เซี่ยโม่ตาโตด้วยความตื่นตะลึง เด็กชายไม่เพียงเลียนแบบเธอ ทั้งยังเลียนแบบได้เหมือนมาก
นี่คือว่าที่อัจฉริยะในอนาคตชัดๆ
ชาติที่แล้วไม่รู้เลยว่าหลังจากเซี่ยเฉินเฟิงหายตัวไป ต้องไปตกระกำลำบากที่ไหน แล้วยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ อย่างไรก็ตามเธอจะดูแลปกป้องน้องชายในชาติให้ดี
เธอให้น้องชายขี่หลังก่อนจะเดินต่อ ราวชั่วโมงกว่าก็มาถึงหมู่บ้านที่คุณตาคุณยายอาศัยอยู่ กว่าจะถึงทำเอาเหนื่อยไม่น้อย
เซี่ยเฉินเฟิงที่เงียบอยู่นานเอ่ยออกมาว่า “พี่ วางผมลงเถอะ”
เธอย่อเข่าลงเพื่อให้น้องชายลงมายืนบนพื้น
พวกเธอสองพี่น้องจูงมือกันเดินไปที่บ้านของคุณตาคุณยาย
ข้างหน้าไม่ไกลมีบ้านเก่าๆ สร้างจากอิฐโคลน หลังนี้คือบ้านของคุณตาคุณยายนั่นเอง
คุณตาทำหน้าที่เลี้ยงวัวให้หมู่บ้าน ส่วนคุณยายคอยให้อาหารหมูอยู่ในกองการผลิตของหมู่บ้าน เงินเดือนไม่สูงมาก แค่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องวันต่อวัน
เมื่อนึกถึงสภาพความเป็อยู่ของท่านทั้งสอง เธอหยุดเดินกะทันหัน
เธอมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครก็หันไปหาน้องชาย ก่อนจะยกนิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก สื่อความว่าให้เงียบไว้
เซี่ยเฉินเฟิงพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
เธอเดินไปด้านหลังต้นไม้ หยิบเอาถุงเส้นหมี่น้ำหนักห้ากิโลออกมา ไม่เพียงแค่นั้นยังหยิบแฮมหมูออกมาด้วย จากนั้นถึงค่อยเดินออกจากหลังต้นไม้
เซี่ยเฉินเฟิงถึงกับตาโตตื่นตะลึง
พี่สาวเขาไปเอาสองสิ่งนี้มาจากไหน แต่พอนึกได้ว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายทำท่าให้เก็บเื่นี้ไว้เป็ความลับ แม้ในใจจะรู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถามออกไป
ครั้นเห็นพี่สาวเดินตรงไปที่บ้านของคุณตาคุณยาย เขาจึงเดินตามหลังไปเงียบๆ
เมื่อมาถึงหน้าบ้าน เซี่ยโม่มีสีหน้าแปลกใจเพราะพบว่าประตูเปิดอยู่ หรือว่าคุณตาคุณยายจะกลับจากการทำงานแล้ว?
แต่พอคิดถึงว่าเธอไม่ได้เจอพวกท่านมาสิบกว่าปี เซี่ยโม่เลยเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับะโเรียก “คุณยาย คุณตา อยู่บ้านไหมคะ”
มีเสียงะโตอบดังมาจากภายในห้อง “นั่นใครน่ะ”
น้ำเสียงที่ตอบกลับมาฟังดูแปลกๆ เธอจึงรีบเดินเข้าไป
บ้านของคุณตาคุณยายโล่งมาก คุณยายนอนอยู่บนเสื่อผืนเก่าในห้อง ผ้านวมที่ห่มคลุมกายเต็มไปด้วยรอยปะชุน ที่หน้าผากมีผ้าขนหนูเก่าๆ โปะเอาไว้
“คุณยาย ไม่สบายเหรอคะ”
ครั้นคุณยายเห็นหลานสาวหลานชาย ใบหน้าฉายแววยินดีอย่างเห็นได้ชัด
คุณตาคุณยายทราบดีว่า ลูกเขยไม่อยากให้หลานสาวหลานชายมาหาที่บ้าน ปกติโม่โม่มักจะยุ่งไม่ค่อยมีเวลาพาน้องชายมา แล้ววันนี้ทั้งสองคนมาที่นี่ได้อย่างไร
คุณยายเอ่ยตอบ “โรคเก่าน่ะ ยายไม่เป็ไร ว่าแต่พวกหลานมาได้ยังไง”
เซี่ยโม่นึกขึ้นได้ว่า ชาติที่แล้วหลังจากท่านทั้งสองรู้ว่าน้องชายหายตัวไปก็เดินทางไปถามเื่นี้ที่บ้านตระกูลเซี่ย ปรากฏว่าถูกแม่เลี้ยงด่าทอ ท่านทั้งสองจึงหอบความโมโหกลับมาที่บ้าน หลังจากนั้นไม่นานพวกท่านก็จากไป
คิดได้ดังนั้นเธอรู้สึกเ็ปในใจราวกับมีเข็มหลายพันเล่มทิ่มแทง น้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
คุณยายบอกว่าโรคเก่า เช่นนั้นก็น่าจะเกี่ยวกับหัวใจ เธอเอ่ยถามออกไปอย่างเป็ห่วง “คุณยาย รู้สึกไม่สบายตรงไหนคะ”
คุณยายเอามือชี้ที่หัวใจ “อึดอัดที่ตรงนี้ แล้วก็หายใจค่อนข้างลำบาก”
แม้เธอจะไม่ใช่หมอ แต่ก็พอมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเื่นี้อยู่บ้าง นี่คืออาการของคนที่เป็โรคหัวใจ
ชาติที่แล้ว ทั้งที่คุณยายป่วย แต่ก็ยังออกไปตามหาน้องชาย สุดท้าย…
คิดถึงตรงนี้ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกครั้ง เธอร้องไห้ออกมา น้ำตาไหลเป็ทาง
“โม่โม่ ไม่ต้องร้อง ยายไม่ได้เป็อะไร” น้ำเสียงปลอบโยนของคุณยายเต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดู มือหยิบผ้าขนหนูที่โปะอยู่ที่หน้าผากลงเพื่อจะเช็ดน้ำตาให้หลานสาว
เห็นมือเหี่ยวย่นของคุณยายพยายามรวบรวมแรงยกผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ เธอจึงรีบยื่นมือไปรับผ้าขนหนูมาเช็ดน้ำตาเอง “คุณยาย คุณตาไปเลี้ยงวัวเหรอคะ”
“ใช่ อีกเดี๋ยวก็คงจะกลับ ว่าแต่พวกหลานทั้งสองคนมาที่นี่ได้ยังไง”
เธอกลัวว่าหากเล่าออกไปจะทำให้คุณยายโมโห รอให้คุณตากลับมาค่อยเล่าให้ฟังดีกว่า
“ไม่มีอะไรค่ะ พวกเราแค่คิดถึงก็เลยมาเยี่ยม”
คุณยายเลียริมฝีปากที่แห้งผาก “โม่โม่ ยายหิวน้ำ ไปรินน้ำมาให้ยายหน่อยได้ไหม แล้วก็รินมาเผื่อตัวเองกับน้องชายด้วย”
เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าที่บ้านของคุณตาคุณยายไม่มีกระติกน้ำร้อน ท่านทั้งสองชินกับการดื่มน้ำประปา
แต่ว่าตอนนี้คุณยายไม่สบายอยู่ จะดื่มน้ำเย็นได้อย่างไร
เธอรีบเอ่ยออกไปว่า “คุณยาย เดี๋ยวหนูไปต้มน้ำมาให้นะคะ”
“ไม่ต้องหรอก แบบนั้นมันยุ่งยากเกินไป”
“ไม่ยุ่งยากเลยค่ะ คุณยายรอแป๊บเดียวนะคะ”
เซี่ยโม่เดินเข้าไปในห้องครัว เริ่มต้มน้ำพร้อมทั้งนึกภาพตัวเองหายาโรคหัวใจในโกดังสินค้าไปด้วย หลังจากอ่านคำอธิบายตัวยาจนมั่นใจว่าใช่แน่ ถึงค่อยหยิบยาออกมา เอากล่องไปเผาทิ้งในเตาไฟ เหลือแต่ยาเอาไว้
ไม่เพียงแค่นี้ เธอยังหยิบกระติกน้ำร้อนออกมาจากในโกดังสินค้าที่ตามเธอมาอีกด้วย
เธอคิดในใจว่า หากมีโอกาสเธอจะมอบให้พี่ซ่งสักใบหนึ่ง
พอต้มน้ำจนเดือด เธอจัดแจงรินใส่แก้วสามใบ ส่วนที่เหลือเทใส่ในกระติกน้ำร้อน
เธอถือแก้วน้ำอุ่นและยาเดินกลับไปหาคุณยาย “คุณยายคะ นี่คือยาแก้โรคหัวใจที่หนูฝากคนซื้อมาให้ค่ะ”
หญิงชรามองยาในมือหลานสาวพลางเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “ยาตะวันตกราคาแพงมากเลยนะ หลานไปเอาเงินมาจากไหน”
เธอเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “คุณยายคะ ตอนที่หนูขึ้นเขาไปหาฟืน หนูเก็บสมุนไพรจากบนเขาเอาไปขายแลกเงิน พอได้เงินมาถึงค่อยให้คนไปซื้อยามาให้ค่ะ”
หลังจากกินยาคุณยายก็ชื่นชมเธอ “เรานี่ ยายเข้าใจว่าเราไม่รู้ความมาตลอด เอาแต่เชื่อแม่เลี้ยง ที่แท้เราก็มีความคิดเป็ของตัวเองอยู่แล้วนี่เอง”
สีหน้าของเซี่ยโม่กระอักกระอ่วน ชาติที่แล้วเธอโง่มากจริงๆ นั่นแหละ แต่ชาตินี้เธอจะไม่มีวันโง่เง่าเช่นนั้นอีก
เวลานี้เองคุณตาที่เพิ่งกลับมาเข้ามาในบ้าน
เธอหันไปมองคุณตา ไม่ได้เจอคุณตาหลายสิบปี ใบหน้าของท่านเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ไม่เพียงคล้ำและผอมลง ท่าทางยังดูเหมือนคนที่ผ่านประสบการณ์ยากลำบากมาอย่างโชกโชน เวลาเดินก็กะโผลกกะเผลก
เธอรีบเอ่ยถาม “คุณตา ขาเป็อะไรคะ”
“ไม่เป็ไร แค่วันนี้เดินสะดุดขาแพลงตอนดูแลวัวน่ะ”
เธอฟังแล้วรู้สึกปวดใจยิ่งนัก ชาติที่แล้วหลังจากรู้ว่าน้องชายหายตัวไป คุณตาซึ่งขาแพลงก็เดินกะเผลกพยุงคุณยายที่เป็โรคหัวใจไปบ้านตระกูลเซี่ย แต่ผลสุดท้ายกลับต้องหอบความโมโหกลับมาบ้านเต็มท้อง
หลังจากคุณยายเสีย ไม่นานคุณตาก็ตามไป
ตอนนั้นพวกท่านทั้งสองต้องรู้สึกเสียใจเป็แน่
ส่วนเธอก็มัวแต่จมอยู่กับความเศร้าตรมจึงไม่ได้เหลียวแลพวกท่าน จนวันที่ได้รู้ข่าวว่าพวกท่านทั้งสองจากไป เธอร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจยกใหญ่
คิดถึงตรงนี้เธออดรู้สึกรื้นที่ดวงตาไม่ได้
“คุณตาคะ เมื่อครู่หนูต้มน้ำร้อนเอาไว้ หนูจะไปเอามานวดเท้าให้นะคะ”
คุณตากลับเอ่ยออกมาว่า “ไม่ต้องหรอก เอามาให้ตาแช่เท้าก็พอ”
“ก็ได้ค่ะ!” เธอเดินไปเอาน้ำร้อนมาให้คุณตา
หลังจากยกกะละมังใส่น้ำร้อนมา เธอถึงค่อยค้นพบว่าคุณตาสวมรองเท้าซึ่งทำจากหญ้าฟาง คงเป็เพราะต้องวิ่งไล่ตอนฝูงวัว เท้าของคุณตาจึงมีแต่เศษดินเศษโคลน สกปรกเป็ที่สุด
มิน่าทำไมคุณตาถึงไม่ให้เธอนวดเท้าให้
เธอวางกะละมังใส่น้ำไว้บนพื้นแล้วคุกเข่า ถอดรองเท้าให้คุณตาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะจับเท้าคุณตาลงไปแช่ในน้ำ
“ไม่เป็ไรค่ะคุณตา เดี๋ยวหนูช่วยล้างเท้าให้…”
ชายชรามองหลานสาวด้วยแววตารักใคร่เอ็นดู
หลายปีที่ผ่านมาเขากับภรรยาดูออกว่า ใจของหลานสาวเทไปที่แม่เลี้ยงหมดแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะเตือนอย่างไร หลานสาวก็ไม่เคยฟัง
พวกเขาก็ได้แต่รอวันที่หลานสาวจะได้สติกลับคืน เลิกหลงไปกับภาพมายาที่ผู้หญิงคนนั้นสร้างขึ้น
ตอนนี้หลานสาวรู้ความขึ้นมาก เขากับภรรยารู้สึกโล่งอกยิ่งนัก
“โม่โม่ ทำไมวันนี้ถึงพาน้องชายมาที่นี่ได้”
เื่บางเื่อย่างไรก็ต้องพูดออกไป เซี่ยโม่เล่าเื่ทั้งหมดออกไปด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “คุณตาคุณยายคะ วันนี้หวางลี่ลี่ให้หลานชายหวางหมาจื่อพาเฉินเฟิงไปทิ้งบนรถไฟ หนูเพิ่งไปตามหาน้องชายจนเจอและพากลับมาค่ะ”
ราวกับถูกสายฟ้าฟาด ดวงตาสองสามีภรรยาเบิกโตด้วยความใ
คุณตายื่นมือมาคว้าแขนเธอ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจอีกครั้ง “เมื่อกี้หลานพูดว่าอะไรนะ พูดใหม่อีกทีสิ”
เดิมทีเธอไม่ได้อยากทำให้เื่นี้เป็เื่ใหญ่ แต่ตอนนี้ดูท่าจะไม่ทันแล้ว สีหน้าของคุณตาคุณยายเต็มไปด้วยความเดือดดาล เธอรีบเอ่ยว่า “คุณตาคุณยายคะ อย่าเพิ่งโมโหค่ะ ต่อไปหนูกับน้องจะย้ายมาอยู่ที่นี่ พวกเราจะไม่กลับไปบ้านหลังนั้นอีกแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้นสองสามีภรรยาค่อยคลายความโกรธลง ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้งว่า “นังผู้หญิงนั่นมันเอาเฉินเฟิงไปทิ้งจริงๆ หรือ”
เธอพยักหน้า “ใช่ค่ะ โชคดีที่หนูได้เจอคนดี เขาพาหนูขึ้นไปบนรถไฟเพื่อตามหาเฉินเฟิง เกือบถึงสถานีตำบลซิงหลงหนูถึงหาน้องชายเจอ จากนั้นพวกเราก็นั่งรถไฟกลับมาที่นี่ค่ะ”
คุณยายเอ่ยอย่างโล่งอก “ขอบคุณฟ้าดิน ซิ่วหลาน เป็ลูกที่ช่วยดลบันดาลให้โม่โม่หาเฉินเฟิงเจอใช่ไหม”
ซิ่วหลานคือชื่อมารดาของเธอ ได้ยินคุณยายพูดเช่นนี้ ทำให้เธอนึกถึงคำกำชับที่มารดาพูดกับเธอก่อนท่านจะจากไป คิดแล้วเธอรู้สึกผิดยิ่งนัก “คุณตาคุณยายคะ หนูผิดต่อคุณแม่นัก หลายปีมานี้เป็หนูที่ดูแลน้องชายไม่ดีเอง”
หลังจากแช่เท้าเสร็จ คุณตาเอาเท้าขึ้นจากกะละมัง เอ่ยด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวว่า “ไม่เกี่ยวกับหลานหรอก ขนาดเสือมันยังไม่ทำร้ายลูกมันเลย ตาจะไปเอาเื่เ้าสารเลวนั่น!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้