หากอาเหยียนอยู่ด้วย เกรงว่านางก็คงจะกล่าวประโยคโง่เขลานี้เช่นกัน
เป่ยเหลียนโม่อยากกล่าวอะไรสักอย่างแต่ก็ต้องหยุดลงและทำเพียงมองนาง เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงชอบทำให้เขาโกรธอยู่เรื่อย?
ปกตินางมักฉลาดอย่างหาตัวจับยากทั้งต่อหน้าผู้อื่น ต่อหน้าอาเหยียน หรือกระทั่งต่อพระพักตร์เสด็จพ่อ ทว่าเหตุใดเมื่อเขาอยากถามอะไรสักอย่างกับนางอย่างจริงใจ คำตอบของนางมักจะเกินไปจากที่เขาจินตนาการไว้เสมอ
“เ้าไม่รังเกียจหากเปิ่นหวังสู่ขอแม่นางซั่งกวนหลิงเข้าจวนอ๋องหรือ?” น้ำเสียงของชายหนุ่มเ็าเล็กน้อย
เหยาเชียนเชียนมองเขาอย่างไร้เดียงสา เหตุใดนางถึงััร่องรอยความโกรธเจือจางในคำพูดเขาได้เล่า เห็นกันอยู่ว่าเมื่อครู่เขาเป็ฝ่ายถาม เขาอยากให้นางตอบว่าไม่ยินยอมหรืออย่างไร?
กล่าวตามเหตุผล อาเหยียนหวังให้ความรักระหว่างนางและเป่ยเหลียนโม่เพิ่มพูนมากขึ้นอย่างใจจดจ่อ ทว่านั่นเป็เพราะอาเหยียนชอบพวกเขาทั้งสองคน ประกอบกับพวกเขามีสถานะเป็สามีภรรยากัน ดังนั้นอาเหยียนจึงหวังให้พวกเขาทั้งคู่อยู่ใกล้ชิดกัน
แต่เหยาเชียนเชียนรู้ว่าเป่ยเหลียนโม่ไม่เคยรักนางเลย สภาพการณ์ในยามนี้คือนางเพิ่งรอดพ้นจากความตายมาได้ และเปลี่ยนใจเป่ยเหลียนโม่จากโทษปะาเป็การเลื่อนโทษปะา เช่นนี้นางจะกล้าคาดหวังสิ่งอื่นได้อย่างไร
นางย่อมไม่อยากทำให้อาเหยียนผิดหวัง แต่เื่ของความรู้สึก โดยเฉพาะความรู้สึกอันซับซ้อนดังเช่นพวกเขานั้นจัดการได้ยากจริงๆ
“พูดสิ” เป่ยเหลียนโม่บีบคางของนางด้วยมือข้างเดียว “หากเปิ่นหวังสู่ขอแม่นางซั่งกวนหลิง หวังเฟยยินดีหรือไม่?”
จากคำถามเอาคะแนนกลายเป็คำถามเอาชีวิต เหยาเชียนเชียนคิดถึงอาเหยียนที่อยู่ข้างนอก นางชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าอย่างหนักแน่น
“ไม่ยินดีเพคะ!”
อย่างนี้นี่เอง เป่ยเหลียนโม่ปล่อยนางอย่างช้าๆ และเปลี่ยนเป็ใช้มือลูบไล้ไปตามแก้มของนางอย่างแ่เบา “ได้ยินคำกล่าวของหวังเฟยเมื่อครู่ เปิ่นหวังคิดว่าหวังเฟยอยากมีพี่สาวน้องสาวเพิ่มอีกสักสองสามคนเสียอีก”
เหยาเชียนเชียนแอบหยิกต้นขาตัวเองครั้งหนึ่ง นางเจ็บเสียจนเกือบส่งเสียงร้องออกมา
ดวงตาคู่นั้นของนางฉายแววเศร้าสลด เหยาเชียนเชียนห่อไหล่เล็กน้อยและกอดตัวเองไว้ มองจากมุมของเป่ยเหลียนโม่ นางดูน่าสงสารอยู่พอสมควร
“ท่านอ๋องถามหม่อมฉันเช่นนี้ ั้แ่ยังเล็ก ท่านแม่สอนหม่อมฉันว่าสตรีควรมีหลักสามเชื่อฟังสี่จรรยา [1] ถือสามีเป็ท้องฟ้า สิ่งใดที่ทำแล้วสามีชื่นชอบและมีความสุข ผู้เป็ภรรยาก็พึงกระทำเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่กล่าวเสียงเย็นว่า “เช่นนั้นดูท่าว่าเ้าจะไม่ได้ฟังคำสอนของมารดาเลย”
เหยาเชียนเชียนสะอึกอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะปรับความคิดและกล่าวต่อว่า “ในฐานะหวังเฟย หม่อมฉันควรมีจิตใจกว้างขวางเพคะ ทว่าขอถามพระองค์ มีสตรีใดในโลกนี้จะไม่อยากเป็ที่โปรดปรานของสามีแต่เพียงผู้เดียวบ้างเล่า”
“เ้าก็อยากเป็ที่โปรดปรานของเปิ่นหวังแต่เพียงผู้เดียวหรือ?” เป่ยเหลียนโม่หัวเราะเบาๆ “ไม่เสมอไปกระมัง”
เหยาเชียนเชียนถูกขัดจังหวะอีกครั้ง หลังจากลอบชูนิ้วกลางในใจอย่างโกรธแค้นก็กล่าวต่ออย่างมั่นคงว่า
“แต่หม่อมฉันเป็หวังเฟย หากอิจฉาที่สตรีนางอื่นเป็ที่โปรดปรานของท่านอ๋อง ไม่ต้องพูดถึงชื่อเสียงของหญิงคนหนึ่งซึ่งถูกกดทับ แต่นั่นยังเป็การยั่วยุให้ท่านอ๋องไม่พอใจ ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดถามคำถามนี้ คำตอบของหม่อมฉันก็คือยินดีเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่ค้อมกายเล็กน้อยและหยุดลงในตำแหน่งที่ห่างจากนางเพียงหนึ่งนิ้ว ระหว่างที่ลมหายใจประสานกัน ดวงตาของเขาคล้ายกับเกิดความสงสัย
“เ้ากลัวว่าจะทำให้เปิ่นหวังไม่พอใจด้วยหรือ นับั้แ่เ้าแต่งเข้าจวนอ๋องมา มีวันใดที่เ้าทำให้เปิ่นหวังมีความสุขด้วยหรือ?”
สิ่งที่กล่าวมาล้วนไร้สาระ เป่ยเหลียนโม่เอนกายไปข้างหน้าพลางดึงตัวอีกฝ่ายเข้าหาตน ดวงตาสีดำสนิทคล้ายกับกำลังเหวี่ยงตาข่ายผืนใหญ่บนใจของนาง สองร่างแนบชิดจนลมไม่อาจลอดผ่าน ไม่ว่านางจะพยายามหลีกหนีอย่างไรก็ถูกดึงไปอยู่ข้างกายเขาเสมอ
“ความปรารถนาของอาเหยียนไม่ชัดเจนหรือ อาเหยียนกล่าวเื่ดีๆ เกี่ยวกับหวังเฟยไม่น้อยต่อเปิ่นหวัง หวังเฟยยังไม่กระจ่างหรือ? เช่นนั้นสิ่งนี้หวังเฟยน่าจะเข้าใจได้แล้วกระมัง?”
อุณหภูมิของร่างกายเป่ยเหลียนโม่สูงกว่าคนทั่วไป เหยาเชียนเชียนตระหนกจนขนอ่อนลุกชัน นึกอยากตีเ้าคนอันธพาลผู้นี้ให้ตายเหลือเกิน ทว่านางไม่กล้ากระทั่งจะขยับนิ้วมือด้วยซ้ำ
“ท่าน...ท่านอ๋อง อาเหยียนยังเด็ก เขายังไม่เข้าใจอีกหลายเื่ ในฐานะผู้ใหญ่ เราไม่อาจเลอะเลือนคล้อยตามลูกได้เพคะ พระองค์คิดว่าควรเป็เช่นนั้นหรือไม่?”
เป่ยเหลียนโม่หัวเราะเบาๆ เขาก้มศีรษะชิดใบหูนางและกระซิบว่า
“เ้าไม่อยากคล้อยตามอาเหยียน หรือว่าไม่อยากคล้อยตามเปิ่นหวังกันแน่ ท่านพี่สามไม่เคยทำเื่เช่นนี้กับหวังเฟยเลยหรือ?”
เหยาเชียนเชียนขนลุกไปทั่วทั้งร่าง ลมหายใจของเขาระผ่านลำคอของนาง มันไม่ได้แ่เบาและอ่อนโยนดังที่ผู้คนว่ากันแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับทำให้นางรู้สึกกดดันที่ถูกผู้มีอำนาจควบคุม
“ท่านพี่สามทำได้ แต่เปิ่นหวังทำไม่ได้หรือ?”
เป่ยเหลียนโม่สีตาเข้มขึ้น เขากัดเข้าที่ลำคอของนาง ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นไปทั่ว ทำให้ดวงตาของคนใต้ร่างเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
เหยาเชียนเชียนตัวสั่นระริก ชิงผิงอ๋องหมายจะฆ่านางอยู่หลายครั้ง ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเขาจะสนใจนางในแง่นี้ เขาพร้อมแล้วแต่นางไม่พร้อม ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายสามก็ไม่เคยทำเช่นนี้กับนาง เขาเป็บ้าอะไรของเขากันแน่?
“ท่านอ๋องเข้าใจผิด...เข้าใจหม่อมฉันผิดแล้วเพคะ องค์ชายสามไม่เคยทำเช่นนี้กับหม่อมฉัน หลายปีมานี้ หม่อมฉันและเขาวางตนตามมรรยาทของกษัตริย์และขุนนางมาโดยตลอด ไม่เคยล้ำเส้นความสัมพันธ์ชายหญิง กระทั่ง...กระทั่งไม่เคยใกล้ชิดในระดับนี้เลยสักครั้ง”
ความจริงแล้วเคยหรือไม่เคยนางเองก็ไม่รู้แน่ชัด นางไม่มีความทรงจำของเ้าของร่างเดิมอยู่เลย ร่างกายนี้เคยทำอะไรกับผู้อื่นมาบ้างเหยาเชียนเชียนก็ไม่รู้เช่นกัน
ยามนี้นางทำได้เพียงภาวนาให้ร่างนี้ยังคงสมบูรณ์แบบ ไม่เช่นนั้นหากถูกจับได้ในอนาคตต้องไม่มีที่ฝังศพเป็แน่
“ที่เ้ากล่าวเป็ความจริงหรือ” เป่ยเหลียนโม่ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรต่อ เขาทำเพียงแค่โน้มตัวเข้าไปหานางและกล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัย “เ้ารู้โทษของการหลอกลวงเปิ่นหวังหรือไม่?”
“มิกล้าเพคะ หม่อมฉันไม่กล้าหลอกลวงท่านอ๋องเพคะ!”
เหยาเชียนเชียนรู้สึกไม่สบายทั้งกายและใจอย่างถึงที่สุด เป่ยเหลียนโม่เป็เพียงคนแปลกที่น่ากลัวสำหรับนาง การทำเช่นนี้โดยที่ไร้ซึ่งพื้นฐานความรู้สึกใดๆ มีแต่จะทำให้รู้สึกยากจะทนได้
“แม้แต่เ้าก็ไม่กล้าหลอกลวงเปิ่นหวัง”
เขายันกายขึ้น ท่าทางหวาดกลัวของสตรีผู้นี้ทำให้ใจเขาเอ่อล้นไปด้วยความรู้สึกหงุดหงิด เขาไม่ได้ทำอะไรแม้แต่น้อย นางจะร้องไห้ไปไย ทั้งยังมองเขาด้วยสายตาหวาดหวั่นเช่นนั้นอีก เกรงว่านางคงจะไม่รู้ตัวเองเสียด้วยซ้ำ
“ดูแลอาเหยียนให้ดี เปิ่นหวังไม่อยากเห็นเื่เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต”
สตรีผู้นี้ร้องไห้จนเขารู้สึกร้อนใจ ยามที่พานางกลับมาถึงห้อง เดิมทีเขาเตรียมจะพูดคุยกับนางดีๆ อยู่แล้ว
อาเหยียนอยากมีน้องสาว เขาเองก็อยากมีลูกของตัวเองสักคนเช่นกัน จะได้เป็เพื่อนเล่นกับอาเหยียนได้ด้วย ทว่าสตรีผู้นี้กลับใจกว้างเหลือเกิน ยอมให้เขาสู่ขอซั่งกวนหลิงอย่างนั้นหรือ?
คำเช่นนี้นางยังกล้ากล่าวออกมาได้!
“ท่านพ่อ...”
อาเหยียนเห็นบิดาของตนเดินตึงตังจากไป ดังนั้นจึงก้าวขาเล็กๆ วิ่งเข้าไปในห้อง เหยาเชียนเชียนนั่งยองๆ อยู่ข้างเตียง ไม่รู้ด้วยเหตุใดเมื่อเป่ยเหลียนโม่ออกไปแล้ว ในขณะเดียวกันกับที่นางถอนหายใจ ในใจกลับรู้สึกวูบโหวงไม่น้อย
“ท่านแม่?”
อาเหยียนวิ่งเข้ามาและปีนขึ้นบนเตียง ก่อนจะนั่งลงข้างๆ นางอย่างเรียบร้อย “อาเหยียนพูดอะไรผิดไปหรือ อาเหยียนทำให้ท่านพ่อไม่พอใจหรือขอรับ?”
เหยาเชียนเชียนลูบศีรษะเล็กของเขา “ท่านพ่อมีธุระต้องไปจัดการ ท่านพ่อยุ่งมาก ดังนั้นจึงคุยกับแม่ไม่กี่ประโยค และกำชับให้แม่พักผ่อนเยอะๆ แล้วก็กลับไปแล้ว”
แต่ว่า... อาเหยียนขยับนิ้วมือเล็กของตน “ดูเหมือนว่าท่านพ่อจะไม่พอใจเล็กน้อย ข้าไม่อยากให้ท่านพ่ออยู่กับผู้อื่น ท่านแม่เป็คนดีมาก ท่านพ่อควรจะโปรดปราน”
เพราะฉะนั้นเ้าถึงยังเป็เด็กอย่างไรเล่า เหยาเชียนเชียนยิ้มพลางโอบเขาเข้ามาในอ้อมแขนและปลอบเขาว่าไม่เป็ไร ท่านพ่อไม่ได้ไม่โปรดแม่ เพียงแต่ยัง้าเวลาสักหน่อยเท่านั้น
พวกเขา...ต่างก็้าเวลาอีกสักหน่อย
นับจากนั้นก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว เหยาเชียนเชียนไม่คิดเช่นกันว่าครั้งนี้ชิงผิงอ๋องจะไม่ได้มาหาตนนานถึงเพียงนี้ แต่เขาไม่มา ปัญหาก็ไม่มี
าแบนมือเกือบหายแล้ว เพียงแต่ยังต้องคอยทาขี้ผึ้งทุกวัน ส่วนาแตรง่เอวก็ค่อยๆ ดีขึ้นเช่นกัน ถ้าคอยระวังก็ไม่มีปัญหา
ทุกอย่างเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ยกเว้นบรรยากาศในจวนอ๋องที่หม่นหมองลง
วันนี้หลังจากที่เหยาเชียนเชียนรับประทานอาหารเย็นเสร็จและกล่อมอาเหยียนเข้านอนเรียบร้อยแล้ว นางก็มาดูดาวในสวน หลังจากนั้นก็เห็นบางอย่างปรากฏขึ้นตรงหน้า ยามที่กำลังจะเพ่งมองอย่างละเอียดก็พลันเห็นแมวดำตัวหนึ่งนั่งตัวตรงอยู่ข้างมือนางพร้อมกับแววตาเหยียดหยาม
“เสี่ยวไกวไกว!” นางร้องเรียกอย่างประหลาดใจ
ครึ่งเดือนที่ผ่านมาไม่เพียงแต่ชิงผิงอ๋อง กระทั่งแมวดำก็ไม่โผล่มาเช่นกัน นั่นทำให้เหยาเชียนเชียนคิดแล้วคิดอีก แต่กลับไม่กล้าไปนั่งเฝ้าที่เรือนข้างๆ ด้วยกลัวว่าจะทำให้ท่านเทพสังหารไม่พอใจอีก
“เสี่ยวไกวไกว เ้าผอมลงหรือ?”
หญิงสาวอุ้มแมวดำขึ้นมาและจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างห้ามใจไม่ไหว จากนั้นก็อุ้มกลับห้องไปอย่างมีความสุข นางหยิบปลาแห้งที่เตรียมไว้นานแล้วออกมาจากในตู้ และครั้งนี้ก็ยังมีตับไก่และตับห่านอีกด้วย ไม่รู้ว่าเสี่ยวไกวไกวชอบแบบใด
แมวดำใช้อุ้งเท้าถูหน้าผากสองครั้ง สตรีผู้นี้ถูน้ำลายเต็มศีรษะของเขาไปหมด
แมวดำเลียอุ้งเท้าอย่างเกียจคร้านและเมินเฉยใส่นาง ยามปกติถ้าไม่เป็เช่นนั้นก็มักจะประจบและกล่าวเกินจริงจนคนไม่มอง มีเพียงแค่เวลาที่อยู่กับแมวตัวนี้เท่านั้นถึงจะเป็เวลาที่นางเป็ตัวเองได้มากที่สุด
“บังเอิญจัง ข้าไม่กล้าไปหาเ้าและไม่รู้ว่าชิงผิงอ๋องเป็อะไรไป คนในจวนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดังเพราะกลัวว่าจะไปจุดถังดินะเิเข้า เฮ้อ ข้าเดาว่าการงานคงไม่ราบรื่นกระมัง อาจจะถูกเสด็จพ่อตำหนิเข้า”
เ้าลองเดาดูสิ?
แมวดำที่กำลังดมกลิ่นตับไก่หยุดชะงัก อย่าว่าแต่เขาโกรธนางนานขนาดนี้เลย สตรีผู้นี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโกรธเื่อะไร...นี่เ้ายังไม่รู้จริงๆ หรือ!
มิน่าเล่า นานเพียงนี้แล้วนางถึงไม่โผล่มาเลยสักครั้ง ที่แท้ก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีความผิด
“นี่ อย่ากัดนะ” เหยาเชียนเชียนขมวดคิ้ว ไม่มีแท่งลับฟันแล้วถึงได้ใช้นิ้วของนางลับฟันแทนหรืออย่างไร “อันนี้ให้เ้า รสใหม่ด้วย ลองดูสิ”
ใช้ของกินเล็กน้อยเหล่านี้เพื่อติดสินบนเปิ่นหวังหรือ ฝันไปเถิด!
แมวดำหันหลังให้และไม่มองนางอีก แม้จะรู้สึกได้ว่ามันโกรธ แต่เหยาเชียนเชียนก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ยามที่วิ่งเข้ามาหานางก็รู้สึกว่ามันอารมณ์ดีอยู่แท้ๆ
“เหตุใดเ้าถึงอารมณ์ไม่ดีไปอีกคนเล่า ระยะนี้ชิงผิงอ๋องก็กำลังโกรธอยู่ จวนอ๋องกำลังจะกลายเป็ลูกโป่งั์อยู่แล้ว”
ลูกอะไรนะ? ว่าร้ายอันใดเปิ่นหวังอีก แมวดำหูตั้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เ้าคิดว่าไฟโกรธของท่านอ๋องจะระงับไว้นานเท่าใด พรุ่งนี้ข้าอยากออกนอกจวน ไม่รู้ว่าเขาจะอนุญาตหรือไม่”
เ้าจะไปที่ใดอีก อยู่ในจวนเรียบร้อยได้ครึ่งเดือน เหตุใดถึงอยากออกไปอยู่เรื่อย
“อิงเอ๋อร์บอกว่าพ่อครัวที่จวนของนางทำเป็ดย่างอร่อย ข้าอยากไปชิมสักหน่อย ถ้าอร่อยก็จะขอกลับมาให้อาเหยียนสักตัว” เหยาเชียนเชียนเท้าคางพึมพำ “แต่ก็กลัวว่าท่านอ๋องจะไม่เห็นด้วย”
แค่เป็ดย่างตัวเดียว พ่อครัวของจวนอ๋องตายหมดแล้วหรือไร ถึงคู่ควรให้เ้าผู้ซึ่งมียศเป็หวังเฟยวิ่งไปขอที่บ้านผู้อื่นอย่างหน้าชื่นตาบาน ชื่อเสียงของเปิ่นหวังถูกเ้านำไปทิ้งไว้ทั่วทั้งเมืองแล้ว
แต่ถึงกระนั้น คืนนั้นเหยาเชียนเชียนก็กอดแมวดำจนหลับไป แมวดำถูหน้าผากที่ถูกย้อมให้เปียกและนอนลงอย่างใจเย็น
กระทั่งเช้าวันถัดมา ในขณะที่เหยาเชียนเชียนคิดจะลองไปขออนุญาตเป่ยเหลียนโม่ นางก็ได้ทราบว่าท่านอ๋องออกจากจวนไปั้แ่เช้าแล้ว
“เช่นนั้นข้าก็สามารถพาเ้าไปด้วยได้น่ะสิ” เหยาเชียนเชียนอุ้มแมวดำขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “เตรียมตัวออกไปเที่ยวนอกจวนกัน!”
เชิงอรรถ
[1] หลักสามเชื่อฟังสี่จรรยา หมายถึง หนึ่งในหลักมาตรฐานทางจริยธรรมของจีนโบราณในยุคศักดินา เป็หลักที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพของสตรีในสมัยนั้น
