ท่านป้าเจียงเป็คนขยันขันแข็งนัก หลังจากที่บ้านกินข้าวกันเสร็จแล้วก็รีบมาช่วยเสี่ยวหมี่ล้างถ้วยชามที่สกุลลู่ แต่ถึงอย่างนั้นกว่าจะเสร็จก็เป็ยามโพล้เพล้แล้ว
เสี่ยวหมี่ส่งท่านป้าเจียงออกไป ปิดประตูแล้วหันกลับไปมองเรือนของตนเอง ถึงแม้จะเงียบกว่าเดิมอยู่บ้าง แต่ทุกห้องล้วนมีคนเข้าพักอาศัย ล้วนเป็คนที่นางสนิทสนมและผูกพันด้วย ความรู้สึกนี้ทำให้นางเต็มตื้นอยู่ในใจ
นางอดขอบคุณ์ไม่ได้ที่ส่งนางให้มาอยู่กับครอบครัวนี้ ไม่ให้นางต้องโดดเดี่ยวเหมือนเมื่อก่อน
เฝิงเจี่ยนยืนอยู่ใต้หลังคาหน้าเรือนพักฝั่งตะวันออก โคมแดงที่จุดสว่างไสวโอบล้อมเรือนร่างของสตรีอันเป็ที่รัก คล้ายกับเป็เสื้อคลุมสีสดบนตัวนาง งดงามทว่าแลดูจับต้องไม่ได้ ทำให้เขาหวั่นใจถึงกับต้องร้องเรียก “เสี่ยวหมี่...”
เสี่ยวหมี่ดึงสติกลับมาแล้วหันมองไปตามเสียง นางคลี่ยิ้มอย่างสดใส “พี่ใหญ่เฝิง ท่านออกมาทำอะไรหรือ คืนนี้รีบเข้านอนเถอะเ้าค่ะ ท่านล่าสัตว์มาเหนื่อยมากแล้ว”
เฝิงเจี่ยนเดินเข้าไปหานาง เขาเอื้อมไปคว้ามือของเสี่ยวหมี่มาอย่างเป็ธรรมชาติ แล้วพาเดินไปยังเรือนหลัง เสี่ยวหมี่หน้าแดงระเรื่อ นางลังเลเล็กน้อยแต่ก็ไม่อาจหักใจดึงมือกลับได้
ท่ามกลางอากาศหนาวจากลมที่พัดมา ความอบอุ่นเล็กๆ ที่มือนี้แทรกซึมไปถึงหัวใจ
เสี่ยวหมี่กำลังเหม่อลอยอยู่ ครู่หนึ่งก็รู้สึกเย็นที่ข้อมือจึงก้มหน้าลงไปมองอย่างงุนงง
นางยกสองมือขึ้น แสงจันทร์ส่องให้เห็นกำไลหยกสีมรกตที่ข้อมือ นางเอ่ยอย่างตื่นเต้น “นี่คือ...”
“ให้เ้า”
เฝิงเจี่ยนดึงเสี่ยวหมี่เข้ามาไว้ในอ้อมแขนอย่างแ่เบา ท่าทีระมัดระวังราวกับนางเป็สมบัติล้ำค่าที่แสนเปราะบาง “อย่าถอดออกนะ”
“ได้” เสี่ยวหมี่รู้สึกอบอุ่นและร้อนผ่าวในคราวเดียวกัน
เฝิงเจี่ยนนายบ่าวพักอาศัยอยู่ที่เรือนสกุลลู่มายาวนาน เสื้อผ้าอาภรณ์ของกินของใช้ทุกอย่างนางเป็คนจัดการทั้งหมด ถึงนางจะคาดเดาได้ว่าเขามีสถานะไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่เคยเห็นเขาใช้เงินเพื่อใครมาก่อน ยามนี้เพิ่งล่าสัตว์กลับมาเป็ครั้งแรกก็มอบกำไลหยกให้นาง คาดว่าคงเป็เงินที่ได้มาจากการขายหนังสัตว์
ไม่แน่นี่อาจเป็เงินก้อนแรกที่เขาหามาด้วยสองมือของตนเองก็เป็ได้
เสี่ยวหมี่สูดลมหายใจเข้าลึก เงยหน้าจุมพิตเบาๆ ที่ข้างแก้มของเฝิงเจี่ยนไปทีหนึ่ง จากนั้นก็กุมแก้มแดงที่เห่อร้อนของตนไว้วิ่งเข้าห้องไป ก่อนจะปิดประตูตามหลังอย่างแรง
เฝิงเจี่ยนยกมือขึ้นัับริเวณที่ร้อนวาบข้างแก้ม เขายกมุมปากขึ้นน้อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำคืน เขาหัวเราะออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง...
บนต้นไม้นอกเรือนถัดออกไป เสวียนอีลูบจดหมายในอกเสื้ออย่างลังเล หายากที่นายท่านจะอารมณ์ดีเช่นนี้ หรือเขาควรจะสืบข่าวนี้ให้กระจ่างกว่านี้ก่อนแล้วค่อยมอบให้นายท่าน
เฝิงเจี่ยนหมุนกายเดินจากเรือนหลังออกมาถึงเรือนพักฝั่งตะวันออก แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ส่งมา”
เสวียนอีแข็งค้างไปทั้งร่างแล้วจึงะโลงจากต้นไม้อย่างเงียบเชียบ ก่อนจะมุดตัวเข้าไปยังเรือนพักฝั่งตะวันออก
ในห้อง เกาเหรินกำลังกอดชามต้มกระดูกหมูละเลียดกินอย่างช้าๆ ที่จริงแล้วเสี่ยวหมี่ตั้งใจเตรียมไว้ให้เผื่อว่าพี่รองลู่และเสี่ยวเอ๋อกลับมากลางดึก
คิดไม่ถึงว่าคนทั้งสองจะไม่กลับมา ซูอีแย่งกับเขาไม่ได้มันจึงลงไปในท้องของเขาแทน
ตอนที่เสวียนอีมุดกายเข้ามา เกาเหรินเตรียมจับดาบที่ข้างเอว แต่เมื่อเห็นชัดว่าผู้ที่มาเป็ใคร เขาก็เปลี่ยนมาเตรียมปกป้องชามในมือแทน
น่าเสียดายที่ยังช้าไปก้าวหนึ่ง เสวียนอีหยิบเนื้อหมูชิ้นหนึ่งในถ้วยโยนเข้าปากทันที
“เกาเหริน เ้าช่างแล้งน้ำใจนัก วันๆ ได้ติดตามนายท่านกินดีอยู่ดีแล้ว แต่ไม่เคยคิดแบ่งให้พี่น้องคนอื่นๆ เลย อร่อยจริง แบ่งมาให้ข้าอีกชิ้น”
“ไม่ให้ หึ ที่ท้องทุ่งหญ้าใครเป็คนกินหมูของข้าหมดกัน”
เกาเหรินและเสวียนอีตะลุมบอนกัน ผู้เฒ่าหยางนั่งจัดการบันทึกเื่ปลูกข้าวของเขาอยู่ เงยหน้าขึ้นมาหัวเราะกับพวกเขาเป็ระยะๆ
ตอนที่เฝิงเจี่ยนเปิดประตูเข้ามานั้น หมูในชามก็ถูกเกาเหรินและเสวียนอีจัดการจนไม่เหลือิญญาแล้ว เสวียนอีรีบเช็ดปากที่มันย่อง คุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วนำจดหมายในอกเสื้อส่งให้เขา
“นายท่าน มีข่าวจากทางใต้ขอรับ เหมือนจะไม่ค่อยดีนัก”
เฝิงเจี่ยนเลิกคิ้วหยิบจดหมายมาเปิดออก สีหน้าดำคล้ำขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ตบโต๊ะดังลั่น
ผู้เฒ่าหยางและเกาเหรินต่างสบตากันทีหนึ่ง จากนั้นก็ยืนขึ้นสวมรองเท้า ยืมกุมมืออย่างเรียบร้อย
“นายน้อย มีอะไรหรือขอรับ”
ผู้เฒ่าหยางเอ่ยถาม เฝิงเจี่ยนส่งกระดาษแผ่นนั้นให้เขา แล้วจึงสั่งเสวียนอีเสียงขรึม “สืบต่อไป ก่อนหน้านี้หลูซื่อเจี๋ยมีอะไรผิดปกติหรือไม่ ไปมาหาสู่กับใครอย่างใกล้ชิดบ้าง รีบตรวจสอบแล้วมารายงาน”
“ขอรับ นายท่าน”
ไม่บ่อยนักที่เสวียนอีจะได้เห็นนายท่านโมโห จึงพยายามมีสติให้มากที่สุด ได้ยินคำสั่งก็ตอบรับแล้วะโออกไปทางหน้าต่างทันที
ผู้เฒ่าหยางขมวดคิ้วมุ่นอยู่นาน สุดท้ายก็เอ่ยให้คำแนะนำว่า “นายน้อย เราควรกลับเมืองหลวงได้แล้วหรือไม่ขอรับ...”
เฝิงเจี่ยนมองออกไปนอกหน้าต่าง บรรยากาศหอมหวานเหมือนจะยังวนเวียนอยู่ในอากาศ
ข้าวถูกเก็บเกี่ยวแล้ว ปริมาณผลผลิตของไข่ดินก็ทำให้เขาตกตะลึง คันไถก็มีแบบแล้ว กรรมวิธีการเพาะปลูกพืชผักก็บันทึกไว้แล้ว อีกทั้งท้องทุ่งหญ้าที่เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ขุนนางตำหนักบูรพาฆ่าตัวตายหนีความผิด ทุกอย่างรวมกันแล้วล้วนเป็เหตุผลชั้นดีให้เขารีบกลับเมืองหลวง
แต่ขาของเขากลับไม่เชื่อฟัง ในใจหนักอึ้ง ยากจะหักใจ...
นึกถึงสายตารอคอยและดีอกดีใจของเสี่ยวหมี่หลังจากทเขากลับมาจากท้องทุ่งหญ้าวันนั้น จะอย่างไรเขาก็ไม่อาจพยักหน้าได้
“ช่างเถอะ รออีกหน่อยแล้วกัน”
“ดีจริง” เกาเหรินที่จ้องปากของเ้านายมาั้แ่เมื่อครู่แล้วร้องออกมา “เมืองหลวงมีอะไรดี เมืองแคบๆ สี่เหลี่ยมน่าอึดอัดจะตาย จะดีเท่าอยู่กับเสี่ยวหมี่ได้อย่างไร”
ผู้เฒ่าหยางอดตีหลังเขาไปทีหนึ่งไม่ได้ “หุบปาก รีบเก็บถ้วยชามให้เรียบร้อย ระวังพรุ่งนี้เช้าจะถูกดุ”
เสือจะอย่างไรก็ยังเป็เสือ ถึงแม้นิสัยดุร้ายของเกาเหรินจะเปลี่ยนไปมากแล้ว แต่เขาก็ยังไม่อนุญาตให้ใครอื่นนอกจากเ้านายมาข่มขู่ได้ แต่เมื่อฟังประโยคนี้แล้วเขากลับไม่ตอบโต้อะไร เพียงส่งเสียงหึแล้วเดินเอาชามออกไปเก็บทันที
เขาไม่ได้กลัวเสี่ยวหมี่หรอกนะ เขากลัวนางจะไม่ทำอาหารให้เขากินต่างหาก
“นายน้อย เกรงว่านายท่านเองก็คงจะรอให้ท่านกลับไปอยู่นะขอรับ ถ้าอย่างไรเรา...”
ผู้เฒ่าหยางลองหยั่งเชิงเพิ่มอีกประโยค กลับได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้น ที่แท้เป็เป็เฉิงจื่อเหิงและหลิวปู๋ชี่ที่สร่างเมาแล้วตื่นขึ้นมาลากเ้าสามลู่ออกมานั่งชมจันทร์แต่งกลอนอยู่ข้างนอก
สายตาของเฝิงเจี่ยนแปรเปลี่ยนเล็กน้อย กล่าวเรียบๆ ว่า “สามคนนี้ดูแล้วไม่เลว อยู่ต่ออีกสักสองวัน ถือเสียว่าช่วยสรรหาคนดีมีฝีมือให้แคว้นเรา”
พูดจบก็กระแอมเบาๆ ผลักประตูออกไป
“พี่ใหญ่เฝิง ท่านเองก็ยังไม่หลับหรือ มานั่งด้วยกันสิ” ลู่เชียนกวักมือเรียกเฝิงเจี่ยน คนทั้งสี่อายุห่างกันไม่มากทั้งยังเป็บัณฑิตเหมือนกัน ถึงแม้แรกเริ่มจะยังไม่สนิทใจกันเท่าไรนัก แต่เมื่อสุราเข้าปาก ต่อกลอนกันไปสองสามบทก็สนิทชิดเชื้อกันอย่างรวดเร็ว
เฉิงจื่อเฟิงและหลิวปู๋ชี่เองก็เรียกเฝิงเจี่ยนว่าพี่ พวกเขาสนทนากันทั้งเื่การเมือง ภูมิศาสตร์และกวี ทั้งยังไม่หยุดชนจอกสุราระหว่างการสนทนา
เสี่ยวหมี่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว จึงเข้าครัวไปเตรียมกับแกล้มของกินเล่นยกมาให้
เฉิงจื่อเหิงและหลิวปู๋ชี่ดีใจมาก แทบอยากจะให้เสี่ยวหมี่มาเป็น้องแท้ๆ ของตนเอง
ด้ายฤทธิ์สุราและผองเพื่อนทำให้เฝิงเจี่ยนคล้ายจะแสดงท่าทีของคนหนุ่มเืร้อนออกมาบ้าง
เสียงร่ายกลอนเคล้าสุราราวลำนำขับกล่อม หากไม่ใช่เพราะจะเป็การล่วงเกินแขกของสกุลลู่บวกกับลูกๆ ของตนเองก็นอนหลับน้ำลายยืดอยู่ พ่อแม่บางคนที่ได้ยินก็อยากจะส่งลูกของตัวเองไปนั่งฟังเพื่อซึมซับกลิ่นอายบัณฑิตกับเขาบ้าง เผื่อวันหน้าจะได้เป็จอหงวนกับเขา
ทว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เมื่อพระจันทร์ลอยคว้างอยู่กลางนภา ในที่สุดเสียงจากสกุลลู่ก็เงียบลง
ผู้เฒ่าหยางที่นอนอยู่ปลายเตียงได้ยินเสียงกรนเบาๆ อย่างสุขใจของเ้านายก็อดทอดถอนใจไม่ได้
ช่างเถอะ อยู่ต่ออีกสักวันสองวันคงไม่เป็ไร
ที่โต๊ะอาหารสกุลลู่ในตอนเช้า มีชายขี้เมานั่งกุมศีรษะอยู่สามคน พี่สามลู่ฝืนความทรมานตักโจ๊กเข้าปาก ส่วนหลิวปู๋ชี่นั้นกลับตีเฉิงจื่อเหิงไปทีหนึ่ง บ่นว่า “เป็ความผิดเ้าที่มอมสุราข้า หากสมองอันล้ำเลิศของข้าเกิดปัญหาขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ”
“ข้าต่างหากที่อยากจะคิดบัญชีกับเ้า เต๋อจิ้งก็บอกแล้วว่าสุรานี้ฤทธิ์แรงมาก เ้ายังดื้อด้านจะดื่มอยู่อีก”
เฉิงจื่อเหิงเองก็ไม่ยอม คนทั้งสองลับฝีปากกันไปมาทำให้คนสกุลลู่อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ภาคเหนืออากาศหนาวเราจึงต้องดื่มสุราฤทธิ์แรง หากดื่มสุราผลไม้อ่อนๆ คงจะไม่สบายเนื้อสบายตัวเท่าใดนัก”
เสียงของบิดาลู่ทำเอาเฉิงจื่อเหิงและหลิวปู๋ชี่มีสีหน้ากระอักกระอ่วน มาเป็แขกบ้านผู้อื่น กลับทำตัวเมามายเสียได้ เสียมารยาทจริงๆ
ดีที่คนทั้งสองหน้าหนามากพอ สนทนากันอีกไม่กี่ประโยคสุดท้ายก็ละลายความกระอักกระอ่วนบนหน้าตัวเองออกไปได้
เฝิงเจี่ยนเองก็ขมวดคิ้วมุ่น ขมับเขาปวดตุบๆ จู่ๆ ตรงหน้าก็มีถ้วยกระเบื้องเคลือบถ้วยหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
น้ำแกงสีเหลืองอ่อน มีสาหร่ายทะเลสีเขียวมรกต ฟักเขียวสีขาวราวหิมะ กุ้งฝอยเล็กๆ ไม่กี่ตัว โรยด้วยผักชีสองสามใบตบท้าย แลดูสดชื่น
เฝิงเจี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเสี่ยวหมี่ที่หน้าแดงน้อยๆ จากนั้นจึงก้มหน้าหยิบช้อนเตรียมกิน
เฉิงจื่อเหิงและหลิวปู๋ชี่สบตากันไปทีหนึ่ง สีหน้าขมขื่น
ใจที่เดิมยังมีความคิดอะไรบางอย่างอยู่นั้นเป็อันต้องล้มเลิก เพราะยังไม่ทันลงมือ ผลไม้งามก็ตกเป็ของผู้อื่นไปแล้ว
วาสนามาถึงช้าเกินไป
เสี่ยวหมี่แน่นอนว่าไม่รู้ถึงความคิดแปลกประหลาดในหัวของพวกเขา สหายของพี่ชาย นางย่อมมองเป็ดังพี่ชายของตนเอง นางตักน้ำแกงให้พวกเขาเต็มถ้วย ทั้งยังดันถาดหมั่นโถวไปให้พวกเขา
“พี่ใหญ่หลิว พี่ใหญ่เฉิง พวกท่านอย่าได้เกรงใจนะเ้าคะ คิดเสียว่าเป็บ้านของตนเอง”
“ได้ วันนี้ข้าจะต้องกินปลาผัดเปรี้ยวหวานนั่นอีก เพื่อชดเชยความเสียดายในชีวิตข้า...”
เฉิงจื่อเหิงไม่เกรงใจจริงๆ เอ่ยปากสั่งอาหารทันที แน่นอนว่าย่อมถูกหลิวปู๋ชี่ค่อนแคะ แต่พูดจบแล้วก็เขาก็เอ่ยออกมาว่า “ข้าเองก็อยากกินไก่ลูกเต๋าผัดเปรี้ยวหวานนั่นอีก”
ทุกคนพากันหัวเราะออกมา เดิมทียังกังวลว่าพวกบัณฑิตจะเข้าถึงยาก คิดไม่ถึงว่าจะมีอารมณ์ขันคุยสนุกกว่าพี่รองลู่มาก
เพราะเฉินซิ่นที่อยู่เมืองหลวงเร่งรัดมาหลายครั้งแล้ว เสี่ยวหมี่จึงไม่กล้าปล่อยเวลาให้นานไป ดังนั้นเมื่อพวกนายช่างหม่ากลับจากพักผ่อนมารับงานก่อสร้างอีกครั้ง เสี่ยวหมี่ก็โยนแบบให้พี่สามลู่เป็คนคุมงาน ส่วนนางก็หนีหายไปทำอย่างอื่น
ถึงแม้นางจะรู้ว่าพวกบัณฑิตเวลาสอบนั้นจะสอบการเขียนเรียงความ อ่านคำสอนของนักปราชญ์ผู้ทรงคุณวุฒิ แต่นางไม่ชอบบัณฑิตซื่อบื้อที่นอกจากอ่านตำราเขียนบทความแล้วอย่างอื่นไม่ได้เื่สักอย่าง บ้านนางมีคนแบบนี้แค่บิดาลู่คนเดียวก็พอแล้ว พี่ใหญ่นางเป็คนซื่อ ส่วนพี่รองก็พึ่งพาไม่ได้ เช่นนั้นพี่สามของนางจะกลายเป็บัณฑิตไร้ประโยชน์ไปอีกคนไม่ได้
ส่วนเ้าสามลู่นั้นก็สงสารน้องหญิงที่ต้องเหน็ดเหนื่อย แน่นอนว่าย่อมไม่ปฏิเสธ จึงพาสหายทั้งสองเดินลงจากยอดเขาไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้