่าอวี๋เต็มไปด้วยคำว่า ‘พวกคุณต่างหากที่น่าขัน’ ศีรษะของเธอเต็มไปด้วยเส้นผมสีเงิน เวลานั่งนิ่งไม่พูดจาดูเข้มงวดอย่างมาก แต่พอพูดจบคำพูดของเธอก็ทิ่มแทงใจดำอีกฝ่ายอย่างเ็ป
จี้หลินไม่รู้ว่าหญิงชราผู้นี้เป็ใครมาจากไหน ทว่าเขาถูกเธอตอกกลับจนจุกอก
อาจจะไม่ค่อยถูกกาลเทศะนัก แต่เซี่ยเสี่ยวหลานอยากหัวเราะมากจริงๆ
ย่าอวี๋เป็คนพูดจาแข็งกร้าวอยู่แล้ว ตอนเพิ่งเช่าบ้านใหม่ๆ ทุกประโยคของย่าอวี๋ล้วนตรงไปตรงมา ทำเอาเพื่อนบ้านซ้ายขวารู้สึกโกรธกันหมด หญิงชราตัวคนเดียวผู้นี้ คงมีแต่เซี่ยเสี่ยวหลานที่ไม่คิดถือสากับคำพูดของเธอ อีกทั้งหลิวเฟินก็เป็คนจิตใจดีอยู่แล้วจึงสามารถอยู่กับหญิงชราได้ถึงปีกว่า
ย่าอวี๋ไม่ใช่พวกอีคิวต่ำ คำพูดที่แรงและตรงคือวิธีการปกป้องตัวเองอย่างหนึ่ง คือ ‘บุคลิก’ ที่ถูกสร้างขึ้นมา
เซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวเฟินเมื่อก่อนก็จัดอยู่ในกลุ่มคนที่ย่าอวี๋ต้องระวังตัว ดังนั้นย่อมไม่มีทางได้ยินคำพูดดีๆ จากปากหญิงชราผู้นี้ อย่างไรก็ตามตอนนี้สองแม่ลูกสามารถเอาชนะใจเธอได้แล้ว เมื่อเห็นหญิงชราเริ่มปล่อยท่าไม้ตายใส่คนอื่น เซี่ยเสี่ยวหลานจึงรู้สึกสะใจมาก!
ทังหงเอินเองก็อยากขำ หากจี้หลินโต้เถียงกับแม่เฒ่าคนหนึ่ง ต่อให้เถียงชนะก็เท่ากับพ่ายแพ้น่ะสิ
อีกอย่างสิ่งที่ย่าอวี๋พูดก็ไม่ผิดแต่อย่างใด ช่างตรงประเด็นและฉับไวเหลือเกิน
ทังหงเอินพูดแทรก
“นี่คือเื่ของพวกเราสองครอบครัว แต่จี้หย่าดันลากคนอื่นเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย ถ้าอยากประนีประนอมก็ต้องให้ทุกคนมานั่งคุยกัน เข้าเื่กันเถิด ผมยังยืนยันคำเดิม ผมรู้สึกขอบคุณที่ตระกูลจี้เลี้ยงดูเจียงหยวนอย่างดีมาจนเติบใหญ่ แต่พวกคุณจงใจขัดขวางไม่ให้เราสองพ่อลูกติดต่อกัน ทำให้ผมไม่ได้เจอเจียงหยวนถึงสิบสองปี ตอนนี้อยู่ต่อหน้าเจียงหยวน พวกเราควรคุยเื่ในอดีตกันให้ชัดเจน!”
จี้หลินสีหน้าบอกบุญไม่รับ ภรรยาของเขาจึงรีบแก้ไขสถานการณ์ทันที
“เป็เื่ในอดีตทั้งนั้น เห็นแก่เจียงหยวนยังจะพูดถึงอีกทำไมกัน”
ย่าอวี๋แค่นเสียง ‘ฮึ’ ออกมาเบาๆ ภรรยาของจี้หลินจึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา หญิงชราคนนี้มาจากไหน มายุ่มย่ามเื่ครอบครัวคนอื่นเขาทำไมกัน
หากให้ทำตามใจชอบแล้วล่ะก็ เวลาย่าอวี๋เอาจริงขึ้นมา สามารถเป็อาจารย์ย่าของจี้หย่าได้ด้วยซ้ำ
อายุของเธอยังอยู่ได้อีกหลายปี เวลาพูดจึงไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย
“เสี่ยวหลาน เธอต้องเรียนรู้ไว้บ้างนะ ว่านี่คือผู้มีอารยธรรมจากตระกูลนักวิชาการ! เรียนรู้อะไรน่ะหรือ เรียนรู้ความหน้าด้านหน้าทนของพวกเขาน่ะสิ ถ้าหน้าไม่หนาแบบนี้ สิ่งที่พวกเขาทำมาทั้งหมดคงไม่สม่ำเสมอถึงเพียงนี้! เธอบอกว่าพวกเขาใจแคบ กลับกลายเป็เธอเสียอีกที่ใจแคบ... คนรักหน้าตาอย่างพวกเขา เอ่ยคำขอโทษเมื่อไร ต่อให้เคยบาดหมางกันมากแค่ไหนก็เท่ากับหายกัน คนมีการศึกษาก็แบบนี้แล ใบหน้าของพวกเขามีมูลค่ากว่าคนทั่วไป ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็คงช่วยไม่ได้”
ตระกูลจี้อยากประนีประนอมกับคนอื่นยังจะเชิดหน้าทำปากแข็ง ย่าอวี๋เกลียดพวกแสร้งทำเป็เก่งอย่างตระกูลจี้เป็ที่สุด
ครอบครัวนี้เป็แบบไหนกัน
ก็แค่มีพ่อที่เป็นักวิชาการคนหนึ่งเท่านั้นมิใช่หรือ
แค่นี้ก็หยิ่งผยองแล้วรึ หลังก่อตั้งประเทศ ชนชั้นสูงถูกกวาดล้างจนหมด ตระกูลจี้เพิ่งมีทายาทรุ่นที่สาม ในขณะเดียวกันรุ่นที่สองก็ใกล้จะประคองตระกูลเอาไว้ไม่ได้เต็มที อนาคตรุ่นที่สามจะเป็อย่างไรยังไม่อาจคาดเดาได้ ย่าอวี๋ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนตระกูลจี้จะหยิ่งไปเพื่ออะไร
เซี่ยเสี่ยวหลานฟังคำสั่งสอนจากหญิงชราแล้วรู้สึกว่า ย่าอวี๋พูดดีเหลือเกิน ทำเอาเธออยากปรบมือให้
ปรบมือตอนนี้คงไม่ค่อยเหมาะสมนัก ออกจะดูขาดการอบรมไปเสียหน่อย... แต่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่สนใจ มีแค่ตระกูลจี้ที่ทำตามใจชอบได้อย่างนั้นหรือ เซี่ยเสี่ยวหลานอยากทำตามความคิดของตนเองบ้างไม่ได้หรืออย่างไร
“คุณย่าพูดดีมากเลยค่ะ!”
เซี่ยเสี่ยวหลานปรบมือจริงๆ
ทั้งสองคนร่วมมือกัน กระตุ้นจี้หย่าจนเธอทนไม่ไหว เธอสะบัดมือพี่สะใภ้ออกทันที
“แก่แต่ไม่น่าเคารพ คุณเป็ใครถึงได้กล้าตำหนิคนตระกูลจี้!”
“จี้หย่า!”
จี้หลินตะคอก
ย่าอวี๋จัดกระดุมแขนเสื้อเล็กน้อย ก่อนจะปัดมือเบาๆ
“ฉันเป็แค่คนกวาดถนน เช่นนั้นก็ต้องเป็แค่คนแก่ที่น่ารำคาญน่ะสิ”
หญิงชรามองจี้หย่าั้แ่หัวจรดเท้า สายตาของเธอช่างยากจะอธิบาย
“หลายสิบปีก่อน สมัยฉันเรียนอยู่เป่ยผิง [1] ที่มหาวิทยาลัยมีพวกนักศึกษายากจนที่ไม่มีเงินแม้แต่จะกินข้าว ใครบ้างไม่เคยกินอาหารที่ฉันเอาไปให้ จี้หวายซินเองก็กินอาหารของฉันไปไม่น้อย ตอนนี้เขาจากไปแล้ว ลูกสาวของเขากลับมาชี้หน้าด่าฉันว่าเป็ยายแก่... หึหึ ฉันว่าจี้หวายซินทำงานด้านการศึกษาพอใช้ได้ทีเดียว แต่ด้านความเป็คนคงจะไม่เอาไหนเลยจริงๆ สินะ!”
เชิงอรรถ
[1] ชื่อเดิมของกรุงปักกิ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้