“ห้องของเธอห้อง 307 นะ ขึ้นไปหาเตียงที่ไม่มีคนเองแล้วกัน”
“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่ ฉันรับทราบแล้ว รุ่นพี่ไปทำงานต่อตามสะดวกเถอะค่ะ!”
จ้าวซีรีบร้อนจากไป เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็รบกวนคนอื่นเขามากแล้ว จึงไม่้ารบกวนคนเขาอีก วันนี้จ้าวซีต้องดูแลนักเรียนใหม่จำนวนมาก
กุญแจในมือติดด้วยป้ายเลข ‘307’ และตรามหาวิทยาลัยของหัวชิงด้วย
“นี่คือรายงานตัวแล้ว?”
พอเห็นผู้คนหนาแน่น เมื่อครู่หลี่เฟิ่งเหมยกับหลิวเฟินต่างไม่พูดไม่จา แน่นอนว่าคะแนนของเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ในระดับยอดเยี่ยมของเกาเข่า 617 คะแนนและเป็อันดับสามของทั่วประเทศ แต่ใต้คะแนนนี้ จำนวนคนที่ได้คะแนนรวม 600 คะแนนทั่วประเทศก็มีไม่น้อย การที่พวกเขาคะแนนน้อยกว่าเซี่ยเสี่ยวหลาน ไม่ใช่เพราะโง่กว่าเซี่ยเสี่ยวหลาน อาจเป็เพียงความแตกต่างของโจทย์ปรนัยสองสามข้อ คว้ามาสักหยิบหนึ่งล้วนเป็นักเรียนดีเด่นทั้งนั้น
มีคนสอบติดมหาวิทยาลัยหัวชิงเยอะขนาดนี้ หลี่เฟิ่งเหมยก็ไม่กล้าพูดว่าหลานสาวของตนฉลาดที่สุดอีกต่อไป ขณะลงทะเบียนเข้าเรียนเธอจึงสงบเสงี่ยมเจียมตัวเหลือเกิน
“ไปเถอะ พวกเราขึ้นไปข้างบนกัน”
สำหรับหอพักมหาวิทยาลัย ใครไปเร็ว คนนั้นก็ชิงตำแหน่งดีได้ เซี่ยเสี่ยวหลานนึกว่าตนมาเร็วมากแล้ว นึกไม่ถึงว่าพอเข้าไป มีสามเตียงที่ถูกคนจับจองเรียบร้อย
“ขอถามหน่อยนะ ที่นี่คือห้อง 307 ใช่ไหม?”
“เข้ามาสิ นี่ห้อง 307 เธอเรียนสาขาอะไรหรือ?”
เด็กสาวใบหน้าเหลี่ยมคนหนึ่งในห้องเอ่ยปากถามทันที รูปร่างของเธอไม่เตี้ย ตัวก็ไม่อ้วน ทว่าโครงกระดูกใหญ่ ไหล่กว้างและใบหน้าเหลี่ยม ดูกระฉับกระเฉงปราดเปรียวมาก บุคลิกของเ้าตัวก็สอดคล้องกับภายนอกจริงๆ เป็คนที่ร่าเริงสดใสยิ่งนัก
“สาขาสถาปัตยกรรม ห้องพวกเรายังมีสาขาอื่นอีกหรือ?”
หญิงสาวหน้าเหลี่ยมหัวเราะทันที “ก็ฉันนี่แหละ วิศกรรมโยธา ได้ยินว่าสาขาพวกเธอปีนี้รับนักศึกษาหญิงทั้งหมด 15 คนสินะ”
ดังนั้นนักศึกษาหญิงของสาขาสถาปัตยกรรมน้อยจนบรรจุในหอนอนสำหรับ 8 คนสองห้องไม่เต็มด้วยซ้ำ และต้องย้ายนักศึกษาหญิงสาขาวิศกรรมโยธาคนหนึ่งมาพักด้วยกัน เซี่ยเสี่ยวหลานเรียนห้องสอง หลักสูตรปริญญาตรีสาขาวิชาสถาปัตยกรรมของหัวชิงในปีนี้มีทั้งหมด 3 ห้อง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีนักศึกษาร้อยกว่าคนนี่นา มีนักศึกษาหญิงทั้งหมด แค่ 15 คนเองหรือ?
อัตราส่วนระหว่างชายหญิงนี้ทำให้หลิวเฟินค่อนข้างกังวลใจน่ะสิ
สาขาที่เสี่ยวหลานเลือกนี้ ไม่เหมาะกับผู้หญิงใช่หรือไม่? ทำไมถึงได้มีนักศึกษาหญิงน้อยถึงเพียงนี้
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็คือหนึ่งในสิบห้าของสาขาสถาปัตยกกรมปีนี้แล้วล่ะ รู้จักกันอย่างเป็ทางการหน่อยดีกว่า เซี่ยเสี่ยวหลาน คนอวี้หนาน นี่คือแม่ฉัน ป้าสะใภ้ และลูกพี่ลูกน้องของฉัน”
“ไอ้หยา สวัสดีคุณน้าทั้งสองค่ะ น้องชายก็เหมือนกัน! ฉันชื่อหยางหย่งหงจากมณฑลจี้เป่ย [1] พวกเราเป็กึ่งสหายร่วมบ้านเกิดด้วยนะ แต่เธอพูดไม่มีสำเนียงถิ่นเลย”
อวี้หนานและจี้เป่ย ระหว่างสองมณฑลคั่นด้วยแม่น้ำจาง วิถีชีวิตและธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นละม้ายคล้ายคลึงกันมาก ถือว่าเป็กึ่งคนบ้านเดียวกันได้จริงๆ หากจะเดินทางจากมณฑลอวี้หนานเข้าปักกิ่ง อย่างไรรถไฟก็ต้องผ่านอาณาเขตภายในของมณฑลจี้เป่ยอยู่ดี
ด้วยความสัมพันธ์กึ่งสหายร่วมบ้านเกิดนี้ หยางหย่งหงจึงเป็มิตรต่อเซี่ยเสี่ยวหลานมาก
แรกเริ่มที่เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าห้องมา หยางหย่งหงก็ใเหมือนกัน หน้าตาสวยคือหนึ่งปัจจัย แต่บุคลิกนั่นราวกับคุณหนูคนโตของครอบครัวร่ำรวยที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน เธอยังกังวลเลยว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะผูกมิตรด้วยยาก พอทุกคนสนทนากันไม่กี่ประโยค ก็รู้ได้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้มีนิสัยถือตัวเหนือใครแบบนั้น
เซี่ยเสี่ยวหลานมาถึงห้อง 307 เป็ลำดับที่ 4 หยางหย่งหงจึงบอกให้เซี่ยเสี่ยวหลานรีบเลือกเตียง หยางหย่งหงเลือกเตียงชั้นล่าง เธอบอกว่าถ้าตนนอนชั้นบนก็กลัวจะพลิกตัวร่วงลงจากเตียงมากลางดึก
เพื่อนร่วมห้องที่ยังไม่พบหน้าอีกสองคนเลือกเตียงติดหน้าต่างสองที่ไปแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานจึงเลือกเตียงที่อยู่หลังประตู จากนั้นหยางหย่งหงก็เตือนเธอให้เลือกตู้เก็บของ “ใน 8 ตู้จะมีอยู่หลายตู้ที่ตัวล็อกพัง ฉันว่าต้องตามคนมาซ่อมอีก แต่เธอโชคดีจริงๆ นะ คนในครอบครัวมารายงานตัวเป็เพื่อนเธอเยอะแยะขนาดนี้ ตั๋วรถจากอวี้หนานถึงปักกิ่งคงไม่ถูกใช่ไหม...”
หยางหย่งหงมีนิสัยตรงไปตรงมายิ่งนัก อีกทั้งเป็พวกสนิทสนมกับคนอื่นได้ง่าย
เซี่ยเสี่ยวหลานยังปูเตียงไม่เสร็จดี หยางหย่งหงก็เล่าเื่ราวเกี่ยวกับตนเองเกือบครบถ้วนแล้ว บอกว่าจี้เป่ยอยู่ใกล้ปักกิ่ง ที่บ้านไม่มีใครมารายงานตัวกับเธอสักคน เธอจึงนั่งรถมากับคนบ้านเดียวกันอีกคนที่สอบเข้าเรียนในปักกิ่ง พอถึงสถานีรถไฟปักกิ่งก็ถูกรถประจำมหาวิทยาลัยของหัวชิงที่รออยู่พามายังมหาวิทยาลัย ทำให้เื่รายงานตัวอะไรไม่ล่าช้าแม้แต่นิดเดียว
“โอ้โห ตอนนั่งรถไฟทั้งตู้คือนักศึกษาที่สอบเข้าเรียนในปักกิ่ง คนนั่งด้านหลังฉันคือนักศึกษาปริญญาโทของจิงต้า รุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งเยื้องกันเป็นักศึกษาปริญญาเอกของหัวชิง...”
ดูออกได้ง่ายดายมากว่าหยางหย่งหงรู้จักคนมากมายั้แ่อยู่บนรถ
เซี่ยเสี่ยวหลานมารายงานตัวล่วงหน้า พลาดอะไรดีๆ ไปหลายอย่างทีเดียว อย่างน้อยก็ไม่ได้พบกับ ‘ตู้รถนักศึกษา’ อันแสนโด่งดัง
แต่เธอเองก็ไม่รีบร้อน ยังมีเวลาอีกสี่ปี... โอ้ไม่สิ ยังมีเวลาอีก 5 ปีที่เธอสามารถค่อยๆ ทำความรู้จักกับเพื่อนนักศึกษาแต่ละสาขาได้ หลักสูตรปริญญาตรีสาขาวิชาสถาปัตยกรรมหัวชิงเป็ระบบศึกษาห้าปี เซี่ยเสี่ยวหลานมักจำปะปนกันเสมอ นี่คือผลพวงจากการเรียนมหาวิทยาลัยสองหน อาจจำเื่บางเื่สับสนกันได้
เซี่ยเสี่ยวหลานจัดเตียงเสร็จเรียบร้อย และไม่้ารอเพื่อนร่วมห้องที่เหลือ เธอถามหยางหย่งหงทันทีว่าจะไปรับประทานอาหารด้วยกันหรือไม่
หลิวเฟินและหลี่เฟิ่งเหมยก็ชวนเธอ หยางหย่งหงกลับส่ายหน้า “ไม่ต้องไม่ต้อง เธอกับพวกคุณน้าไปกันเถอะ ฉันพกปิ่งสองอันมาจากบ้าน ถ้าไม่กินตอนนี้ต้องเสียแน่”
พอออกมาหลี่เฟิ่งเหมยก็พยักหน้า “เด็กนักเรียนพวกนี้อัธยาศัยดีทีเดียวนะ คนที่อยู่ในห้องพักนี่น่ะ ไม่ใช่คนชอบเอาเปรียบคนอื่นแน่นอน”
แค่เห็นเสื้อผ้าและเครื่องนอนของหยางหย่งหงก็รู้ได้ว่าฐานะทางบ้านของเธอไม่ดีนัก การชวนเธอไปกินข้าวด้วยกันย่อมไม่ให้หยางหย่งหงจ่ายเงินแน่นอน เนื่องจากด้านเซี่ยเสี่ยวหลานมีผู้ใหญ่อยู่ด้วย หายากมากที่คนเขาจะไม่ฉวยโอกาสนี้ และหายากยิ่งกว่าที่จะตอบกลับอย่างไม่ใจคอคับแคบ เซี่ยเสี่ยวหลานต้องใช้ชีวิตร่วมห้องกับเด็กสาวเช่นนี้หลายปี สภาพจิตใจย่อมเบิกบานไปด้วย
ยังไม่เคยเจอเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ หวังว่าพวกเธอจะมีแต่ความสดใสดั่งหยางหย่งหง หากเป็เช่นนั้นในชีวิตมหาวิทยาลัยห้าปีนี้ ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังแล้ว!
หลังลงทะเบียนเข้าเรียน ตอนบ่ายเซี่ยเสี่ยวหลานต้องพาหลิวเฟินกับหลี่เฟิ่งเหมยไปขึ้นกำแพงเมืองจีน และขึ้นรถไฟเที่ยวกลับซางตูตอนสองทุ่ม ทิ้งธุรกิจร้านเสื้อผ้าในซางตูมาหลายวัน หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินต่างเป็ห่วง อีกอย่างโรงเรียนประถมของซางตูส่วนใหญ่เปิดภาคเรียนในวันที่ 1 กันยายน รถไฟสองทุ่มคืนนี้ พรุ่งนี้ก็ถึงซางตู และพอดีกับส่งหลิวจื่อเทาไปรายงานตัวที่โรงเรียน
ถ่ายภาพขณะเดินชมพระราชวังต้องห้ามและปีนกำแพงเมืองจีนมามากมาย เซี่ยเสี่ยวหลานจองฟิล์มทั้งม้วนจากกล้องถ่ายรูปของคนอื่นไว้ พอถ่ายเสร็จย่อมล้างออกมาเป็ภาพได้
----------------------------------------
ณ ตระกูลโจว
โจวเฉิงกลับไปแล้วก็จริง ทว่ากวนฮุ่ยเอ๋อยังคงโดนปู่โจวอบรมอีกหนึ่งรอบ
ปู่โจวไม่ทำให้ลูกสะใภ้ลำบากใจโดยใช่เหตุ ป้าสะใภ้ของโจวเฉิงเป็แบบนั้น แม้ปู่โจวไม่ชอบก็ไม่คิดจะว่ากล่าวอยู่ดี
ดังนั้นจึงจินตนาการได้เลยว่าพ่อเฒ่าโจวโกรธมากเพียงใด เขาคิดว่านิสัยของโจวเฉิงเกี่ยวข้องกับกวนฮุ่ยเอ๋ออย่างแน่นอน ตอนโจวเฉิงยังเด็ก กวนฮุ่ยเอ๋อไม่อยากทิ้งงาน ให้แม่บ้านเลี้ยงดูเขาแทน ต่อมากวนฮุ่ยเอ๋อออกจากการเป็แพทย์และเข้าสู่งานในกระทรวงสาธารณสุข จากตำแหน่งใช้ทักษะกลายเป็ตำแหน่งบริหาร ถึงมีเวลาว่างที่จะพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์กับโจวเฉิง
ตอนนั้นโจวเฉิงอายุสิบกว่าปีเข้าไปแล้ว ยังทันหรือ?
การชดเชยของกวนฮุ่ยเอ๋อก็คือการตามใจโจวเฉิงสุดชีวิต
การที่โจวเฉิงมีนิสัยหยิ่งผยองจองหองเช่นนี้ ปู่โจวเชื่อว่าเป็เพราะโจวกั๋วปินและกวนฮุ่ยเอ๋อเป็พ่อแม่ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีพอ!
คนหนึ่งเข้มงวดเกินไป อีกคนตามใจเกินไป จะให้โจวเฉิงไปทำความเคยชินกับสองความสุดโต่งนี้ได้อย่างไร?
กวนฮุ่ยเอ๋อรู้สึกทุกข์ใจมาก เธอจึงระบายความอัดอั้นต่อพ่อเฒ่าโจว
“เมื่อก่อนโจวเฉิงเขาก็ไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางแบบนี้นะคะ ผู้หญิงที่เขาคบอยู่คนปัจจุบันนี่รูปร่างหน้าตาโดดเด่นเกินพอดี ไปที่ไหนก็สร้างปัญหาได้ง่าย เื่ของฝานเจิ้นชวนที่อวี้หนานอะไรนั่น ฉันยังไม่รู้เื่เลยแม้แต่น้อย... คุณพ่อ คุณพ่อว่าในเมื่อทุกวันนี้หลานกลายเป็แบบนี้แล้ว ยังปล่อยให้เขาคบกับเซี่ยเสี่ยวหลานได้อีกหรือคะ!”
เชิงอรรถ
[1]冀北 จี้เป่ย คือ มณฑลเหอเป่ยในปัจจุบัน