น้ำเสียงของเขาที่เอ่ยเรียกออกมาว่าเยี่ยวั่งจือนี้ทำให้ผมใจเต้นแรงในชั่วพริบตาไม่ใช่เพราะอะไร ผมก็แค่รู้สึกใเท่านั้นเอง ส่วนเยี่ยวั่งจือนั้นเป็ใครทำไมผมจะไม่รู้เพียงแค่ก่อนหน้านี้มักจะเรียกเขาว่าปรมาจารย์ลึกลับจนเคยชินแล้ว พอมาได้ยินชื่อจริงในเวลานี้ก็เกิดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทั้งยังรู้สึกผิดเล็กน้อยอีกด้วย
แท้จริงแล้วเยี่ยวั่งจือก็คือปรมาจารย์ลึกลับของซ่งฉียวนนั่นเองแต่น้อยคนนักที่จะรู้จักชื่อนี้ เพราะว่าคนผู้นี้เป็คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา กล่าวคือเป็ “คนดี” ที่ปรากฏตัวขึ้นเมื่อชีวิตของซ่งฉียวนตกต่ำและคอยช่วยเหลืออยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบๆโดยไม่คาดหวังสิ่งใดตอบแทน
คนผู้นี้มีนิสัยเ็ามาแต่กำเนิด ไม่ได้ทำดีแต่ก็ไม่ทำเื่ชั่วร้ายอะไรตอนแรกที่ช่วยซ่งฉียวนไว้ก็เพราะว่ามีคนมาฝากฝังจนยากที่จะปฏิเสธ เมื่อแรกเริ่มตอนที่เพิ่งรับซ่งฉียวนมาเขารู้สึกได้ว่าเด็กคนนี้น่าจะเป็ปัญหาไม่น้อยเลยทีเดียวเพียงแต่ว่าใจคนก็เป็แค่ก้อนเนื้อที่มีความรู้สึก เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าความผูกพันระหว่างเขากับซ่งฉียวนก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น จนท้ายที่สุดหลังจากที่ส่งซ่งฉียวนไปยังสำนักฉิงชางแล้วกลับกลายเป็ตัวเขาเองนั้นต้องอยู่อย่างรู้สึกเงียบเหงาอยู่เป็เวลานาน
กล่าวโดยสรุปแล้วเยี่ยวั่งจือผู้นี้ไม่มีประวัติที่ปรากฏแน่ชัดตำแหน่งก็ไม่ทราบ ความรู้สึกก็ไม่อาจเข้าใจได้และยังเป็อีกหนึ่งตัวละครที่มีช่องโหว่ในนิยายเื่นี้ สิ่งที่ผมเขียนบรรยายก็เป็เพียงแค่เื่ราวต่างๆที่ทำให้เขาเข้ากับซ่งฉียวนได้หลังจากนั้นฉากที่คนผู้นี้ปรากฏตัวก็น้อยลงจนแทบจะไม่มีแล้ว
เช่นนั้นตอนนี้ก็เกิดปัญหาตามมา เพราะก่อนที่เยี่ยวั่งจือผู้นี้จะรับซ่งฉียวนมานั้นเขาเป็นักบวชผู้มีอิสระในโลกแห่งผู้ฝึกตนและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งของสภาพสังคมดังนั้นจึงมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จักชื่อจริงของเขา ในเมื่อไม่มีใครรู้ คนผู้นี้ก็ยิ่งี้เีเอ่ยถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังสูงส่ง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้มีนิสัยเปิดเผยเช่นอวี๋เคอ ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าคนที่รู้จักเขาก็รู้เพียงแค่ว่าเขาแซ่เยี่ย ส่วนข้างหลังแซ่นั้นจะมีชื่อต่อเป็คำเดียวหรือสองคำนั้นก็ไม่มีใครรู้แล้ว
ซ่งฉียวนอยู่กับคนผู้นี้เป็เวลานานทั้งยังแบกรับความโกรธแค้นเอาไว้เป็อย่างมาก รับรู้เพียงว่าคนผู้นี้เป็คนเดียวที่ปฏิบัติต่อเขาเป็อย่างดีหลังจากที่ตระกูลของตัวเองถูกฆ่าล้างตระกูลจึงอดไม่ได้ที่จะพึ่งพาและรู้สึกไว้วางใจในตัวเขา แม้ว่าใน่สุดท้ายเยี่ยวั่งจือจะรอพบเขาอยู่ทว่าท่าทางที่ดูเ็าแต่มีจิตใจดีของเขากลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย
ยกตัวอย่างเช่นเยี่ยวั่งจือ้าถามซ่งฉียวนว่าร่างกายของเขาดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่? เขาก็ทำได้แค่เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าเ็า“ร่างกายเ้าเป็อย่างไรบ้าง? ” (ภายในใจ : สีหน้าย่ำแย่เช่นนี้ เขากินยาไม่ตรงเวลาหรือ? ข้าควรจะไปหาผลคืนิญญาเพิ่มให้เขาอีกสักหน่อยดีหรือไม่? )
ซ่งฉียวนตอบกลับ “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่เป็ห่วงร่างกายข้าดีขึ้นมากแล้วขอรับ” (ภายในใจ : ท่านอาจารย์ยังคงเคร่งขรึมเป็อย่างมากทว่าเอ่ยถามมาเช่นนี้คงจะต้องเป็ห่วงข้าอย่างแน่นอน! )
ซ่งฉียวนเคยถามเยี่ยวั่งจือเื่ชื่อของเขาอยู่หลายครั้งทว่าเยี่ยวั่งจือกลับพูดถึงน้อยมาก สาเหตุเป็เพราะอะไรนั้นผมก็ไม่ทราบเหมือนกันการกำหนดเช่นนี้ก็เพื่อเพิ่มความลึกลับให้กับตัวละครเพียงเท่านั้น อย่างไรเสียหากต้องเขียนบรรยายถึงประสบการณ์ชีวิตของทุกๆตัวละคร คงจะต้องเปลืองเซลล์สมองมากจนเกินไป
เมื่อเป็เช่นนี้ทั้งสองคนล้วนมีคำพูดที่อยู่ภายในใจทว่ากลับไม่มีผู้ใดพูดออกมา จนกระทั่งเมื่อซ่งฉียวนผ่านการสอบเข้าสำนักฉิงชางและจะต้องแยกจากเยี่ยวั่งจือแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะถามชื่อจริงของปรมาจารย์ท่านนี้เวลานั้นเยี่ยวั่งจือตกตะลึงไปชั่วขณะ ภายในใจคิดว่าบอกเขาเอาไว้เผื่อคิดถึงจึงพูดออกมาแล้ว ทั้งสองคนอยู่ร่วมกันมาประมาณหนึ่งปีนี่เป็ครั้งแรกและเป็ครั้งสุดท้ายที่ซ่งฉียวนไม่ได้เรียกว่าท่านอาจารย์แต่กลับเรียกออกมาสามคำเบาๆ ว่าเยี่ยวั่งจือ
หากเป็เช่นนั้น แล้วซ่งฉียวนในตอนนี้รู้จักชื่อเยี่ยวั่งจือได้อย่างไร??? เขามีเหตุผลอันใดและรู้จักเยี่ยวั่งจือผ่านช่องทางไหนกัน? หรือว่าเขาเกิดใหม่แล้ว?!
มารดามันเถอะ! อย่าเชียวนะ!ผมรีบไล่ความคิดที่น่ากลัวนี้ออกไป สมองที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไรก็เริ่มทำงานหนักคิดไปจนถึงเมื่อไม่กี่วันก่อนที่ได้พบกับซ่งฉียวนไม่ว่าจะกิริยาท่าทางหรือการกระทำของเขาก็ล้วนไม่เหมือนกับซ่งฉียวนที่เ้าแผนการในชาติที่แล้วเช่นนั้นก็คงจะไม่ใช่เกิดใหม่...
ผมเดาว่าโลกใบนี้จะต้องมีบางอย่างที่แตกต่างจากสิ่งที่ผมบรรยายเอาไว้อย่างแน่นอนสิ่งที่ผมให้ไว้ก็คือโครงเื่ส่วนสิ่งที่เติมเข้าไปภายในเป็อะไรนั้นก็จะถูกควบคุมด้วยตัวของมันเองไม่แน่ว่าอาจจะเป็พ่อของซ่งฉียวนที่ตายไปแล้วเป็คนบอกก็ได้?
“แค่ก...”
ขณะที่กำลังใช้ความคิดก็ได้ยินเสียงไอของเด็กน้อยน้ำเสียงนั้นฟังดูอ่อนแรงมาก ผมก้มศีรษะลงมอง เ้าเด็กนี่หลับตาแน่น ใบหน้าแดงก่ำคิ้วขมวดแน่น ท่าทางดูเ็ปเป็อย่างยิ่ง มือของผมยังคงวางอยู่บนหน้าผากของเขา ผมรู้สึกว่าอุณหภูมิร่างกายของเขาไม่ใช่อุณหภูมิร่างกายเหมือนคนปกติทั่วไปที่ถูกพลังปราณทำให้เกิดความอบอุ่นแล้วตรงบริเวณมือผมนั้นร้อนเป็พิเศษ
“เด็กน้อย? นี่ เ้าเด็กน้อย? ” ผมผลักเขาเบาๆสองสามครั้ง แล้วลองเรียกอีกสองสามที ทว่ากลับไม่เห็นเขาลืมตา มีเพียงริมฝีปากเท่านั้นที่เปิดอ้าออกเล็กน้อยแล้วหายใจออกมาเป็ลมร้อนทั้งหมดและยังคงไออีกสองสามครั้ง ส่วนคำว่าเยี่ยวั่งจือสามคำนี้นั้นกลับไม่ได้ะโออกมาอีก
“นายท่าน ท่านจะไม่ช่วยเขาหรือขอรับ? ” เห็นได้ชัดว่าอาจิ่วก็รู้ดีว่าหากเขาพูดขึ้นตอนนี้คนที่สลบไสลอยู่นั้นก็คงจะไม่ได้ยิน จึงบินลงมาจากไหล่ของผมและหยุดอยู่ตรงข้างกายซ่งฉียวน ยื่นปีกออกไปเพื่อใช้ััวัดอุณหภูมิร่างกายของคนที่อยู่ข้างๆจากนั้นก็มองมาทางผมด้วยสายตางุนงง
ผมรู้ว่าเขากำลังสงสัยอะไรอยู่ เพราะก่อนหน้านี้ท่าทางของผมนั้นดูกังวลเื่ซ่งฉียวนมากในเมื่อเวลานี้หาตัวเขาพบจริงๆ แล้วกลับไม่ยอมช่วย มัวแต่นั่งใจลอยเช่นนี้มันเื่อะไรกัน? แต่ว่าตอนนี้เยี่ยวั่งจือยังไม่มาหากผมพาเขาไปแล้วทำให้โครงเื่มั่วไปหมดจะทำอย่างไร?
“คิดไม่ถึงเลยว่าโชคชะตาของเ้าเด็กนี่จะแข็งแกร่งมากเช่นนี้ตกลงไปในแม่น้ำแห่ง์แล้วก็ยังรอดชีวิตมาได้” อาจิ่วเดินวนรอบซ่งฉียวนอยู่สองรอบเหมือนกับว่ามันมีเื่เช่นนี้อยู่จริงๆ แล้วเอ่ยถามผม “แต่ว่า นายท่านขอรับหากท่านยังไม่ยอมช่วยเขาในตอนนี้ ข้าเดาว่าเ้าเด็กนี่คงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่พ้นคืนนี้หรอกขอรับ ความร้อนสูงเช่นนี้ สามารถย่างของกินได้แล้ว หากยังร้อนต่อไปเรื่อยๆ อย่างนี้ถ้าช่วยกลับมาได้ก็อาจจะกลายเป็เด็กปัญญาอ่อนไปแล้วขอรับ”
อาจิ่วพูดออกมาหลายประโยคเช่นนี้แต่ละประโยคล้วนทิ่มแทงจิตใจของผม ่เวลาแบบนี้สำหรับซ่งฉียวนแล้วเวลาก็เท่ากับชีวิตหากยังมัวแต่ชักช้าอยู่ ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แม้ว่าที่นี่จะเป็เขตชายแดนของแม่น้ำแห่ง์ ทว่าจะต้องมีผู้คนคอยสอดส่องอย่างแน่นอนผมไม่สามารถอยู่ที่นี่แล้วรักษาเขาอย่างเปิดเผยได้เวลานี้ทำได้เพียงแค่พาเขาไปซ่อนที่อื่นก่อน แล้วก็ค่อยๆ จัดการรักษาเขาเดิมทีแล้วทั้งหมดนี่ควรจะเป็สิ่งที่เยี่ยวั่งจือทำ ไม่ใช่เื่ของผม ผมยังคงหวังว่าจะได้ไปซ่อนตัวและออกไปหาความสงบสุขกับอาจิ่วแต่เวลานี้คนผู้นี้กำลังนอนอยู่ข้างเท้า ชีวิตมนุษย์นั้นเป็สิ่งสำคัญด้วยนิสัยของผมที่มักจะใจอ่อนได้ง่ายๆ แล้ว ก็ไม่สามารถทนดูอยู่เฉยๆ โดยไม่ช่วยเหลือได้
“รออีกแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้วก็ค่อยพาเขากลับ” ผมกัดฟัน ตัดสินใจว่าจะรออีกสักหน่อยเพราะประเมินจากสภาพร่างกายของซ่งฉียวนในตอนนี้แล้วหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามกว่าแล้วหากยังไม่มีคนมาช่วย เขาจะต้องจบชีวิตอย่างแน่นอน
อาจิ่วเดินตามผมที่กำลังหาสถานที่เพื่อใช้ซ่อนตัวอยู่ด้วยสีหน้างุนงงซ่อนลมปราณของตัวเองเอาไว้ แล้วรอคอยอย่างเงียบๆ
เมื่อมองซ่งฉียวนจากที่ไกลๆ แล้ว ผมได้แต่ภาวนาอยู่ภายในใจขอให้เยี่ยวั่งจือนั่นรีบมาโดยเร็ว เพื่อรับภาระนี้ไว้แทนผม