ในฐานะสมาชิกพรรคชาวข้ามภพตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เฉียวเยว่ก็ยังรู้สึกปลง เด็กเหล่านี้ช่างแก่แดดแก่ลมกันเหลือเกิน
หากนางดูไม่ผิด ท่านหญิงฉางเล่อผู้นั้นน่าจะแอบมีใจให้ิ่จื้อรุ่ยชัดๆ
"หากเ้ามีเวลามาพูดเื่นี้ไม่สู้ขยันฝึกฝนจะดีกว่า คาดเดาสิ่งที่ไร้ประโยชน์เ่าั้สนุกนักหรือ?" ิ่จื้อรุ่ยตัดบทอย่างจริงจัง
เฉียวเยว่ส่ายหน้า "ไม่เลย"
ิ่จื้อรุ่ยยิ้มน้อยๆ "เมื่อเป็เช่นนี้ ยังต้องพูดอันใดอีกเล่า"
ต้องกล่าวว่าไม่ว่าจะโตขึ้นกี่ปี เขาก็ยังคงเป็เหมือนเดิม เฉียวเยว่ถอนหายใจอีกหน หันมาตั้งหน้าตั้งตาฝึกขี่ม้าต่อ จนกระทั่งออกมาจากสนามม้า นางก็มาปะกับท่านหญิงฉางเล่ออีกหน อีกฝ่ายแค่เสียงเยาะก่อนที่จะขี่ม้าจากไป
ส่วนเฉียวเยว่กับฉีอันต่างขึ้นรถม้าอย่างอ่อนระโหยโรยแรง
ิ่จื้อรุ่ยมาส่งสองพี่น้องกลับจวน ซูซานหลางเห็นเขามาก็ดีใจมาก ถึงอย่างไรก็เป็ศิษย์อาจารย์กันมายาวนาน ไหนเลยจะเหมือนกับผู้อื่น
เขาชวนให้ิ่จื้อรุ่ยรั้งอยู่ถึงตอนเย็น ิ่จื้อรุ่ยย่อมรับปากด้วยความยินดี
ฉีอันตามเซ้าซี้เขาให้เล่าสถานการณ์ที่ชายแดนให้ฟัง การเดินทางของพวกเขาครานี้ไม่ได้ไปถึงชายแดน ดังนั้นฉีอันจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็น จื้อรุ่ยพูดไม่เก่งจึงเล่าอะไรไม่มาก เฉียวเยว่ถอนหายใจ "พี่จื้อรุ่ยยังเหมือนตอนเด็กๆ ไม่มีผิด"
แม้ว่าเขาจะประหยัดถ้อยคำราวกับเป็ผู้ใหญ่ แต่ก็ทำให้นางได้รู้เื่ที่รัชทายาทไม่อยู่เมืองหลวงเช่นกัน รัชทายาททรงเป็ตัวแทนพระองค์ไปตรวจการณ์ที่เจียงหนาน แท้จริงแล้วเื่นี้ซูซานหลางก็เพิ่งรู้ระหว่างเดินทางกลับ แต่ไม่ได้บอกเด็กๆ เพราะไม่ใช่กงการอันใดของพวกเขา
จื้อรุ่ยเตรียมของขวัญให้พวกเฉียวเยว่กับฉีอันเป็ของประจำท้องถิ่นที่ชายแดน หากวันนี้ไม่บังเอิญพบพวกเขาที่สนามม้า ก็ตั้งใจจะมาเยี่ยมเยือนถึงที่อยู่แล้ว
"พี่จื้อรุ่ย ท่านได้รับจดหมายของข้าหรือไม่?" เฉียวเยว่ถาม
นางไปที่ใดก็มักจะซื้อของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็ของประจำท้องถิ่นแล้วฝากศาลาพักม้า [1] ให้ส่งกลับมายังเมืองหลวงให้แก่คนที่ตนเองสนิทสนมคุ้นเคย
มีของอวี้อ๋อง มีของรัชทายาท จื้อรุ่ยก็ย่อมจะมี
ิเยว่กับหรงเยว่ยิ่งได้รับมากกว่า
จื้อรุ่ยพยักหน้า "ข้าได้รับแล้ว ขอบใจเ้ามาก"
เฉียวเยว่ยิ้มอย่างพึงพอใจ "ข้ามีความคิดสร้างสรรค์ดีใช่หรือไม่ ถึงแม้ของที่ส่งมาจะไม่ได้มีราคามากมาย แต่ของเ่าั้คือความจริงใจของข้า"
จื้อรุ่ยเข้าใจจุดนี้ แม้ว่าจะจากไปสองปีกว่า แต่พวกเขาไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
จะมีก็แต่... กระต่ายน้อยตัวกลมกลายเป็สาวน้อยผอมเพรียวสะโอดสะองไปแล้ว
"ทักษะขี่ม้ายิงธนูของข้าดีมาก หากอาจารย์ไม่มีเวลาว่าง เ้าไปหาข้าได้ ข้าจะสอนให้เอง" เขากล่าวอย่างจริงจัง "แม้ว่าที่ผ่านมาจะไม่ได้มีข้อเรียกร้องอันใดสูงมากสำหรับสตรี แต่หากไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานก็มิอาจเข้าสำนักศึกษาสตรีได้เช่นกัน ดังนั้นไม่ควรให้เื่นี้มาเป็ตัวถ่วง"
เฉียวเยว่โบกมือ "ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่มีปัญหาหรอก รับรองเลยว่าข้าสามารถฝึกฝนด้วยตนเองให้เก่งขึ้นได้ อีกอย่างข้าคิดว่าเื่นี้เอาแค่พอผ่านเกณฑ์ก็ดีถมเถแล้ว ไม่คิดจะทุ่มเทพลังกายพลังใจมากเกินไป คนเราต้องรู้จักข้อดีข้อด้อยของตนเอง ข้าจะไม่ให้เื่นี้มาทำให้เสียเวลาในการศึกษาเื่อื่นๆ"
ซูซานหลางไม่ค่อยชอบความคิดเช่นนี้ของนางนัก นางเหมือนกับอิ้งเยว่ไม่ค่อยให้ความสนใจสมรรถภาพทางร่างกาย นี่คือส่วนที่ไม่ดีอย่างยิ่ง ขณะกำลังจะเปิดปากอบรมสั่งสอน ก็เห็นแม่หนูน้อยยกมือขึ้นประนมหันมาที่เขาแล้ว "ท่านพ่อไม่ต้องเป็ห่วง ข้าจะตั้งใจศึกษาอย่างดี ท่านอย่าบ่นอีกเลย"
ความรวดเร็วของนางทำให้ทุกคนหัวเราะครืนใหญ่
จื้อรุ่ยนั่งอยู่จนเกือบถึงเวลาห้ามออกจากเคหสถานถึงลากลับ
ฉีอันวิ่งไปคุยกับเฉียวเยว่ที่ห้องหนังสือ ถึงอย่างไร่นี้นางก็ไม่นอนแต่หัวค่ำ เขาไปถึงก็ถอนหายใจบ่นกับเฉียวเยว่ "เ้าไม่รู้สึกบ้างหรือว่าพี่จื้อรุ่ยไม่เหมือนเมื่อก่อน"
เฉียวเยว่เลิกคิ้ว "ไม่เหมือนตรงไหน เขาก็เป็อย่างนั้นเองมิใช่หรือ ไม่ชอบพูด เอาใจคนไม่เก่ง มีแต่พลังดุดันน่าเกรงขามไปทั้งตัว"
พอได้ยินเฉียวเยว่วิจารณ์เช่นนี้ ฉีอันก็ขำพรืด เขาทำท่าเข้าใจ "วันนี้ท่านหญิงน้อยผู้นั้นคงจะกินน้ำส้ม [2]"
เอ่ยถึงเื่นี้เฉียวเยว่ก็ดูตื่นเต้นขึ้นมา "จริงด้วย จริงด้วย เ้าเห็นเหมือนกันใช่หรือไม่ ข้าก็รู้สึก นางต้องรู้สึกดีกับพี่จื้อรุ่ยแน่ๆ แค่ไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ข้ารู้สึกว่านางไม่ใช่คนมีแผนการอันใด คนที่ชื่อสวี่ม่านหนิงข้างกายนางต่างหากที่ความคิดล้ำลึก"
ฉีอันตอบรับทันควัน "ใช่ ใช่ ใช่ ข้ารู้สึกว่านางมีท่าทีเป็ปรปักษ์กับครอบครัวเรา โดยเฉพาะเ้า เ้าว่าสวี่ม่านหนิงผู้นั้นเป็อะไรกันแน่?"
เฉียวเยว่แบมือยักไหล่ "ข้าก็ไม่รู้"
กระต่ายน้อยอยากรู้อยากเห็นสองตัวคุยกันอย่างครื้นเครง
"เ้านึกดู ใครบ้างที่รู้สถานการณ์ของพวกนาง พวกเราก็ไปสอบถามดู รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง" เฉียวเยว่กล่าวด้วยท่าทางจริงจัง
ทันทีที่ได้ยินบทสนทนาของเด็กสองคน ไท่ไท่สามก็แทบหงายหลัง นางไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดบุตรสองคนนี้ถึงพูดมากนัก พวกเขาสามารถส่งเสียงเจื้อยแจ้วได้ตลอดเวลา หลังจากถอนหายใจก็เข้าประตูมาแล้วพูดว่า "พวกเ้าเตรียมเข้านอนกันได้แล้ว ซุบซิบนินทาผู้อื่นอยู่ที่นี่คิดว่าดีแล้วหรือ?"
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก
"ข้ากลับห้องล่ะนะ" ฉีอันพูดทันที แล้วก็วิ่งจู๊ดหายไปอย่างรวดเร็ว
"เช่นนั้นข้าก็กลับเหมือนกัน" เฉียวเยว่พูดบ้าง
เวลาเพียงชั่วพริบตา กระต่ายซุกซนสองตัวก็วิ่งหายไปไม่เหลือแม้แต่เงา
ไท่ไท่สามพูดพลางถอนหายใจอีกหน "เ้าตัวแสบสองคนนี้แผนสูงจริงๆ"
ขณะที่เฉียวเยว่เหมือนจะลืมเื่นี้ไปแล้ว ก็ดันมีคนเอ่ยถึงอีกจนได้
หลังจากนั้นสองสามวัน หยางโม่หลันก็มาเป็แขก
"เฉียวเยว่ เ้าคงไม่คิดว่าข้าน่ารำคาญกระมัง?" นางถาม
เฉียวเยว่ส่ายหน้า "ไม่อยู่แล้ว ในเมื่อข้าเป็คนเชิญเ้ามา จะรำคาญได้อย่างไร เรียนด้วยกันสนุกจะตาย ตอนเด็กข้ากับฉีอันวาดมังงะด้วยกันบ่อยไป"
โม่หลันไม่เข้าใจที่นางพูด แต่มิได้ถามอะไรมาก
"ที่จริงข้าตื่นเต้นมาก กลัวว่าตนเองจะสอบไม่ผ่าน เ้าก็รู้ ตอนนี้เหล่าคุณหนูทั่วเมืองหลวงต่างเริ่มอ่านตำรากันล่วงหน้า แต่ละคนเก่งกาจทั้งนั้น"
แม้เฉียวเยว่จะเห็นด้วยกับการศึกษา แต่มักรู้สึกว่าหากศึกษาเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับตนเอง หาใช่เพื่อแสวงหาความรู้ หรือเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองให้ดีขึ้น เป็การจัดลำดับที่กลับหัวกลับหางไปหน่อย
นางตบๆ มือของโม่หลันอย่างปลอบประโลม "ค่อยเป็ค่อยไปน่า... ยังมีเวลาตั้งครึ่งปีกว่า พวกเราตั้งใจศึกษาเล่าเรียน คงไม่แย่เกินไปหรอก"
โม่หลันพยักหน้า "ก็ถูก โอ้ จริงสิ เฉียวเยว่ เ้ารู้จักท่านหญิงฉางเล่อด้วยหรือ?"
เมื่อถามถึงเื่นี้ นางก็มองเฉียวเยว่อย่างระมัดระวัง
เฉียวเยว่พยักหน้า "สองวันก่อนพบกันครั้งหนึ่งที่สนามม้า มีอะไรหรือ?"
โม่หลันคิดก่อนพูดออกมา "ก็ไม่มีอะไรหรอก แต่ข้ารู้สึกเหมือนว่านาง... เหมือนว่านางจะ..."
"เหมือนว่าจะไม่ชอบข้า?" เฉียวเยว่พูดขึ้นตรงๆ
โม่หลันเบิกตากว้าง "เ้ารู้?"
เฉียวเยว่หัวเราะ "ข้าดูออก แต่ไม่ชอบก็ไม่ชอบไปสิ นางชอบ ข้าก็ไม่ได้มีสิ่งใดเพิ่มขึ้น นางไม่ชอบ ข้าก็ไม่ได้มีส่วนไหนขาดหายไปสักหน่อย"
โม่หลันรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง นางนึกดูแล้วพูดว่า "คนในเมืองหลวงล้วน้าเป็สหายกับท่านหญิงฉางเล่อทั้งนั้น เมื่อสองวันก่อนนางเอ่ยว่าไม่ชอบเ้า เพราะรู้สึกว่าเ้าดูเสแสร้งจอมปลอม ข้าคิดว่าน่าจะมีคนเยอะมากที่จะไม่คบหาเ้าเป็สหาย"
ที่นางพูดเป็ความจริง หยางโม่หลันหาใช่สตรีที่มีเล่ห์เหลี่ยม นางพูดต่อไปว่า "ทุกคนได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ย่อมไม่กล้าล่วงเกินนางเพื่อเ้า อย่างไรเสียนางก็เป็ถึงท่านหญิง แต่ให้ข้าเดา นางต้องถูกสวี่ม่านหนิงยุแยงมาแน่ๆ แม้ว่าสวี่ม่านหนิงจะเป็คนมีวิชาความรู้ดูมีเหตุผล แต่ข้าได้ยินญาติผู้พี่บอกว่านางนี่แหละตัวดีเลย"
เฉียวเยว่ได้เพื่อนสาวขาเมาท์อีกคนแล้ว!
นางเชิดดวงหน้าน้อย ก่อนเอ่ยถาม "เหตุใดสวี่ม่านหนิงต้องยุแยงด้วยเล่า?"
ญาติผู้พี่ของโม่หลันเป็สหายสนิทของิเยว่ญาติผู้พี่ของนาง น่าจะรู้อะไรเยอะพอสมควร
"เพราะนางไม่ชอบคนตระกูลเ้า สวี่ม่านหนิงนับว่าเป็สหายเรียนร่วมรุ่นกับอิ้งเยว่พี่สาวเ้า ทุกคนทั่วต้าฉีต่างรู้จักอิ้งเยว่คุณหนูห้าแห่งจวนซู่เฉิงโหวว่าเป็ยอดหญิงอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่อง แต่มีใครรู้จักนางบ้างเล่า แม้จะสอบติดสำนักเป็อันดับสองของรุ่น แต่ก็ไม่มีผลมากนัก ญาติผู้พี่ของข้าบอกว่าสตรีที่ชอบเอาชนะเช่นนางต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน ไหนเลยจะรู้สึกดีต่ออิ้งเยว่พี่สาวเ้า และจะมีความรู้สึกที่ดีต่อจวนซู่เฉิงโหวของพวกเ้าได้อย่างไร"
เฉียวเยว่เบิกตาโต เหตุผลเพียงเท่านี้เองหรือ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ หากใครสักคนจะเกลียดเ้า ไม่ว่าเ้าจะทำอย่างไรก็ถูกชังน้ำหน้าอยู่ดี
"นอกจากนี้..." โม่หลันเข้ามากระซิบข้างหูเฉียวเยว่ "ข้าได้ยินว่า รัชทายาทถึงพระชันษาอันควร อีกไม่นานก็จะแต่งตั้งชายารัชทายาทแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าเป็ผู้ใด นางต้องคิดหมายอยู่แน่ๆ แต่ทุกคนต่างรู้ว่าฝ่าาทรงชื่นชมพี่หญิงอิ้งเยว่ว่าฉลาดปราดเปรื่องต่างจากคนสามัญทั่วไป อ้อ... แล้วก็ยังมีอีกด้านบอกว่า...."
โม่หลันสะกิดเฉียวเยว่ แล้วถามอย่างจริงจัง "มีคนบอกว่าเ้ากับรัชทายาทเป็คู่รักวัยเยาว์ รัชทายาทรักเ้ามาั้แ่เด็กแล้ว แม้ว่าอายุของพวกเ้าจะต่างกันห้าปี แต่สิบห้าปียังไม่เห็นเป็อันใด นับประสาอะไรกับแค่ห้าปีเล่า"
เฉียวเยว่งงเป็ไก่ตาแตก
นางเพิ่งกลับมาเมืองหลวง เหตุใดถึงมีข่าวที่น่าใขนาดนี้ เสด็จพี่รัชทายาทจะแต่งนางเป็ชายารัชทายาทหรือ?
แต่เฉียวเยว่กลับรู้สึกว่าคำกล่าวเช่นนี้เกินจริงไปมาก
ไม่มีทางเป็ไปได้!
นางอึ้งไปสักพักก่อนเอ่ยถาม "ถ้อยคำเหลวไหลพรรค์นี้ยังมีคนเชื่อ?"
"เ้าไม่สนใจเลยหรือ? เื่นี้เป็เื่จริงนะ ข้างนอกมีข่าวลือเช่นนี้มากมาย เ้ายังไม่เชื่อข้าอีกหรือ?" โม่หลันตะเบ็งเสียงขึ้นมา
เฉียวเยว่รู้สึกว่าคนเ่าั้สมองถูกกรอกน้ำกันหมดแล้วหรือไร
"อีกอย่างนะ ทุกคนต่างพูดว่าฝ่าาเพิ่งเตรียมเลือกชายาเอกให้รัชทายาท ครอบครัวของพวกเ้าก็เดินทางกลับมา ต้องมีสาเหตุเป็แน่"
เฉียวเยว่หัวเราะหึๆ "แต่พวกเราเดินทางกลับมาเพราะข้ากับฉีอันต้องเข้าสอบปีหน้า นอกจากนี้พี่หญิงใหญ่ของข้าใกล้จะแต่งงาน พวกเราไม่กลับมาได้หรือ? สมองของพวกเขาท่าจะมีปัญหา ขยันแต่ปล่อยข่าวลือเหลวไหลไม่คำนึงถึงสถานการณ์จริงสักนิด"
แต่เมื่อมาคิดดูดีๆ ปากอยู่ที่ตัวของผู้อื่น พวกเขาทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
"หากข้าไม่ได้เป็ชายารัชทายาท ข้าจะส่งเต้าหู้เหม็นให้พวกเขาคนละจานเลย"
โม่หลันหัวเราะขบขัน "เ้านี่ร้ายไม่เบา"
เฉียวเยว่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ "ใครใช้ให้พวกเขานินทาข้าลับหลังกันเล่า เ้าว่าน่าสงสารหรือไม่"
เฉียวเยว่รู้สึกว่าตนเองโชคร้ายจริงๆ
"แต่ข้ารู้ว่าฮองเฮาไม่ถูกพระทัยข้า"
ยามนี้เฉียวเยว่รู้สึกปลงอยู่บ้าง เดิมทีนางรู้สึกว่าตนเองเป็นักสอดรู้สอดเห็นตัวยง ไม่ว่าเื่ไหนก็ต้องสอดขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวเพื่อรับรู้เื่ราวให้ได้ แต่เมื่อได้พบกับแม่นางน้อยโม่หลันถึงได้รู้ว่าระดับของตนเองยังต่ำเกินไป
ต้องอย่างนางสิ ถึงจะเรียกว่าตัวจริง!
"เ้ารู้ได้อย่างไร?"
โม่หลันชะงักอีกหน "เ้า เ้า เ้า เ้าไม่รู้หรือ ท่านอาของข้าคือพระสนมหยางเฟย"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า "ไม่รู้"
"เ้านี่ไม่รู้อันใดสักอย่าง ต่อไปเ้าต้องติดตามข้าดีๆ แล้ว" โม่หลันรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
...
[1] ศาลาพักม้าคือสถานที่พักของราชการเป็ทั้งที่พักคล้ายโรงเตี๊ยม และเป็ที่สำหรับฝากส่งเอกสาร พัสดุ คล้ายระบบไปรษณีย์ในปัจจุบัน เนื่องจากสมัยโบราณพาหนะที่ใช้เป็หลักคือม้า จึงเรียกว่าศาลาพักม้า หรือจุดพักม้าก็ได้
[2] กินน้ำส้ม หมายถึงหึงหวงหรืออิจฉาริษยา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้