จริงๆ แล้วหากขันทีคนนั้นก้มหน้าลง หยางหนิงก็คงไม่รู้สึกอะไร แต่ว่าสายตาของคนๆ นั้นมันมองมาที่เขา หยางหนิงก็เลยมองกลับไป เห็นขันทีคนนั้นหน้าตาเกลี้ยงเกลา ดวงตาเหมือนมีอะไร สายตาแหลมคม ดูแล้วมันคุ้นเคย เมื่อมองดีๆ แล้ว หยางหนิงก็นึกออกทันทีว่า หน้าตาของขันทีคนนี้ เหมือนกับชายชุดเทาที่เขาเจอที่ร้านเหล้า
วันนั้นหยางหนิงพาเซียวกวงหนีออกจากร้านเหล้า ชายชุดเทาถูกนินจาฮิดะล้อมเอาไว้ หยางหนิงเคยคิดว่า ไม่รู้ว่าชายชุดเทาจะเป็ตายร้ายดีอย่างไรบ้าง แต่น่าจะเป็โชคร้ายมากกว่า
พอมาอยู่ในจวนองครักษ์เสื้อแพร ก็ลืมเื่ของชายชุดเทาไปแล้ว คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนๆ นี้จะมายืนอยู่ในที่แบบนี้
ถึงแม้เมื่อเทียบกับชายชุดเทา เขาจะไม่มีหนวดเคราแล้ว เสื้อผ้าก็ต่างออกไป แต่หยางหนิงก็แน่ใจว่าเขาคือชายชุดเทาคนนั้น
หากแค่หน้าตาคล้ายกัน หยางหนิงก็คงไม่มั่นใจขนาดนี้ เพราะเขาหน้าตาเหมือนกับซื่อจื่อมันก็เกิดขึ้นมาแล้ว
แต่ว่าสายตาของอีกฝ่าย ทำให้หยางหนิงแน่ใจอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
สายตาของชายชุดเทามันมีเอกลักษณ์ มีความคมคายในแววตาของเขา แล้วสายตาขันทีคนนี้กับชายชุดเทานั้นเหมือนกัน
ถึงแม้ในใจของเขาจะใมาก แต่สีหน้าท่าทางยังคงไม่เปลี่ยน
ใน่เวลาที่อันตรายที่สุดเขาก็เยือกเย็นพอ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่หยางหนิงได้รับมาจากการฝึกฝนเป็เวลานานคือ ในสถานการณ์พิเศษหรือฉุกเฉินเขาสามารถทำสีหน้าท่าทางไร้อารมณ์ได้เป็เวลานาน
ถึงใบหน้าจะนิ่ง แต่ในใจของเขามันเหมือนคลื่นพายุโหมกระหน่ำ
เขาไม่รู้จริงๆ ว่า ทำไมคนๆ นี้ถึงได้แต่งชุดขันทีมาอยู่ที่นี่ พบกันที่ร้านเหล้าครั้งก่อน คนๆ นี้สวมชุดแขนยาว หนวดเครายาว เหมือนคนมีความรู้ แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนไป กลายเป็ขันทีไร้หนวดเครา เมื่อฐานะเปลี่ยนไป หยางหนิงก็ไม่รู้ว่าต้องรับมืออย่างไร
ตอนนี้เขาไม่สามารถยืนยันได้ว่า คนๆ นี้เป็ขันทีปลอมหรือเปล่า หรือว่าเขาเป็ขันทีอยู่แล้ว?
“ซื่อจื่อ ซื่อจื่อ?” ได้ยินพ่อบ้านชิวเรียก หยางหนิงถึงได้สติกลับมา “อ่า” ก็ได้ยินฟ่านกงกงพูดว่า “ข้าน้อยไม่รบกวนแล้ว ต้องรีบกลับไปรายงานให้ฝ่าาทราบ!” แล้วโค้งให้หยางหนิงเล็กน้อย หันหลังแล้วก็กลับไป หยางหนิงยกมือขึ้นคำนับ หลังจากนั้นก็มองไปที่ชายชุดเทาที่แต่งกายเป็ขันที เห็นเขาเดินตามหลังฟ่านกงกงไป ไม่หันกลับมาอีก
หยางหนิงถอนหายใจยาวๆ
เมื่อกี้เขากังวลว่าคนๆ นั้นจะเปิดเผยตัวจริงของเขา หากเป็อย่างนั้นจริง ผลที่ตามมาแทบไม่อยากจะคิดเลย
อีกฝ่ายมองมาที่เขาหลายครั้ง เหมือน้ายืนยันฐานะของเขา หยางหนิงไม่รู้ว่าชายชุดเทาจะจำเขาได้ไหม
จำได้ว่าวันนั้นฝนตกหนักมาก ในร้านเหล้าเองก็มืดๆ ถึงแม้เขาจะจำอีกฝ่ายได้ แต่ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะจำเขาได้ไหม
วันนี้ที่อีกฝ่ายพยายามหยั่งเชิง อาจจะเป็เพราะว่าอีกฝ่ายรู้สึกคุ้นหน้า ตอนนี้เขาเป็ถึงองครักษ์เสื้อแพรซื่อจื่อ อีกอย่าง หากอีกฝ่ายไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด เกรงว่าอาจจะไม่เปิดเผยความจริงง่ายๆ
ตอนนี้หยางหนิงรู้สึกว่าหลังเย็บวาบ ในใจคิดว่า ฐานะซื่อจื่อในตอนนี้ก็อันตรายแล้วเหมือนกัน คนๆ นั้นเหมือนจะเป็คนในวังหลวง ถึงแม้เขาอาจจะไม่รู้ว่าเขาสวมรอยเป็ซื่อจื่อ แต่ในเมื่อมีความสงสัย งั้นตัวเขาก็อันตรายมากแล้ว
ฉีหุ้ยจิ่งตายไปแล้ว องครักษ์เสื้อแพรเองก็เหมือนจะตกต่ำลง ภายในมีเื่วุ่นวายมากมาย ตอนนี้ยังมาเจอเ้าเฒ่านี่อีก ในใจหยางหนิงเริ่มนึกถึงเื่การหนีแล้ว
“ซื่อจื่อ เราต้องออกเดินทางแล้ว” พ่อบ้านชิวขัดขึ้นมาตอนที่หยางหนิงกำลังใช้ความคิด “ไปจงหลิงต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ เราจะต้องไปถึงที่นั่นก่อนฟ้ามืด ระหว่างทางจะช้าไม่ได้ ไม่งั้นเวลาจะคาดเคลื่อน”
หยางหนิงรู้ดีว่ากฎการแต่งงาน งานศพของชนชั้นสูงนั้นมีมาก ก็เลยพยักหน้า ขบวนศพออกจากเมืองไป แต่ประกาศกฎอัยการศึกติดตัวชาวบ้านทำให้ออกนอกเมืองไม่ได้ เสวียหลิงเฟิงนำทหารส่วนหนึ่งมาส่งประมาณหนึ่งลี้ หลังจากเห็นขบวนศพเดินจากไปแล้ว เขาก็กลับเข้าประตูเมืองไป
ตลอดเส้นทางมีทั้งการตีฆ้องร้องป่าว โปรยกระดาษเงินกระดาษทองไม่ขาด เมื่อใกล้เวลาฟ้ามืด ก็มาถึงปลายเขาจงซาน
จงหลิงอยู่ห่างจากเขาจงซานไม่ถึงสิบลี้ อยู่ปลายเขาจงซาน ราชสำนักตั้งใจสั่งให้คนสร้างเรือนรับรองเอาไว้ เพื่อให้ขบวนศพพักหนึ่งคืนก่อนทำพิธีฝังศพ เหตุผลก็คือหนึ่งเพื่อระลึกพระมหากรุณาธิคุณ สองคือเพื่อให้ขบวนเคลื่อนศพได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
โลงศพวางที่ห้องโถงหลักด้านหน้า ที่นี่มีเ้าหน้าที่จากกรมพิธีการจัดการทุกอย่างให้ นอกจากคนจำนวนหนึ่งแล้ว คนอื่นๆ จะไม่สามารถเข้ามาในเรือนรับรองได้
ท่านใหญ่สามกับหยางหนิงเป็คนในตระกูลฉี แถมยังเป็สายเืตรงของฉีหุ้ยจิ่ง เข้าไปได้แน่นอนอยู่แล้ว พ่อบ้านชิวเป็หัวหน้าพ่อบ้านของจวนองครักษ์เสื้อแพร ก็มีสิทธิเข้าไปได้ คนที่เหลืออย่างฉีอวี้กับผู้ติดตามคนอื่นๆ เนื่องจากเป็ลูกอนุไม่มีสิทธิพูดอะไร ทำได้แค่เดินตามขบวน ทำอะไรไม่ได้
แต่ว่าเมื่อมาถึงจงหลิง ถึงแม้เขาจะเป็ลูกอนุ แต่เขาก็มีสายเืของฉีหุ้ยจิ่ง ก็เลยสามารถเข้าไปในเรือนรับรองได้
สำหรับเรือนรับรองจงหลิง จวนองครักษ์เสื้อแพรเองรู้อยู่แล้วว่ามีไว้ทำไม แล้วก็รู้ว่าไม่ใช่ใครก็จะสามารถเข้าไปด้านในได้ ดังนั้นก็มีการเตรียมตัวไว้พอสมควร คนที่ติดตามขบวนส่งศพมาต่างพากันกางเต้นท์ที่ด้านนอก ของที่นำฝังด้วยมีมาก ก็ส่งคนไปเฝ้า
ต้วนชางไห่กับฉีเฟิงเป็องครักษ์ของจวนองครักษ์เสื้อแพรก็รับหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัย
เดินทางมาทั้งวัน หยางหนิงรู้สึกเพลียมาก เขาเป็องครักษ์เสื้อแพรซื่อจื่อ จึงได้ห้องเดี่ยวฝั่งตะวันออก ถึงแม้จะเข้ามาในเรือนรับรองแล้ว หยางหนิงก็ไม่ได้วางใจเลย
ั้แ่เดินเข้ามาในเรือนรับรอง หยางหนิงก็รู้สึกแปลกๆ เขารู้สึกว่าเหมือนมีคนจับตามองเขาตลอดเวลา
มันเป็ความรู้สึกที่แปลกมาก
จริงๆ แล้วร่างกายของหยางหนิงเป็คนที่ค่อนข้างมีลางสังหารณ์มาก การมีลางสังหารณ์ของเขามันไม่ได้ถึงขั้นหวาดระแวง ทุกครั้งที่จะมีอันตราย หยางหนิงจะมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ความรู้สึกแบบนี้มีั้แ่ก่อนข้ามกาลเวลามาแล้ว แต่มันไม่ชัดเท่าไร แต่พอหลังจากข้ามกาลเวลามาแล้ว มันเหมือนไปกระตุ้นััที่หกของเขา เพราะมันรุนแรงขึ้นมาก
แต่เมื่อตรวจสอบรอบๆ ดูอย่างละเอียดแล้ว ก็ไม่เห็นว่ามีคนอยู่
ฟ้ามืดนานแล้ว วางโลงศพไว้ในเรือนรับรอง มันก็วังเวงอยู่แล้ว หยางหนิงคิดว่าอาจจะเป็เพราะวันนี้เจอขันทีชุดเทาคนนั้น ทำให้เขาไม่ค่อยสบายใจ ก็เลยรู้สึกแปลกๆ ก็ได้
เมื่อนึกถึงขันทีแปลกๆ คนนั้น หยางหนิงก็ขมวดคิ้ว
ขันทีแปลกๆ นั้นแค่หยั่งเชิงเขา ไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่ก็เพราะอย่างนั้น มันทำให้หยางหนิงคาดเดาอะไรไม่ได้เลย
ตอนนี้ในจวนองครักษ์เสื้อแพรเห็นเขาเป็ซื่อจื่อ ต้วนชางไห่กับคนอื่นๆ ก็ฟังคำสั่งโดยไม่มีอิดออด แต่หยางหนิงรู้ดีว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ความจริงถูกเปิดเผย คนในองครักษ์เสื้อแพรทั้งหมดจะมาแก้แค้นกับเขา พวกเขาก็จะต้องตามหาซื่อจื่อตัวจริงจนถึงที่สุด หากไม่มีพยาน ตัวเขาก็จะกลายเป็ผู้ต้องสงสัยคนแรก
ถึงแม้การตายของฉีหุ้ยจิ่ง จะทำให้องครักษ์เสื้อแพรเหมือนจะตกต่ำลง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม องครักษ์เสื้อแพรก็ยังเป็หนึ่งในตระกูลบรรดาศักดิ์ใหญ่ เมื่อเป็ศัตรูกับกลุ่มอิทธิพลแบบนี้ มันก็ไม่มีทางชดใช้กันง่ายๆ คงโดนไล่ล่าจนสุดล่าฟ้าเขียวแน่ๆ
หากแค่ตายไป หยาหนิงก็ไม่กลัวหรอก แต่ในใจของเขาเป็ห่วงเสี่ยวเตี๋ย หากยังไม่รู้ว่านางอยู่ไหน เขาก็ยังไปไหนไม่ได้
ถึงแม้ตอนนี้สำนักคุ้มกันของซวี่รื่อจะน่าสงสัยที่สุดในตอนนี้ หยางหนิงก็สงสัยว่าเสี่ยวเตี๋ยน่าจะถูกช่วยไปแล้ว แต่ว่าทั้งหมดนี้ก็เป็เพียงความคาดเดาของเขาเท่านั้น ความจริงเป็อย่างไร ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเสี่ยวเตี๋ยปลอดภัย หยางหนิงก็ยังไม่อาจวางเสี่ยวเตี๋ยได้
ในคืนมืดที่เงียบสงัด กำลังคิดทบทวนเื่ราวต่างๆ อยู่ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอกว่า “ซื่อจื่อ ของว่างกับน้ำชาเตรียมไว้พร้อมแล้ว ข้าน้อยมาส่งให้!”
“เข้ามาได้!”
ในห้องไม่ได้ลงกลอนไว้ ข้ารับใช้สวมชุดเขียวคนหนึ่งเดินเข้ามา ยกถาดอาหารมา บนถาดอาหารมีของว่างสองจาน น้ำชาหนึ่งกา แล้วก็ถ้วยชาหนึ่งใบ
เรือนรับรองมีข้ารับใช้ของเรือนอยู่ ตอนที่หยางหนิงเข้ามาในเรือน เขาเห็นคนที่แต่งกายแบบนี้ในเรือนกว่าสิบคน
หยางหนิงเห็นของว่าง ก็รู้สึกหิวขึ้นมา ก็เลยเดินมาที่โต๊ะ ข้ารับใช้ชุดเขียวคนนั้นวางถาดอาหารลง โค้งคำนับแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ หาก้าอะไร สั่งมาได้เลย ภายในเรือนของเรามีของกินของใช้เตรียมไว้พร้อม”
หยางหนิงยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “ขอบใจนะ!”
ข้ารับใช้ชุดเขียวหยิบกาน้ำชาขึ้นมา รินชาแล้วยกมาวางที่หน้าของหยางหนิง แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อเชิญดื่ม ข้าน้อยขอตัวก่อน!” เขาพูดไม่มาก แล้วก็ถอยออกจากห้องไป
หยางหนิงยกชาขึ้นมา กำลังจะดื่ม จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “ช้าก่อน!”
ข้ารับใช้ชุดเขียวเดินไปที่ถึงประตูแล้ว ก็หยุดเดิน หันหลังกลับมาถามว่า “ซื่อจื่อมีอะไรจะสั่งหรือ?”
“เ้าอยู่ที่นี่มากี่ปีแล้ว?” หยางหนิงถามว่า “ที่เรือนรับรองนี่มีใครดูแลอยู่?”
ข้ารับใช้ชุดเขียวอธิบายว่า “เรือนรับรองจงหลิงอยู่ในการดูแลของกรมพิธีการ ข้าน้อยเป็คนของกรมพิธีการ อยู่ที่นี่มาห้าหกปีแล้ว กรมคลังจะมีการส่งเบี้ยมาที่เรือนรับรองทุกปี”
“หลายปีมานี่ เ้าอยู่ยกน้ำชาของว่างที่นี่งั้นหรือ” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่คิดอยากจะเปลี่ยนงานบ้างหรือ?” กวักมือแล้วพูดว่า “เ้ามานี่ คืนนี้อีกยาวไกล ข้าเบื่อมาก มาคุยเป็เพื่อนข้าหน่อย หากว่าถูกใจข้า ข้าจะหาทางช่วยเ้าหางานที่ดีกว่านี้ให้”
ข้ารับใช้ชุดเขียวพูดอย่างดีใจว่า “ขอบคุณท่านซื่อจื่อ ขอบคุณท่านซื่อจื่อ!” เขาเดินขึ้นหน้ามา แล้วพูดว่า “ข้าน้อยมาที่นี่ก็เพื่อยกน้ำชาและของว่าง หากซื่อจื่อยินดีรับข้าน้อยไว้ ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ ข้าน้อยก็ยอม”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “บุกน้ำลุยไฟหรือ? เ้าฝึกวรยุทธ์หรือไง?”
“วรยุทธ์?” ข้ารับใช้ชุดเขียวส่ายหัวแล้วพูดว่า “ข้าน้อยเป็พนักงานของกรมพิธีการ เป็สายบุ๋น ไม่รู้วรยุทธ์ แต่ว่าเรียนหนังสือมาบ้าง พอรู้อักษรบ้าง”
หยางหนิงวางถ้วยน้ำชาลง ยื่นมือไปจับมือข้างหนึ่งของข้ารับใช้ชุดเขียว ยิ้มแล้วพูดว่า “เ้าเป็เ้าหน้าที่ฝ่ายบุ๋น แต่ทำไมที่นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ถึงได้มีตุ่มด้านเล่า?” สีหน้าเย็นะเื “มันไม่ใช่มือของคนที่ยกน้ำชาหรอกนะ”