หนิงเทียนมองชายชุดขาว ใบหน้าของเขาค่อนข้างหล่อเหลา แต่สายตาน่าจะไม่ค่อยดีนัก ทั้งยังหัวเถิกไปหน่อย
“เขาคือลั่วไป๋ ขอบเขตรวบรวมขั้นเก้า่ปลาย ทั้งยังปลุกทักษะพิเศษสำเร็จแล้ว” หลินเสี่ยวซินเอ่ยเสียงแ่
“ขอบเขตรวบรวมขั้นเก้าอีกแล้วหรือ? ไม่มีผู้ใดต่ำกว่านี้เลยหรือ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเสี่ยวซินก็กลอกตาอย่างไม่พอใจ ชายผู้นี้โง่หรือถึงถามเช่นนี้ออกมา?
“ที่แท้ก็แค่คนโง่ผู้หนึ่ง ตลกยิ่งนัก พวกเ้าไปหาคนเช่นนี้มาจากที่ใด?” ลั่วไป๋หัวเราะเยาะ ความหงุดหงิดในใจของเขามลายหายสิ้น มีผู้ใดอยากเถียงกับคนโง่บ้างเล่า?
หนิงเทียนไม่พอใจอย่างมาก เ้าหนุ่มหน้าขาวผู้นี้พูดภาษามนุษย์ไม่ได้หรือ? แล้วการแสดงออกของหลินเสี่ยวซินนั้นหมายความว่าอย่างไร? นางไม่เคยเห็นคนหน้าตาดีหรือ?
“เ้าโง่ มีเพียงผู้อยู่ในขอบเขตรวบรวมขั้นเก้าเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่ยอดเขาิเฟิงได้ หากผู้มีขอบเขตสูงเข้ามาก็ย่อมพบเพียงความตาย หรือหากขอบเขตต่ำกว่านี้ก็ไม่รอดเช่นกัน” หลินเสี่ยวซินตอบคำถามของหนิงเทียนอย่างอับอาย เขากล้าเข้ามาในที่แห่งนี้โดยที่ไม่รู้แม้กระทั่งเื่สามัญหรือ?
“เช่นนี้นี่เอง” หนิงเทียนรู้สึกไม่พอใจมากยิ่งขึ้น เขาถูกอาจารย์หลอกอีกแล้ว!
ขอบเขตรวบรวมที่นางกล่าวถึงแท้จริงก็คือขอบเขตรวบรวมขั้นเก้าทั้งสิ้น นี่ไม่ใช่การหลอกลวงจริงหรือ?
นอกจากนี้ขอบเขตรวบรวมขั้นเก้ายังแบ่งออกเป็สี่่ ได้แก่ ่ต้น ่กลาง ่ปลาย และ่สมบูรณ์ ซึ่งทักษะพิเศษจะตื่นขึ้นในขอบเขตรวบรวมขั้นเก้า่ปลายเท่านั้น
่ต้นถึง่กลางเป็่สะสมพลังิญญา ส่วน่กลางถึง่ปลายเป็่ปลุกทักษะพิเศษ และ่ปลายถึง่สมบูรณ์จะเป็การฝึกฝนทักษะและเพิ่มความเชี่ยวชาญ
ลั่วไป๋อยู่ในขอบเขตรวบรวมขั้นเก้า่ปลายทั้งยังปลุกทักษะได้แล้ว ดังนั้น เขาจึงแข็งแกร่งกว่าพวกหลินเสี่ยวซินมาก
เมื่อมองคนทั้งสี่ที่ร้องครวญอยู่บนพื้น หนิงเทียนจึงถามอีกว่า “พวกเ้าทุกคนอยู่ในขอบเขตรวบรวมขั้นเก้า่ต้นหรือ?”
“กลุ่มข้ามีขอบเขตรวบรวมขั้นเก้า่ปลายสองคนและ่กลางสามคน แต่กลุ่มของลั่วไป๋มีขอบเขตรวบรวมขั้นเก้า่สมบูรณ์หนึ่งคน ส่วนอีกสี่คนอยู่ใน่ปลาย ดังนั้น...”
“โอ้!” หนิงเทียนอุทานด้วยความใและกำลังจะถามต่อ แต่ลั่วไป๋ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว
“ไปให้พ้นเ้าพวกโง่! พวกเ้าไม่ได้ยินหรือ?”
หลินเสี่ยวซินยิ้มอย่างขมขื่น นางมองสหายทั้งสี่ก่อนจะพูดกับหนิงเทียน “ไปกันเถอะ อย่ายั่วโมโหเขาเลย”
สีหน้าของหนิงเทียนเริ่มเ็า คนผู้นี้กล้าเรียกเขาว่าเ้าโง่ คิดว่าเขารังแกได้ง่ายหรือ?
“รากบ่มเพาะแลกหินิญญาได้เท่าใด?” หนิงเทียนมองหลินเสี่ยวซินและไม่สนใจลั่วไป๋ราวกับเขาเป็อากาศธาตุ
“นั่นเป็รากบ่มเพาะระดับสุวรรณขั้นสูง มูลค่าอย่างน้อยก็หินิญญาพันก้อน”
“อะไรนะ? หินิญญาพันก้อน!” หนิงเทียนกัดฟันแน่น อาจารย์ช่างเ้าอุบายยิ่งนักที่ให้เขาเพียงหินิญญาสองก้อน นี่มันกลั่นแกล้งกันชัดๆ
หลินเสี่ยวซินกล่าวต่ออีกว่า “รากบ่มเพาะแบ่งออกเป็สี่ระดับ ได้แก่ ์ ปฐี นิลกาฬ และสุวรรณ โดยแต่ละระดับจะมีสามขั้น คือ สูง กลาง และต่ำ ราคาท้องตลาดของรากบ่มเพาะระดับสุวรรณขั้นต่ำคือหินิญญาสิบก้อน ขั้นกลางคือร้อยก้อน และขั้นสูงคือพันก้อน”
ให้ตายเถอะ ข้าเกือบถูกหลอกแล้ว
หนิงเทียนบ่นในใจ ท่านอาจารย์ช่างอำมหิตนัก
“รากบ่มเพาะระดับนิลกาฬเล่า?”
“รากบ่มเพาะระดับนิลกาฬค่อนข้างหายาก ราคาขั้นต่ำคือห้าพันก้อน ขั้นกลางสองหมื่นก้อน และขั้นสูงสามารถแลกหินิญญาได้มากกว่าแสนก้อน”
หนิงเทียนตกตะลึงเมื่อพบว่ารากบ่มเพาะมีมูลค่ามากเพียงใด “ละ...แล้วรากบ่มเพาะระดับปฐี?”
“ไม่มีผู้ใดขายรากบ่มเพาะระดับปฐีหรอก มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้อยู่ในขอบเขตรวบรวมจะถือครองได้”
หินิญญา เป็ทรัพยากรการบำเพ็ญทั่วไปสำหรับผู้บำเพ็ญขอบเขตรวบรวม โดยพลังิญญาที่สถิตในหินิญญาหนึ่งก้อนมีพลังเทียบเท่าการดูดซับพลังิญญาครึ่งเดือน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ หินิญญาหนึ่งก้อนมีพลังเท่ากับการฝึกฝนของผู้บำเพ็ญขอบเขตรวบรวมครึ่งเดือนนั่นเอง
หินิญญาจำนวนยี่สิบสี่ก้อนก็เทียบเท่าการบำเพ็ญหนึ่งปี แล้วหินิญญาหนึ่งพันก้อนเล่า?
เมื่อคิดได้ดังนี้ ดวงตาของหนิงเทียนก็สว่างวาบ หากเขาได้รับรากบ่มเพาะระดับสุวรรณขั้นสูง จะไม่เทียบเท่าการบำเพ็ญสี่สิบปีเลยหรือ?
“ข้า้ารากบ่มเพาะชิ้นนี้”
รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนิงเทียน เขาได้พบรากบ่มเพาะระดับสุวรรณขั้นสูงทันทีที่ก้าวเข้ามาในูเา ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้
“เ้ามีหินิญญาบ้างหรือไม่?”
“เ้าคิดจะทำอะไร?” หลินเสี่ยวซินถามอย่างระแวดระวัง
“ข้าแค่อยากเห็น ข้าไม่เคยเห็นหินิญญามาก่อน เกรงว่าหากพบในภายหลังแล้วจะไม่รู้จัก”
หลินเสี่ยวซินตอบอย่างลังเล “ข้ามีหินิญญาเพียงก้อนเดียว เ้าทำได้เพียงมองเท่านั้น ห้าม...อ๊ะ! เอาคืนมานะ!”
เพียงหลินเสี่ยวซินหยิบหินิญญาออกมา หนิงเทียนก็คว้ามันไปก่อนนางจะพูดจบ
“ที่แท้ก็มีลักษณะเช่นนี้ ช่างเล็กเหลือเกิน”
หินิญญาทั่วไปมีขนาดประมาณหนึ่งนิ้วโป้ง รูปร่างกลมรีคล้ายไข่ และแข็งเหมือนหยก
ดวงตาหนิงเทียนเริ่มเป็ประกาย เมื่อเพ่งดูหินิญญาเขาก็เห็นพลังิญญาที่กระจายอยู่ในหินก้อนนี้ บางส่วนถูกดูดซับไปแล้ว ซึ่งอาจเป็หลินเสี่ยวซินที่ดูดซับเข้าไป
เส้นลมปราณในร่างของเขาเริ่มเคลื่อนไหว และความหิวโหยก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อไม่อาจยับยั้งความหิวได้อีกต่อไป เขาจึงคิดในใจว่าขอดูดซับพลังสักหน่อย ทว่าเส้นลมปราณทั้งเก้ากลับสั่นะเืราวัสูบน้ำ และพลังิญญาในหินก็ลดลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“วิเศษเหลือเกิน!” หนิงเทียนรู้สึกว่าการบำเพ็ญโดยดูดซับพลังหินิญญารวดเร็วกว่าการบำเพ็ญโดยดูดซับพลังิญญาทั่วไปเกือบร้อยเท่า
หลินเสี่ยวซินเอื้อมมือคว้ามันกลับไป แต่หนิงเทียนก็โยนหินของนางทิ้ง
“พวกเ้าสี่คนจงมอบหินิญญาทั้งหมดให้ข้า”
“เ้าเด็กบ้า เ้า...โอ๊ะ! เอาคืนมานะ!”
หนิงเทียนปล้นหินิญญาจากสหายของหลินเสี่ยวซิน ทว่าพวกเขามีคนละหนึ่งก้อนเท่านั้น รวมแล้วก็มีเพียงห้าก้อน ซึ่งทำให้หนิงเทียนค่อนข้างผิดหวัง
“เ้าคนหน้าขาว ส่งหินิญญาของเ้ามา”
“เ้าโง่! เ้าอยากตายหรือ?” ลั่วไป๋ออกลูกเตะต่อเนื่อง เขาเหวี่ยงขาทั้งสองข้างไปมาราวกับสายแส้ และไม่สนใจหนิงเทียนแม้แต่น้อย
“นี่คือขอบเขตรวบรวมขั้นเก้า่ปลายหรือ?” หนิงเทียนค่อนข้างสับสน ลูกเตะต่อเนื่องของลั่วไป๋เต็มไปด้วยช่องโหว่ ทั้งยังอ่อนแอและไร้พลังจนเหมือนกำลังเตะยุง กล่าวสั้นๆ ได้เพียงไม่ได้เื่
ทันใดนั้นหนิงเทียนก็บิดมือขวา เงาดอกไม้บานสะพรั่งที่ปลายนิ้วของเขาแล้วคว้าขาซ้ายของลั่วไป๋ได้อย่างง่ายดาย
“เฮ้ย! ปล่อยนะ อั๊ก!” ลั่วไป๋ะโด้วยความโกรธ ก่อนจะล้มหัวคะมำลงแนบพื้น เขาเ็ปจนแทบหลั่งน้ำตา
หนิงเทียนจับเท้าของเขาไว้ราวกับจะรังแก “เอาน่า ทำตัวดีๆ แล้วส่งถุงมิติมา”
พูดจบหนิงเทียนก็ดึงถุงมิติจากเอวของลั่วไป๋แล้วเหวี่ยงเขาออกไป
หลินเสี่ยวซินทำหน้าราวกับเจอผีเมื่อเห็นการกระทำเช่นนี้ นางคิดว่าตนเห็นภาพหลอนจนต้องขยี้ตาแรงๆ
“หินิญญาสองก้อน? ไม่เลวเลย น่าเสียดายที่ไม่มีรากบ่มเพาะ”
หนิงเทียนรื้อถุงมิติแล้วหยิบของออกมาทีละชิ้น
“สิ่งนี้น่าจะขายได้เงินจำนวนหนึ่ง”
หลินเสี่ยวซินพูดไม่ออก นี่คือการปล้นชัดๆ!
ลั่วไป๋พยายามลุกขึ้น เขาคำรามแล้วพุ่งใส่หนิงเทียน ก่อนจะเรียกใช้ทักษะพฤกษาเพิ่มพูนของตน ซึ่งสามารถเพิ่มพลังได้เป็สองเท่า นับว่าเป็ทักษะที่ค่อนข้างดี
“ยังจะเข้ามาอีก พูดไม่รู้ฟังเสียจริง” หนิงเทียนมองลั่วไป๋ที่กำลังออกหมัดขวาด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว หมัดของเขาอัดแน่นไปด้วยพลัง ซึ่งเป็ลักษณะเด่นของทักษะพฤกษาเพิ่มพูน
เดิมที หนิงเทียนคิดจะสกัดจุดลมปราณตรงข้อมือแล้วเหวี่ยงเขาทิ้งอีกครั้ง แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เปลี่ยนใจแล้วใช้ฝ่ามือรับหมัดของลั่วไป๋ไปตรงๆ
นั่นเป็หมัดที่ลั่วไป๋ใส่กำลังทั้งหมดลงไป เมื่อผนวกกับทักษะพฤกษาเพิ่มพูนแล้วพลังจะเพิ่มเป็สองเท่า ซึ่งคนส่วนใหญ่ย่อมไม่อาจทนความรุนแรงนี้ได้
“เ้าทึ่ม หลบเร็ว!” หลินเสี่ยวซินร้องเตือนไม่ให้หนิงเทียนตั้งรับ
ลั่วไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้มดุร้าย “บังอาจดูิ่ข้า ดูสิว่าข้าจะจัดการเ้าอย่างไร เอ๊ะ! นะ...นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
พลังหมัดของลั่วไป๋ถูกหนิงเทียนรับไว้ได้ทั้งหมด อีกทั้งแรงกระแทกครั้งใหญ่นี้ยังทำให้แขนของเขาชาด้วย ทว่าหนิงเทียนกลับไม่เป็อะไรเลย
“พลังน้อยนิดเช่นนี้ตบยุงยังไม่ตายเลย เ้าไม่ได้กินข้าวมากี่วันแล้ว?” เขาคิดว่าหมัดจากความโกรธของลั่วไป๋จะทรงพลังกว่านี้ แต่กลับต้องผิดหวัง
อย่างไรเสีย ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ได้รับสิ่งใดเลย หลังจากคว้ากำปั้นของอีกฝ่ายไว้ได้ เขาก็พบกับเื่น่าประหลาดใจ เส้นลมปราณทั้งเก้าของลั่วไป๋ผอมแห้งราวไส้เดือนดิน ปริมาณพลังิญญาที่กักเก็บไว้ก็น้อยจนน่าสงสาร
ส่วนเส้นลมปราณทั้งเก้าของหนิงเทียนนั้นใหญ่โตราวกับัในแม่น้ำ และใหญ่กว่าของลั่วไป๋อย่างน้อยหมื่นเท่า
ความต่างนี้ช่างน่าพิศวงนัก เขาจึงตระหนักได้ว่าเส้นลมปราณฟ้าประทานทั้งเก้านั้นวิเศษมากเพียงใด
รากฐานของทั้งสองราวกับคนหนึ่งมาจากดิน ขณะที่อีกคนมาจากฟ้า
ลั่วไป๋ทั้งใทั้งโกรธ เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนโง่ในสายตาของตนจะทรงพลังถึงเพียงนี้
หนิงเทียนเหวี่ยงร่างลั่วไป๋ทิ้งแล้ววิ่งไปยังตำแหน่งของรากบ่มเพาะที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่จั้ง
“เฮ้! รอข้าด้วย” เมื่อหลินเสี่ยวซินได้สติก็รีบไล่ตามเขาไป
ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามประหลาดสนั่นขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยผู้จู่โจมอย่างกะทันหันซึ่งเป็พรรคพวกของลั่วไป๋
หนิงเทียนเหลือบมองอย่างเ็า ประสาทััทั้งหกของเขาเฉียบแหลม ภายในระยะร้อยจั้งนี้ไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดสายตาเขาไปได้
“ผู้ใดโจมตีข้าล้วนต้องถูกปล้น!”
ทั้งสองคนอยู่ในขอบเขตรวบรวมขั้นเก้า่ปลาย ความแข็งแกร่งจึงไม่แตกต่างจากลั่วไป๋มากนัก
หนิงเทียนใช้กระบวนท่าทะยานหลงเงาตัดผกาอีกครั้ง พลังิญญาเบ่งบานอย่างช้าๆ บนปลายนิ้วเรียว ดอกไม้ทั้งห้าหมุนวนอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
เกิดเสียงดังปังสองครั้ง ตามมาด้วยเสียงคำรามและเสียงกรีดร้อง สหายทั้งสองของลั่วไป๋ถูกปล้น ก่อนจะถูกขว้างไปไกลกว่าสิบจั้ง
“เ้าเด็กแสบ เ้า...เฮ้ย!”
พรรคพวกร่างกำยำอีกร่างหนึ่งพุ่งตรงมา แต่เขาก็ถูกกระแทกล้มก่อนจะเข้าถึงตัวหนิงเทียน และถูกปล้นถุงมิติไปเช่นกัน
...
เมื่อหลินเสี่ยวซินตามหนิงเทียนได้ทัน นางก็เห็นเขากับคนชุดขาวผู้หนึ่งกำลังยืนจ้องหน้ากันด้วยความห่างไม่ถึงหนึ่งจั้ง
คนผู้นี้มีนามว่าลั่วซิง เป็ผู้อยู่ในขอบเขตรวบรวมขั้นเก้า่สมบูรณ์และกำลังจะเลื่อนขึ้นไปขอบเขตจิตหยั่งลึก เป็ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาห้าคนนั้น และแกร่งกว่าลั่วไป๋อย่างน้อยสองเท่า
แสงกระบี่เย็นส่องประกายในมือของลั่วซิงช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ทว่าสิ่งที่สายตาของหนิงเทียนจับจ้องนั้นไม่ใช่กระบี่ แต่เป็รากบ่มเพาะในมือของอีกฝ่าย
นั่นคือรากพฤกษาที่แผ่ความผันผวนชวนพิศวง ทั้งยังเป็รากบ่มเพาะระดับสุวรรณขั้นสูงด้วย
ลั่วซิงสังเกตเห็นการจ้องมองของหนิงเทียนจึงคำรามลั่น “หากไม่อยากตายจงออกไปเสีย! ไม่เช่นนั้นก็อย่าโทษที่กระบี่ของข้าไร้ปรานี!”
ใบหน้าของหลินเสี่ยวซินซีดเซียวด้วยความกังวล ก่อนจะเตือนหนิงเทียนว่า “ระวังทักษะคมกระบี่ใบหญ้าของเขาด้วย เขาแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ศิษย์ฝ่ายนอก”
แข็งแกร่ง?
หนิงเทียนไร้ซึ่งความหวั่นเกรง ยามนี้เขาถูกรากบ่มเพาะซึ่งมีมูลค่าเท่ากับหินิญญาพันก้อนดึงดูดไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
“ทิ้งหินิญญาและรากบ่มเพาะไว้ ไม่เช่นนั้นเ้าจะถูกเปลื้องผ้าแล้วห้อยไว้บนต้นไม้”
ลั่วซิงยิ้มเยาะ “คนอย่างเ้าหรือ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้