“มารดามันเถอะ! อะไรมันจะเหมาะเจาะพอดีถึงเพียงนี้? ทะลวงผ่านสำเร็จเส้นทาง์ก็เปิดออกพอดี? พวกคนที่เข้ามาทีหลังสามารถชุบมือเปิบได้? ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!” เย่ชิงหานเมื่อได้ฟังก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที เริ่มเอ่ยปากด่าทอออกมา
“เหอะๆ มันไม่ใช่เหมาะเจาะพอดีอะไรหรอก ความจริงแล้ว...ไม่ว่าจะอยู่ใน่เวลาใดก็ตาม ถ้าหากมีผู้ที่สามารถทะลวงผ่านด่านทั้งหมดได้สำเร็จเส้นทาง์ก็จะเปิดออกโดยทันทีเหมือนกัน ระดับความยากก็จะลดลงตามด้วย นี่เป็สิ่งที่นายท่านผู้สร้างูเาสุสานทวยเทพกำหนดเอาไว้ ข้าเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้!” ลู่ซีมองเห็นเย่ชิงหานแสดงอาการความไม่พอใจเหมือนเด็กน้อยออกมาจึงหัวเราะแหะๆ แล้วพูดอธิบายออกมาให้ฟัง
“แล้วจะรออะไรอยู่อีกล่ะ ท่านผู้าุโรีบพาข้าไปทำการทะลวงผ่านด่านต่อไปเถอะ!” เย่ชิงหานก็จนใจจึงทำได้เพียงรีบทะลวงผ่านด่านให้เร็วที่สุดก่อนที่จะถึงเวลาปกติตามกำหนดการเปิดออกของเส้นทาง์ เพราะ่นี้ยังไม่มีผู้ฝึกยุทธ์คนใดเข้ามาภายในได้ ต้องรีบฉวยโอกาสนี้ทะลวงผ่านด่านให้สำเร็จก่อน
“อืม เช่นนั้นก็เริ่มกันเถอะ เดี๋ยวข้าจะแนะนำสภาพโดยรวมของด่านทดสอบย่อยที่สองให้เ้าฟัง!”
ลู่ซีไม่พูดจาไร้สาระใดๆ อีก เอ่ยปากพูดอธิบายขึ้นโดยทันที “ด่านทดสอบย่อยด่านที่สองมีชื่อว่า โจทย์ปัญหาแห่งโชคชะตา โจทย์ปัญหาทั้งหมดจะมีอยู่ห้าข้อขอเพียงเ้าเขียนคำตอบที่ถูกต้องออกมาก็จะสามารถผ่านด่านไปได้อย่างราบรื่น แต่แน่นอนว่าถ้าหากเ้าตอบผิดข้อใดข้อหนึ่งก็จะถูกสังหารในทันที ไม่มีโอกาสแก้ตัวเป็ครั้งที่สอง...”
“ไอ้xxxx... นี่มันไม่ยุติธรรมเลย! แกล้งกันชัดๆ เลยนินา!”
เย่ชิงหานพูดไม่ออกเลยจริงๆ แบบนี้มันแกล้งกันชัดๆ โจทย์ปัญหาห้าข้อที่คิดขึ้นมาโดยผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพ ไม่รู้ว่าจะยากและซับซ้อนมากมายเพียงใด ไม่แน่ว่าทั่วทั้งทวีปัเพลิงอาจจะไม่มีใครที่สามารถตอบได้เลยก็เป็ได้ แล้วนี่ถ้าหากตอบผิดหนึ่งข้อถึงกับต้องตายเลย?
“เหอะๆ เ้าหนู โลกใบนี้มันก็ไม่ยุติธรรมมาั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว รีบเตรียมตัวตอบคำถามจะดีกว่า บ่นไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ปัญหาทั้งห้าข้อนี้มีเวลาให้เ้ามากสุดเพียงแค่ครึ่งปี หากถึงกำหนดเวลาแล้วยังผ่านไปไม่ได้ก็คงไม่ต้องบอกนะว่าผลลัพธ์จะเป็อย่างไร!”
ลู่ซีก็ส่ายหัวออกมาอย่างอับจนปัญญาเช่นเดียวกัน จากนั้นสะบัดมือออกไปครั้งหนึ่งพลังแสงรูปกระบี่พุ่งมุดหายเข้าไปภายในกำแพง จากนั้นภายในห้องโถงพลันปรากฏแสงสีทองส่องสว่างขึ้น พื้นห้องเริ่มสั่นไหวพร้อมกับแผ่นป้ายศิลาที่มีขนาดกว้างและสูงราวสองถึงสามเมตรปรากฏโผล่ขึ้นมาจากพื้น
“นี่คือปัญหาข้อแรก ถ้าหากตอบถูกปัญหาข้อที่สองถึงจะปรากฏออกมา ตอบผิดพลังแสงคมกระบี่ภายในแผ่นป้ายศิลาจะพุ่งออกมาสังหารเ้าในพริบตา!” ลู่ซีมองดูเย่ชิงหานที่มีสีหน้าขมขื่นจึงชี้นิ้วไปที่แผ่นป้ายศิลาแล้วพูดขึ้น
“อืม...”
เย่ชิงหานเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ด้านหน้าแผ่นป้ายศิลามองดูตัวอักษรที่อยู่้า แม้ตัวอักษรที่อยู่้าจะอ่านยากสักหน่อยแต่ก็ยังดีที่เป็ภาษาเดียวกันกับที่ใช้ในทวีปัเพลิง
“โจทย์ปัญหาข้อที่หนึ่ง... ผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตขุนพลเทพ์สามคนเดินทางไปทะเลแห่งดวงดารา พวกเขาเดินทางผ่านเกาะที่ไม่เคยหลับใหลได้เข้าไปพักยังโรงเตี๊ยมที่ไม่เคยหลับใหลซึ่งเป็โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดของเมือง ทำการจองห้องเข้าพักสามห้องโดยแต่ละคนจ่ายหินพลังเทวะไปคนละหนึ่งพันก้อนรวมทั้งหมดเป็สามพันก้อน แต่ว่าวันรุ่งขึ้นเถ้าแก่เ้าของโรงเตี๊ยมกลับพบว่าหนึ่งในผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตขุนพลเทพ์รู้จักกันกับเถ้าแก่เ้าของโรงเตี๊ยม ครั้นแล้วเขาจึงสั่งให้ลูกน้องคืนหินพลังเทวะกลับไปให้พวกเขาจำนวนห้าร้อยก้อน แต่ลูกน้องคนนี้กลับโลภยักยอกเอาไว้เองสองร้อยก้อนหินพลังเทวะ แล้วนำไปคืนให้ผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตขุนพลเทพเ่าั้คนละหนึ่งร้อยก้อนหินพลังเทวะ หากเป็เช่นนี้ก็หมายความว่าผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตขุนพลเทพ์ทั้งสามคนจ่ายหินพลังเทวะไปเพียงแค่คนละเก้าร้อยก้อนซึ่งรวมทั้งหมดเป็สองพันเจ็ดร้อยก้อน ส่วนที่ลูกน้องคนนั้นยักยอกไปสองร้อยก้อนเมื่อนับรวมกันทั้งหมดแล้วก็มีเพียงสองพันเก้าร้อยก้อนเพียงเท่านั้น แต่ตอนแรกที่ผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตขุนพลเทพ์ทั้งสามคนจ่ายไปเป็จำนวนถึงสามพันก้อนหินพลังเทวะ ดังนั้นคำถามจึงมีอยู่ว่าหินพลังเทวะอีกหนึ่งร้อยก้อนนั้นหายไปไหน?”
“…”
เย่ชิงหานอ่านโจทย์ปัญหาเสร็จอึ้งไปในทันที เขายังไม่ได้ตอบคำถามออกไปแต่หมุนตัวกลับมาเอ่ยถามขึ้นต่อลู่ซี “ท่านผู้าุโ ข้าขอถามอะไรสักหน่อยจะได้หรือไม่?”
ลู่ซีรู้สึกแปลกใจพร้อมกับพูดขึ้นด้วยความสงสัย “เ้าถามมาเถอะ ถ้าหากจะถามคำตอบก็ไม่จำเป็แล้วละ เพราะแม้แต่ข้าตอนนี้ก็ยังไม่รู้คำตอบต่อโจทย์ปัญหาข้อนี้เช่นกัน!”
“ข้าอยากจะถามว่าเทพผู้สร้างูเาสุสานทวยเทพเป็คนที่ไหน? และท่านผู้าุโเคยได้ยินชื่อโลกสีครามไหม? ก็คือโลกจักรวาลชั้นนอกโลกสีครามอะไรประมานนี้” ดวงตาของเย่ชิงหานปรากฏแสงแหลมคมขึ้นมา เฝ้ารอคำตอบที่อยากจะได้ยินว่า “ใช่ข้ารู้จัก” ที่ลู่ซีจะตอบออกมา
ด่านทดสอบย่อยของด่านที่สามก่อนหน้านี้คือ “เสาหินศิลาแห่งโชคชะตา” และโจทย์ปัญหานี้ทำให้เขานึกสงสัยขึ้นมาเป็อย่างมากว่าเทพผู้สร้างูเาสุสานทวยเทพอาจจะเป็ไปได้ว่ามาจาก...โลกสีคราม หรือไม่แน่ว่าอาจจะเคยไปโลกสีครามใบนั้นก็ได้ หรือไม่ก็เคยพบเจอกับคนที่มาจากโลกสีครามอย่างเขาก็เป็ได้
เพราะว่าเสาหินศิลาแห่งโชคชะตามันเหมือนกับเกมกู้ะเิที่ถูกดัดแปลงมาอยู่ในรูปของเสาหินศิลาเท่านั้นเอง ส่วนโจทย์ปัญหาข้อนี้ก็เป็แนวปัญหาลับสมองประลองปัญญาที่ฮิตกันในโลกสีครามที่จากมา เพียงแต่โจทย์ปัญหาเปลี่ยนเป็ตัวบุคคลและสิ่งของสถานที่ที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ภายในดินแดนแห่งเทพเสริมเข้ามาเพื่อให้ฟังดูยุ่งยากสับสนขึ้นเท่านั้นเอง แต่เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าผู้สร้างูเาสุสานทวยเทพจะใช่ผู้ที่มาจากโลกสีครามหรือไม่ เพราะขึ้นชื่อว่าเทพแล้วล้วนคิดและทำในสิ่งที่คาดเดาไม่ได้อยู่แล้ว สิ่งที่คิดว่ายากและไม่น่าจะเป็ไปได้สำหรับเทพแล้วอาจจะเป็เพียงเื่ที่ง่ายยิ่งกว่าดีดนิ้วมือขึ้นครั้งหนึ่งเสียด้วยซ้ำไป
“นายท่านผู้สร้างเป็คนที่ไหน? แน่นอนว่าต้องเป็คนของดินแดนแห่งเทพ! โลกสีคราม? โลกจักรวาลชั้นนอกโลกสีคราม? ไม่เคยได้ยินมาก่อน! โลกวัตถุสสารเหล่านี้มีอยู่เป็หมื่นๆ ล้านโลกจักรวาลข้าจะไปรู้หมดได้อย่างไรกัน? หรืออาจจะมีก็ได้ เ้าถามทำไมรึ?” ลู่ซีมองดูเย่ชิงหานด้วยความแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องถามคำถามแปลกประหลาดเหล่านี้ด้วย
“อ้อ...ไม่มีอะไร!” ได้ยินคำตอบของลู่ซีเย่ชิงหานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย โลกสีครามเป็บ้านเกิดของเขา แต่ถึงแม้จะรู้ว่ามีโลกสีครามอยู่จริงเขาก็ไม่ได้คิดที่จะกลับไป
เพราะเขาจากมาก็หลายปีแล้ว ไม่มีสิ่งใดๆ ให้คิดถึงคะนึงหาอีก แต่ทวีปัเพลิงแห่งนี้มีเื่ราวและผู้คนมากมายที่เขาคิดถึงและเป็ห่วงเป็ใย แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เคยมีชีวิตอยู่ที่โลกสีครามแห่งนั้นมาก่อนเป็เวลาถึงยี่สิบกว่าปี หากรู้ว่ามีและมีความสามารถเพียงพอละก็เขาก็อยากที่จะกลับไปเดินเล่นดูบ้างสักครั้ง...
แน่นอนว่าเื่นี้ยังเป็เื่อีกยาวไกลนัก เขาจึงหยุดความคิดเพ้อฝันลงแล้วถามคำถามต่อลู่ซีอีก “ท่านผู้าุโ ข้าจะตอบคำถามด้วยวิธีไหน? พูดตอบออกมาตรงๆ เลยหรือว่าเขียนลงไป?”
“อืม เ้าพูดต่อแผ่นป้ายศิลาว่า ‘คำตอบคือ’ จากนั้นพูดคำตอบออกมา ตอบเสร็จพูดต่อท้ายว่า ‘ตอบคำถามเสร็จสิ้น’ หลังจากนั้นแผ่นป้ายศิลาจะทำการประมวลผลคำตอบของเ้าออกมา เ้าคิดให้ดีๆ ก่อนตอบคำถาม หากตอบผิดเ้าได้จบเห่แน่!” ลู่ซีอธิบายขึ้นอีกครั้งพร้อมกับพูดย้ำเตือนขึ้น
“ขอบคุณผู้าุโ” เย่ชิงหานพยักหน้าตอบรับจากนั้นหันหน้ากลับไปพูดขึ้นต่อแผ่นป้ายศิลา “คำตอบคือ โจทย์ปัญหานี้เป็โจทย์ปัญหาเชาว์ ความจริงแล้วต้องทำการคิดคำนวณด้วยวิธีการเช่นนี้มากกว่า ผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตขุนพลเทพ์ทั้งสามคนความจริงแล้วใช้หินพลังเทวะจ่ายค่าที่พักกันเพียงแค่คนละเก้าร้อยก้อนเท่านั้น ซึ่งรวมกันทั้งหมดเป็สองพันเจ็ดร้อยก้อน ทีแรกเถ้าแก่เ้าของโรงเตี๊ยมรับไปสามพันก้อนแล้วคืนกลับมาให้ห้าร้อยก้อน เท่ากับว่าเขาได้รับสองพันห้าร้อยก้อน จากห้าร้อยก้อนที่คืนไปลูกน้องยักยอกไปสองร้อยก้อน เมื่อรวมกับของเถ้าแก่ที่ได้รับจึงเป็สองพันเจ็ดร้อยก้อน ซึ่งก็พอดีกับที่ผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตขุนพลเทพ์ทั้งสามจ่ายออกมาสองพันเจ็ดร้อยก้อน! ตอบคำถามเสร็จสิ้น!”
“กำลังประมวลผลของคำตอบ...ร้อยละเก้าสิบคล้ายคลึงกับคำตอบของท่านผู้สร้าง...เป็คำตอบที่ถูกต้อง!”
เย่ชิงหานตอบคำถามเสร็จแผ่นป้ายศิลาพลันบังเกิดเสียงพูดที่คล้ายกับเครื่องจักรดังขึ้นมา ต่อจากนั้นแผ่นป้ายศิลาค่อยๆ มุดกลับลงไปใต้พื้นห้องจนเลือนหายไป ผ่านไปไม่นานแผ่นป้ายศิลาแผ่นที่สองจึงค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากพื้นห้องอีกครั้ง
“ปัญหาเชาว์? สองพันห้า สองร้อย สองพันเจ็ด...เออใช่ ทำไมข้าคิดไม่ถึงนะ! ฮ่าๆ...น่าสนใจ น่าสนใจ!” เย่ชิงหานกำลังจ้องมองดูโจทย์ปัญหาข้อที่สองอยู่ ด้านหลังพลันบังเกิดเสียงร้องแปลกประหลาดของลู่ซีดังขึ้นมา ทำเอาเย่ชิงหานสะดุ้งใขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว!
ลู่ซีพยักหน้าออกมาอย่างต่อเนื่อง มองดูเย่ชิงหานด้วยสายตาที่ชมชอบมากยิ่งขึ้น อดไม่ได้ที่จะหัวเราะพร้อมกับเอ่ยปากชมเชย “เ้าหนู เ้าเฉลียวฉลาดมาก เ้าคิดได้อย่างไรกัน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอบออกมาได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้? อัจฉริยะมาก เป็เด็กที่อัจฉริยะจริงๆ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้