ครั้นลองกะดูว่าน่าจะใกล้ถึงเวลาแล้ว เจิ้งหยวนจึงออกจากมิติแล้วเดินจ้ำไปยังบ้านอาสะใภ้สามทันที
และบังเอิญ เธอมาทันตอนที่บ้านอาสะใภ้สามกำลังกินข้าวอย่างพอดิบพอดี
ใบหน้าอาสะใภ้สามดูแทบไม่ได้ ส่วนอาสามยังดีหน่อย อย่างไรเสีย เจิ้งหยวนก็เป็หลานสาวแท้ๆ ของเขา แล้วเขายังเคยเรียนมหาวิทยาลัยมาก่อน เน้นหลักไม่คิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิง คราวก่อนเจิ้งหยวนหักหน้าเขา เขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจแต่อย่างใด ทั้งยังะโเรียกหลานสาวทันทีที่เห็น “ยังไม่กินข้าวใช่ไหม มากินข้าวด้วยกันสิ!”
แม้ว่าในหน่วยงานที่อาสามกับอาสะใภ้สามประจำอยู่จะมีโรงอาหาร แต่บ้านพวกเขาอยู่ใกล้ แถมที่บ้านยังมีคนเฒ่าคนแก่อยู่ ลูกๆ ก็ปิดภาคเรียนฤดูร้อนด้วย บ้านอาสามจึงไม่ไปโรงอาหาร แต่กลับมาทำอาหารกินที่บ้านเอง
อาหารเที่ยงวันนี้ค่อนข้างดี ปลาหนีชิวที่เจิ้งหยวนเอามาเมื่อเช้าถูกนำมาตุ๋นกินกัน ดูแล้วน่าจะตุ๋นแค่หนึ่งจิน เพราะปลาในจานมีไม่เยอะนัก
ทั้งที่เจิ้งหยวนเป็คนนำปลาหนีชิวมาแท้ๆ อาสะใภ้สามกลับยังค่อนขอดเธอ “โอ๊ะ หยวนหยวน พอเป็เวลากินข้าวก็เลยรีบมางั้นเหรอ?”
เจิ้งหยวนยกเก้าอี้ตัวเล็กๆ มานั่งลง แล้วหยิบตะเกียบด้วยรอยยิ้ม “ฉันบอกไว้เมื่อเช้าแล้วว่าเที่ยงจะมาอีกรอบน่ะค่ะ” ความจริงเธอกินจนอิ่มั้แ่อยู่จากในมิติแล้ว แต่เธอจงใจหยิบตะเกียบเพื่อจะได้เห็นสีหน้าโมโหของอาสะใภ้สามเท่านั้น ไหนๆ เธอก็ได้ผ้าสำหรับทำผ้าห่มแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องปะทะคารมกับบ้านอาสามอีก
หนำซ้ำเธอยังจงใจเลือกคีบเฉพาะเนื้อมากิน พลางเอ่ยเรียบเรื่อย “อาสะใภ้สาม คราวนี้ฉันมาขอความช่วยเหลือจากอาน่ะค่ะ”
“ช่วยอะไร?”
อาสะใภ้สามหรี่ั์ตาลง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความประชดประชัน
“คนงานตัวเล็กๆ อย่างฉันจะช่วยอะไรเธอได้?” พูดพลางคีบปลาหนีชิวทั้งตัวใส่ชามเจิ้งเทียนเจี๋ยแล้วคีบอีกตัวใส่ชามเจิ้งไฮ่ผิง
และไม่สนใจอีกว่าเจิ้งหยวนจะกินเท่าไร เพราะอย่างไรเสีย ลูกๆ
เธอก็ได้กินเนื้อปลาแล้ว
เจิ้งหยวนรู้สึกตลกกับท่าทางหวงอาหารของอาสะใภ้สามมาก ความจริงปลาหนีชิวที่แม่เฒ่าตุ๋นรสชาติไม่อร่อยนัก เจิ้งหยวนตั้งใจจะยั่วโทสะอาสะใภ้สามสักยก เลยวางตะเกียบลง แล้วเอ่ยว่า “อาสะใภ้สาม ฉันใกล้จะแต่งงานแล้วใช่ไหมล่ะ แม่เลยให้ฉันมาถามน่ะค่ะว่าอาสามารถหาผ้าที่ไม่ต้องใช้คูปองสำหรับทำผ้าห่มได้หรือเปล่า”
อาสามเจิ้งได้ฟังเื่นี้พลันกระตือรืนร้นอย่างชัดเจน เขาจึงช่วยเจิ้งหยวนพูด “กุ้ยจือ โรงงานพวกเธอมีผ้าพิมพ์พลาดเยอะไม่ใช่เหรอ? ครอบครัวพวกเราใช้กันเองมันก็ดูไม่น่าเกลียด
พอดีเลยให้หยวนหยวนไปเลือกสักสองผืนสิ”
อาสะใภ้สามเจิ้งถลึงตาใส่สามีฉับพลัน เธอนึกแอบโมโหในใจ ให้ตายสิ เขาไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเป็ใบ้หรอกนะ! ในโรงงานมีผ้าพิมพ์พลาดที่ซื้อได้โดยไม่จำเป็ต้องใช้คูปองอยู่จริงๆ
แต่ทำไมเธอต้องช่วยเจิ้งหยวนง่ายๆ ด้วยเล่า? ครั้นสองจิตสองใจสักพัก
เธอจึงจงใจแสร้งทำสีหน้าลำบากใจ “หยวนหยวนเอ๋ย โรงงานมีผ้าพิมพ์พลาดอยู่นะ
แต่ไม่ใช่จะเอาก็เอาได้เลย ต้องมีเส้นสายถึงจะซื้อได้
ถึงฉันจะทำงานที่โรงงานผ้าฝ้ายรัฐ แต่ฉันเป็แค่คนงานธรรมดา
ผ้าชิ้นใหญ่จำพวกเอาทำผืนผ้าห่มชั้นนอกและชั้นในน่ะ หาคนช่วยหยิบมาง่ายๆ
ไม่ได้หรอก”
“อาสะใภ้สามหมายความว่าต้องมอบของกำนัลเหรอคะ?”
อาสะใภ้สามยกยิ้มบาง และรีบพูดอธิบายเหมือนกลัวเจิ้งหยวนรวมทั้งสามีเข้าใจผิดว่าเธอไม่อยากช่วยถึงพูดแบบนั้น “ยังไงทุกคนก็รู้กันว่าโรงงานผ้าฝ้ายเรามีสวัสดิการตรงนี้อยู่ พนักงานตั้งเยอะแยะที่จ้องจะแย่งผ้าพวกนั้นกัน แล้วผ้าพวกนั้นจะมีสักเท่าไรกันเชียว หัวหน้าโรงงานเลยกลัวพนักงานจงใจพิมพ์ผ้าผิดพลาด เพื่อเก็บไว้ใช้เอง จึงควบคุมเข้มงวดมากเชียวละ ผ้าบางผืนถึงจะพิมพ์ผิดไปแล้ว แต่ถ้ามันไม่ได้เสียหายร้ายแรงขนาดคอขาดบาดตายก็จะขายให้สหกรณ์หมดนั่นละ” ว่าแล้วก็หันมาเอ่ยกับอาสามผู้เป็สามี “ดังนั้น คิดจะเอามาก็เอามาไม่ได้ง่ายๆ หรอก ต้องใช้เส้นด้วย”
ข้ออ้างฟังดูสมบูรณ์แบบมาก อันที่จริง สิ่งที่อาสะใภ้สามกล่าวมานั้นก็ไม่ใช่เื่ผิด แต่เจิ้งหยวนดันรู้ทันว่าอาสะใภ้สามเจิ้งกับหัวหน้ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ถ้า้าผ้าจริงๆ ขอแค่จ่ายเงิน คนในโรงงานผ้าฝ้ายก็จะหลับหูหลับตาข้างหนึ่งแสร้งทำเป็ไม่รู้ ในเมื่อขายให้สหกรณ์ หรือขายให้พนักงานก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ
สรุปแล้ว อาสะใภ้สามไม่อยากช่วย หรืออยากให้เจิ้งหยวนควักเนื้อถึงจะช่วยเธอกันแน่
แต่ทว่าเจิ้งหยวนดูออก เธอแย้มยิ้มร่าพลางกล่าว “งั้นอาสะใภ้สามคะ อาว่าให้อะไรถึงเหมาะสมล่ะคะ?”
อาสะใภ้สามเจิ้งตอบทันควัน “บุหรี่ เหล้า น้ำตาล ชาได้หมดเลย” ก่อนจะเว้น่อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงว่าต่อ “หากที่บ้านไม่ได้มีเด็กเพิ่มขึ้นจนลำบากจริงๆ อาคงช่วยมอบของขวัญแทนเธอแล้ว…”
ช่างกล้าเสียจริง ถึงกับเอ่ยปากขอบุหรี่ และเหล้าไม่พอ ยังขอน้ำตาลกับชาอีก ถ้าพูดเสียขนาดนี้ ไม่พูดว่าจะเอาเนื้อไก่ เนื้อเป็ด เนื้อปลามาตรงๆ เลยเล่า? ทั้งหมดที่อาสะใภ้สามร่ายยาวมานั้นล้วนแล้วแต่เป็ของที่ต้องใช้คูปองซื้อทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ยุคนี้เป็ยุคที่ชาวนาขาดแคลนคูปองพวกนี้ที่สุด แล้วดูสิ
อาสะใภ้สามของเธอยังขอได้ไม่อายปาก! แม้จะคิดเช่นนั้น
แต่เจิ้งหยวนกลับหัวเราะเสียงดังแล้วเอ่ย “จะรบกวนอาสะใภ้สามได้ยังไงกัน
ฉันกลับไปถามคุณพ่อคุณแม่ดีกว่าค่ะ”
ปล่อยให้เธอคลุมเครือไปแบบนี้แหละ ทิ้งไว้สักหลายๆ วัน พอเธอมากลับมาถามค่อยบอกว่าซื้อได้แล้ว เอาให้โมโหตายไปเลย! ดวงตาเจิ้งหยวนกลิ้งกลอกไปมา
แอบหมายมั่นปั้นมือเงียบๆ
“พี่หยวนหยวน พี่แต่งงานปลายปีนี้เหรอ?” เป็เจิ้งไฮ่ผิงที่โพล่งถามขึ้นมา
เจิ้งหยวนพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ “ใช่”
“งั้นคู่ของพี่เป็คนในกองเดียวกันไหม?”
เจิ้งไฮ่ผิงถึงวัยมีความรักแล้ว
เมื่อก่อนอาสะใภ้สามคุยกับใครก็ไม่ยอมให้เธอฟัง ทว่ายิ่งผู้ใหญ่ปิดบัง
เด็กก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็น เธอจึงใคร่รู้เื่ทำนองนี้มาก
เด็กผู้หญิงที่พอโตหน่อยในชั้นเรียนก็เริ่มแอบคบหาดูใจกันแล้ว
พอเห็นเจิ้งหยวนตอบว่าใช่อีกรอบ เธอก็อดถามไม่ไหว “พี่หยวนหยวน พี่สวยเสียขนาดนี้ ทำไมถึงหาคนรักจากชนบทล่ะ?” น้ำเสียงแฝงแววดูถูกคนจากชนบทไม่น้อยเลยทีเดียว
“คนทำนาหาเลี้ยงชีพ จะมีดวงเจอคู่ครองในเมืองได้ยังไง?” อาสะใภ้สามตำหนิทันทีแล้วจ้องเจิ้งไฮ่ผิงเขม็ง
“กินข้าวไปซะ ถามอะไรไร้สาระอยู่ได้!” หวังกุ้ยจือยังแค้นที่เจิ้งหยวนเคยปฏิเสธคนที่เธอแนะนำให้อยู่
เจิ้งหยวนพลันกระตุกยิ้มมุมปาก แล้วพูดกับเจิ้งไฮ่ผิง “คนรักฉันเป็ทหารที่สู้รบอยู่แนวหน้าของการปฏิวัติ ไม่ด้อยไปกว่าคนในเมืองเลย”
“พี่เขยเป็ทหารปฏิวัติเหรอครับ?”
เจิ้งเทียนเจี๋ยเป็เด็กผู้ชายขี้อาย
หน้าตาจิ้มลิ้มยิ่งกว่าเด็กผู้หญิงอย่างเจิ้งไฮ่ผิงเสียอีก ปกติเขาไม่ค่อยพูดนัก
แต่เวลานี้ดวงตาของเด็กชายกลับเปล่งประกาย แถมยังเป็ฝ่ายคุยกับเจิ้งหยวนก่อน
ดูท่าจะชื่นชมทหารอย่างยิ่ง
ความประทับใจที่เจิ้งหยวนมีต่อเจิ้งเทียนเจี๋ยดีขึ้นทันตา “ใช่ เขาเป็ทหารเกือบสิบปีแล้วละ”
“ว้าว!”
เจิ้งหยวนรู้จักเฝิงเจี้ยนเหวินแค่เพียงเท่านี้ พอเจิ้งเทียนเจี๋ยเริ่มถามเธอมากขึ้น เจิ้งหยวนจึงพูดสาระอะไรไม่ได้อีก แต่เธอสัญญาว่าหากแต่งงานแล้วจะมารับเด็กชายไปเล่นที่บ้าน ให้เฝิงเจี้ยนเหวินเล่าเื่ในกองทัพให้เขาฟัง เจิ้งเทียนเจี๋ยดีใจมาก สายตาที่มองเจี้งหยวนดูสนิทสนมกว่าเดิมไม่น้อย เจิ้งหยวนถึงค้นพบว่าลูกพี่ลูกน้องชายคนนี้เป็เด็กจิตใจบริสุทธิ์ ค่อนข้างน่ารักคนหนึ่ง
ชาติก่อนเจิ้งหยวนคิดมาตลอดว่าเจิ้งเทียนเจี๋ยไม่คุยกับเธอเพราะดูถูกคนในชนบท แต่เมื่อกลับมาเกิดใหม่และได้เจอญาติผู้น้องคนนี้อีกครั้ง ถึงค่อยเข้าใจว่าเป็นิสัยของเ้าตัว เขาแค่เป็เด็กขี้อาย ทั้งยังพูดไม่เก่งโดยธรรมชาติเท่านั้นเอง
เจิ้งหยวนลอบถอนหายใจ ชาติก่อนสมองเธอคงโดนลาเตะ หรือมีมูลสัตว์ป้ายตาอยู่กันนะ?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้