ให้ตายเถอะ ชายผู้สูงเจ็ดฉื่อ รูปร่างสูงใหญ่กว่าคนปกติทั่วไป คนที่มีใบหน้าดุดันโเี้ เรียกคนอายุสิบห้าปีคนหนึ่งว่าพี่ใหญ่หรือ?
คงจะไม่มีใครที่จะรู้สึกเฉยๆ กับเื่นี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง... การยกย่องให้เป็พี่ใหญ่...
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี่ก็ไม่ใช่คนธรรมดา ไม่นานเขาก็สงบนิ่งลง และมองสำรวจไปทั่วกายของสยงท่าเทียน พร้อมถามอย่างสงสัย “สยงท่าเทียน เ้าอายุเท่าไรหรือ?”
“ข้าขอนับก่อนนะ ข้าอยู่บ้านมาได้หนึ่งร้อยสิบปี และออกจากตระกูลมาเป็เวลาเกือบสองปีแล้ว พี่ใหญ่ ข้ายังอายุไม่ถึงสิบเอ็ดปีครึ่งเลย” สยงท่าเทียนยกนิ้วขึ้นนับ
ขณะที่ฉินอวี่กำลังตกตะลึง เสียงอันเ็าก็ดังขึ้น
“การนับอายุของเขาแตกต่างจากพวกเรา เวลาสิบปีของพวกเขาถูกนับเป็หนึ่งขวบปี!”
ฉินอวี่เงยหน้าขึ้นมอง แต่กลับเห็นชายหนุ่มในชุดขาวอายุประมาณสิบสี่สิบห้าปียืนอยู่ตรงหน้าใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ชายหนุ่มคนนั้นร่างผอมบาง ใบหน้าหล่อเหลา เส้นผมยาวสลวย มองดูแล้วมีกิริยางดงามสูงสง่า สิ่งที่แปลกคือม่านตาทั้งสองข้างของเขาที่ดูเหมือนจะลึกล้ำซับซ้อน ดวงตาข้างหนึ่งมีสีเข้ม ดวงตาอีกข้างหนึ่งมีสีอ่อนกว่า สิ่งเหล่านี้ ส่งผลให้ม่านตาของเขามีสีดำเข้ม และดูใหญ่โตกว่าคนทั่วไป
“พี่ใหญ่ ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าท่านชื่ออะไร?” สยงท่าเทียนพูดเสียงใหญ่ หลังจากออกมาได้สองปี เขาก็พยายามประกาศว่าตนเองเป็คนตระกูลขวงสยง แต่มีไม่กี่คนที่เคยได้ยินชื่อนี้ ซึ่งเป็สิ่งทำให้เขาไม่มีชอบใจอย่างยิ่ง ในเวลานี้ เมื่อฉินอวี่รู้จักตัวตนของเขา มันทำให้เขามีความสุขเป็พิเศษ ดังที่มีบันทึกไว้ในตำราโบราณเล่มนั้น ตระกูลขวงสยงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จะมีความคิดอ่านที่เรียบง่ายเหมือนเด็กคนหนึ่ง
“ข้าชื่อฉินอวี่ อ้อ จริงสิ เรียกข้าว่าพี่ฉินก็ได้” ฉินอวี่จ้องไปยังสยงท่าเทียน แล้วหันไปทางหลี่เทียนจี เขารู้สึกเพียงว่าการรวมตัวกันของชายสองคนนี้ดูแปลกเกินไปหน่อย ดังนั้นเขาจึงชำเลืองไปดูม่านตาของหลี่เทียนจีอยู่หลายครั้ง
“ตกลง พี่ฉิน” สยงท่าเทียนพูดอย่างมีความสุข และเขาก็ไม่ลืมที่จะหันมามองหลี่เทียนจีทันทีหลังจากพูดจบ ราวกับกำลังจะบอกว่าเ้าดูสิ นอกจากเ้าแล้วยังมีคนรู้จักข้า จากนั้น สยงท่าเทียนก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ และพูดขึ้นมา “หลี่เทียนจี เ้ารีบบอกมาเดี๋ยวนี้ ว่าคนที่เ้าพูดถึงคือพี่ฉินใช่หรือไม่”
หลี่เทียนจีมองไปทางฉินอวี่อย่างระมัดระวังและส่ายหน้า
ใบหน้าที่ดุร้ายของสยงท่าเทียนเผยความรู้สึกผิดหวังและอาการที่ดูจะหมดความอดทนออกมาทันที พร้อมพูดขึ้น “ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ แต่พี่ใหญ่ฉินก็ต้องไปกับพวกเรา ไปกันเถอะ ไม่ต้องรอแล้ว พวกเรารีบเข้าไปกันเถอะ”
ในขณะนี้ แผ่นดินก็สั่นะเืทันที สยงท่าเทียนหันศีรษะของเขาอย่างจริงจังมองไปทางป่าเบื้องหน้า ดวงตาของเขาจ้องมองอย่างดุเดือดและพูดอย่างโกรธเคือง “เสี่ยวเฮย เ้ายังคิดจะหลบหนีอีกหรือ? เดี๋ยวข้าจะตีเ้าให้ตายเลยทีเดียว” พูดจบ เขาก็รีบพุ่งตรงเข้าไปในป่าทันที
เมื่อเห็นสยงท่าเทียนวิ่งออกไป ฉินอวี่ก็ถอนหายใจ สยงท่าเทียนคนนี้ดูดุร้ายและแข็งแกร่ง แต่จิตใจของเขายังดูเหมือนเด็กๆ ดูเหมือนว่าบันทึกในตำราโบราณจะเป็เื่จริง!
หลี่เทียนจีชำเลืองตาไปทางฉินอวี่ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความเ็า และหันหลังเข้าป่าไปอย่างเงียบๆ
“ช่างโอหังเหลือเกิน” ฉินอวี่มองไปที่แผ่นหลังของหลี่เทียนจี และพึมพำอยู่ในใจ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็เดินตามเข้าไป
เมื่อเดินเข้าไปในป่า สีหน้าของฉินอวี่ก็ผงะ เขาตะลึงกับฉากที่อยู่ข้างหน้าเขาในระยะหลายสิบจ้าง
ภาพที่เห็นคืออสูรร้ายตัวใหญ่สูงสิบจ้าง ไม่สิ น่าจะเป็อสูรอำมหิต อสูรอำมหิตตัวนี้เป็เหมือนูเาขนาดใหญ่ที่กำลังเคลื่อนที่อยู่เบื้องหน้า ร่างกายที่ใหญ่โตของมันปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำขนาดเท่าฝ่ามือ และลากหางที่เป็ก้อนหนา สยงท่าเทียนโจมตีต้นขาของอสูรอำมหิตอย่างบ้าคลั่ง พลางพูดอย่างโกรธเคือง “วิ่งอีกสิ วิ่งอีกสิ! ถ้ายังคิดจะวิ่งหนีอีกข้าจะตีขาเ้าให้หัก!”
“โฮก...” อสูรอำมหิตคร่ำครวญด้วยความเ็ป
เมื่อเห็นฉากนี้ ฉินอวี่ไม่เพียงยิ้มอย่างขมขื่น แต่ยังคาดเดาได้ว่าสาเหตุที่ไม่มีอสูรร้ายในบริเวณโดยรอบ ก็คงเป็เพราะอสูรอำมหิตตัวนี้ และตลอดทางที่สยงท่าเทียนพุ่งเข้ามา เขาได้ทารุณอสูรอำมหิตตัวนี้ไปไม่น้อย และด้วยเสียงร้องคำรามของอสูรอำมหิต ทำให้อสูรร้ายระดับต่ำโดยรอบต่างเกรงกลัวจนกระจัดกระจายออกไป และหนีเข้าไปยังส่วนกลางของสุสานอสูรแห่งนี้ด้วยความหวาดกลัว
เมื่อสังเกตอสูรอำมหิตตัวนี้อย่างรอบคอบ ฉินอวี่จดจำได้อย่างละเอียด คำพูดแต่ละบทในตำราก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา
กิ้งก่าทองยมโลกอาศัยอยู่ใต้เหวลึก มีขนาดใหญ่ แขนขาสั้นหนา มีความปราดเปรียว มีความระแวดระวังสูง มีส่วนหางที่ทรงพลัง ตอนยังไม่โตเต็มวัย กิ้งก่าทองยมโลกจะมีเกล็ดเป็สีดำสนิท แต่เมื่อเติบโตเต็มวัยเกล็ดของกิ้งก่าทองยมโลกจะเปลี่ยนเป็สีทอง และอาจจะมีพละกำลังถึงระดับสูงสุดของเขตแดนิญญา
“กิ้งก่าทองยมโลกที่ยังโตไม่เต็มวัย? สยงท่าเทียนไปจับมาจากไหน?” ฉินอวี่ใ แม้ว่านี่จะเป็กิ้งก่าทองยมโลกตัวหนึ่ง แต่ความแข็งแกร่งของมันเป็สิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ครั้งนี้มันยังน่าจะเป็อสูรอำมหิตระดับสอง ความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนในขั้นปราณเสถียร แต่ก็คงเป็เื่ยากที่จะมีคนในขั้นปราณเสถียรสามารถเอาชนะกิ้งก่าทองยมโลกตัวนี้ได้
“เ้าแค่มานอนนิ่งๆ อย่างเชื่อฟังอยู่ตรงนี้ รอให้พลังของข้าเหนือกว่าเ้าก่อน จากนั้นเ้าก็ไสหัวไปได้แล้ว” สยงท่าเทียนกระแทกหมัดลงไปบนขาที่หนาของกิ้งก่าทองยมโลก และส่งเสียงเตือนออกไป จากนั้นเขาก็มองมาทางฉินอวี่และพูดเสียงดัง “พี่ฉิน ท่านจะยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น? มานี่สิ”
สีหน้าของฉินอวี่กระตุกและยืนนิ่งเป็เวลานาน สยงท่าเทียนคนนี้กำลังใช้กิ้งก่าสีทองยมโลกตัวนี้เพื่อฝึกความแข็งแกร่งของตนเอง หลังจากเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง ดวงตาของฉินอวี่ก็เปล่งประกายขึ้นเล็กน้อย ถ้าเขาได้รับเืจากกิ้งก่าทองยมโลกตัวนี้ เขาอาจจะพัฒนาพลังปราณของตัวเองขึ้นได้ ทันใดนั้น ฉินอวี่ก็เดินไปพลางพูดว่า “สยงท่าเทียน พวกเ้ากำลังรออะไรกันอยู่หรือ”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน หลี่เทียนจี เ้าช่วยบอกพี่ฉินหน่อยสิว่าพวกเรากำลังรออะไรกันอยู่ เป้าหมายของข้าคือเืของวานราที่อยู่ข้างใน แต่ข้าต้องมามัวเสียเวลาอยู่ที่นี่” สยงท่าเทียนมองหลี่เทียนจี และกล่าวอย่างหมดความอดทน
หลี่เทียนจีนั่งลงบนพื้น หลับตาเล็กน้อย และไม่ตอบอะไร สิ่งนี้ทำให้ดวงตาของสยงท่าเทียนลุกเป็ไฟ ก้าวไปทางหลี่เทียนจี ยกกำปั้นขึ้นเพื่อเตรียมชกหลี่เทียนจี แต่เมื่อเห็นฉากนี้ ฉินอวี่ก็รีบพูดห้ามเอาไว้ทันที “สยงท่าเทียน รออยู่ตรงนี้ก่อนเถอะ”
“พี่ฉิน ท่านไม่รู้หรอก หลี่เทียนจีคนนี้เป็พวกพูดน้อยยากคาดเดา ข้าเห็นเขาดูไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่นานแล้ว ฮึ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเคยช่วยชีวิตข้าไว้นะ ข้าจะไม่อยู่ติดตามเขานานถึงสองปีเช่นนี้หรอก เขาเป็พวกชอบโกหก หลอกข้าว่าที่แห่งนี้มีเืของวานรา... เมื่อข้ามาถึงที่นี่จึงได้รู้ว่าเขากำลังมารอใครบางคน!” สยงท่าเทียนพูดพล่ามอย่างไม่หยุดหายใจ หัวใจเต้นแรงด้วยความโกรธ และหันไปต่อยกิ้งก่าทองยมโลกหนึ่งหมัดเพื่อระบายความโกรธ
“โฮก...” กิ้งก่าทองยมโลกส่งเสียงคำรามอย่างคร่ำครวญด้วยความเ็ป
เมื่อเห็นภาพนี้ ฉินอวี่จึงนิ่งทื่อเป็หินไปอย่างสมบูรณ์
“สหายหลี่ ไม่ทราบว่าเ้ากำลังรอคอยผู้ใดอยู่หรือ? ทำไมพวกเราไม่ลองเริ่มตามหาเขาดูล่ะ” ฉินอวี่จ้องมองไปที่สยงท่าเทียนที่เกือบจะคลั่ง จากนั้นจึงเหลือบมองไปทางหลี่เทียนจีทันที ก่อนจะถามออกไป
หลี่เทียนจียังคงหลับตาและนิ่งเงียบไม่พูดจา
เมื่อเห็นภาพนี้ สยงท่าเทียนก็อดไม่ได้และพูดออกไปอย่างโกรธเคือง “พี่ฉิน ท่านอย่าได้ถูกเขาหลอกเลย เขาบอกว่าเขาเห็นความลับ์ได้ ครั้งล่าสุดเขาบอกว่าเขามีลางสังหรณ์ว่ามีของวิเศษกำเนิดขึ้น พวกเราก็มุ่งหน้าไปที่นั่น ท่านรู้หรือไม่ว่าพบกับอะไร? พวกเราต้องเจอกับกลุ่มผู้หญิงที่กำลังอาบน้ำอยู่... ที่แห่งนั้นคือูเาด้านหลังของสำนัก เกือบต้องตายอยู่ตรงนั้นแล้ว แต่ดีที่ข้าคว้าเขาไว้ได้ และวิ่งหนีออกมาอย่างไม่คิดชีวิต พวกเราจึงรอดมาได้ แต่พวกนางก็ไล่ตามหลังมาตลอดทางนั่นล่ะ”
ฉินอวี่ตกตะลึง หรี่ตามองหลี่เทียนจีที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ แต่กลับพบว่ากล้ามเนื้อของใบหน้าที่หล่อเหลานั้นแข็งทื่อ และใบหน้าของเขาก็แดงก่ำมากยิ่งขึ้น
“ยังมีอีกครั้งหนึ่ง เขาสามารถทำนายได้ว่ามีของวิเศษเกิดขึ้นในอีกสถานที่หนึ่ง แต่เมื่อไปถึงที่นั่น ยังไม่ทันจะเห็นของวิเศษอะไรเลย แต่กลับต้องพบกับฝูงหมาป่าระดับสามฝูงหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเฮยนะ พวกเราคงถูกฝูงหมาป่านั่นกัดตายไปแล้ว แล้วเ้าดูสิ... ตอนนี้เขายังทำนายอีกว่ามีสหายคนหนึ่งถูกกำหนดให้มาที่นี่ พวกเราจึงรออยู่ตรงนี้มาครึ่งเดือนแล้ว” สยงท่าเทียนพูดอย่างโกรธเคือง พูดจบก็ต่อยเสี่ยวเฮยไปหนึ่งหมัด
ใบหน้าที่หล่อเหลาของหลี่เทียนจีเปลี่ยนเป็สีแดง เขาหลับตาลงแล้วพูดว่า “เอาล่ะ พวกเราจะรออีกสามวัน เขาจะมาภายในสามวันแน่นอน ถ้าไม่มา เราจะไปกันต่อ พอใจหรือยัง”
“ได้ เช่นนั้นก็รออีกสามวัน ถ้าในสามวันยังไม่มา ต่อไปก็ไม่ต้องมาพูดกับข้าอีกว่าเ้ามองเห็นความลับ์อะไรนั่น ไม่เช่นนั้นถ้าได้ยินหนึ่งครั้งก็จะทุบเ้าหนึ่งที” สยงท่าเทียนพูดเสียงดังราวกับระฆัง
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของหลี่เทียนจีกระตุก ฉินอวี่ก็มองไปที่หลี่เทียนจีอย่างสงสัย คนผู้นี้สามารถล่วงรู้ความลับ์ได้จริงหรือ? ทุบให้ตายฉินอวี่ก็ไม่เชื่อ หลี่เทียนจีคนนี้ยังมีระดับการฝึกฝนไม่มากไปกว่าขั้นปราณเสถียรระดับต้น ระดับฝึกฝนเท่านี้จะล่วงรู้ความลับ์ได้อย่างไร?
“จริงสิ พี่ฉิน ท่านอยากจะเข้าไปก่อนหรือไม่ พวกข้าจะรออีกสามวัน หลังจากสามวันพวกข้าจะตามท่านไป แล้วเข้าไปต่อด้วยกัน เป็อย่างไร?” สยงท่าเทียนถามพลางมองไปทางฉินอวี่
ฉินอวี่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ส่ายศีรษะพลางพูดว่า “ไม่เป็ไร ข้าเองก็อยากจะนั่งพักทำสมาธิสักหน่อยเหมือนกัน” พูดจบ ฉินอวี่ก็หรี่ตาลงมองเสี่ยวเฮย และคิดอยู่ในใจว่าจะออกปากอย่างไรเพื่อให้ได้เืมันมา
สามวันผ่านไปในพริบตา
ทั้งสามคนรออยู่ที่นี่เป็เวลาสามวันเต็ม และสภาพแวดล้อมโดยรอบก็เงียบสงบ อย่าว่าแต่ผู้คนเลย ตอนนี้แม้แต่อสูรร้ายสักตัวก็ยังไม่เห็น
หลี่เทียนจีลืมตาขึ้นอย่างสงสัย หูของเขากระดิก กวาดสายตาสำรวจบริเวณโดยรอบด้วยความสงสัย และฟังอย่างระมัดระวัง
“ไหนล่ะ? เขาคนนั้นล่ะ? คนนั้นอยู่ที่ไหน? ข้าเหลืออดกับเ้าจริงๆ หลี่เทียนจี!” เมื่อถึงเวลา สยงท่าเทียนทุบกำปั้นลงไปยังเสี่ยวเฮย ดวงตาของเขาเบิกกว้างและะโอย่างโกรธเคือง
เมื่อได้ยินคำพูดของสยงท่าเทียน ใบหน้าของหลี่เทียนจีก็เปลี่ยนเป็สีแดง เขาแทบจะขุดหลุมแล้วมุดเข้าไปเสียให้พ้น ดวงตาของเขามองไปรอบๆ และในที่สุดก็หยุดมองไปทางฉินอวี่ “เ้าแน่ใจหรือว่าเ้ากำลังใช้ชื่อจริงของเ้า”
ฉินอวี่ตกตะลึงและพูดอย่างใจเย็น “แน่นอน ข้าคือฉินอวี่ บุตรชายคนที่สามของตระกูลฉินในเมืองหลักเทียนอู่แห่งแคว้นอู่ ถ้าเ้าไม่เชื่อข้า เ้าลองไปสอบถามดูก็ได้”
สยงท่าเทียนจ้องหลี่เทียนจีอย่างโกรธจัด ใบหน้าของหลี่เทียนจีก็แดงขึ้น และพูดว่า “แต่... บางที... คนคนนั้นอาจมีเหตุให้ต้องล่าช้า...”
“เ้ากำลังจะบอกว่ายังต้องรออยู่ที่นี่อีกหรือ? หลี่เทียนจี เ้าค่อยๆ รอไปก็แล้วกัน พี่ฉิน พวกเราไปกันเถอะ” สยงท่าเทียนะโอย่างโกรธจัด ด้วยอารมณ์ไม่พอใจของเขา การรอสามวันมาถึงขีดจำกัดแล้ว เขาพูดจบก็ตบเสี่ยวเฮยไปครั้งหนึ่ง และก้าวไปสู่ส่วนลึกของสุสานอสูร
ฉินอวี่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ตนเองหัวเราะออกมา ใบหน้าของเขากระตุก “สหายหลี่ เ้ารอไปก่อนนะ บางทีเขาอาจจะมาก็ได้ พวกข้าจะเข้าไปก่อน ไม่ว่าเ้าจะได้พบเขาหรือไม่ ถึงตอนนั้นก็ตามพวกข้าเข้าไปได้นะ” พูดจบ ฉินอวี่ก็รีบตามสยงท่าเทียนไปอย่างรวดเร็ว และทิ้งหลี่เทียนจีที่ยังคงไม่ยอมแพ้เอาไว้ลำพัง
“ไม่ใช่สิ คนผู้นั้นจะต้องมาแล้วสิ... หรือว่าท่านอาจารย์ก็ทำนายผิดพลาด?” หลี่เทียนจีมองไปรอบๆ อย่างสงสัย และพึมพำกับตัวเอง