บทที่ 18 ขั้นจวี้หยวนระดับแปด
หลังจากฉินชูประกาศว่า้าโอสถหนิงหยวนออกไป บรรดาศิษย์สายนอกที่มาท้าสู้ฉินชูก็เริ่มลดน้อยลง เพราะพวกเขา้าใช้โอสถหนิงหยวนเช่นกัน ขืนดันทุรังท้าสู้สุ่มสี่สุ่มห้า นอกจากจะแพ้แล้ว ยังต้องเสียของมีค่าของตัวเองอีก แบบนี้ไม่ใช่เื่ดีสำหรับพวกเขาเท่าไร
ฉินชูยังคงฝึกฝนอยู่ทุกวัน ในเมื่อมีทรัพยากรที่ใช้ฝึกตนเพียงพอแล้ว สิ่งเดียวที่ต้องทำคือขยันฝึกตนไปเรื่อยๆ นั่งสมาธิเข้าฌานเพื่อฝึกปราณสลับกับขัดเกลาวิชากระบี่พื้นฐาน
ตอนที่ได้ตำราวิชากระบี่พื้นฐานมา เป็เพราะมันราคาถูกสุด ฉินชูจึงได้แต่จำใจยอมแลกมา แต่หลังจากเริ่มฝึกและใช้ต่อสู้จริงๆ ฉินชูกลับเริ่มรู้สึกว่ากระบวนท่ากระบี่พื้นฐานก็ไม่เลวเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เขากับไป๋อวี้ได้พูดคุยกันเื่นี้ ไป๋อวี้ได้บอกกับเขาแบบติดตลกว่ากระบวนท่ากระบี่พื้นฐานเป็วิชากระบี่ที่สืบสานตกทอดมายาวนาน ไม่มีตำราวิชากระบี่เล่มไหนในประวัติศาสตร์สามารถทัดเทียมกับความโบราณของตำราวิชากระบี่พื้นฐานได้แล้ว การที่มันสามารถตกทอดมาอย่างช้านานเช่นนี้ ก็ย่อมมีเหตุผลของมันอยู่อย่างแน่นอน
ฉินชูคิดว่าประสิทธิภาพของมันยอดเยี่ยมไม่เบา จึงตัดสินใจฝึกต่อเรื่อยๆ และมันก็สามารถเพิ่มพลังการต่อสู้และโค่นศัตรูได้จริงๆ ดังนั้นถือว่าเป็วิชากระบี่ที่ดีเลย
เมื่อข่าวที่ว่าฉินชูเป็พวกเล่นด้วยยากแพร่กระจายออกไป ศิษย์สายนอกที่มาท้าสู้ก็เริ่มไม่ใช่พวกกะโหลกกะลาอีกต่อไป ผู้ที่มาประมือด้วยล้วนเป็ผู้ฝึกตนขั้นหนิงหยวนทั้งนั้น นี่ถือว่าเป็โอกาสที่จะขัดเกลาฝีมือและฝึกตนที่ดีสำหรับฉินชู ทุกการต่อสู้ที่เกิดขึ้นล้วนเป็ผลดีต่อเขาเต็มๆ
การที่ฉินชูสามารถลุกผงาดขึ้นที่หอศิษย์รับใช้ได้อย่างไม่สั่นคลอนเช่นนี้ ก็เปรียบเหมือนเครื่องหมายที่แสดงถึงการดูถูกต่อศิษย์สายนอกบนยอดเขาชิงจู๋แห่งนี้ ในเวลาเดียวกันก็กลายเป็แรงผลักดันอยากพัฒนาตัวเองให้กับศิษย์สายนอกบนยอดเขาแห่งนี้เช่นกัน
ในวันนี้ไป๋อวี้ได้มาหาฉินชู “ลูกพี่ ให้โอกาสข้าได้ฝึกบ้าง ถ้าพวกเขา้าท้าประลอง ขอข้าสู้ก่อน หากข้าสู้ไม่ไหว ลูกพี่ค่อยลงมือเป็อย่างไร”
“ได้ งั้นเ้าสู้ก่อน” ฉินชูพยักหน้า ่นี้ฉินชูกินโอสถจวี้หยวนพร้อมกับฝึกปราณไปพลาง ทำให้พลังปราณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ตบะของเขาอยู่ที่ขั้นจวี้หยวนระดับเจ็ดแล้ว อีกไม่นานก็ใกล้จะบรรลุระดับแปด ดังนั้นเขา้าเวลาตกผลึกอยู่เงียบๆ สักระยะหนึ่ง
เมื่อได้รับอนุญาตจากฉินชู ไป๋อวี้ก็มาที่หน้าประตูทางเข้าลานหอศิษย์รับใช้
การที่ฉินชูไม่ออกมาสู้ด้วยตัวเองและส่งศิษย์รับใช้คนอื่นมาสู้แบบนี้ทำให้พวกศิษย์สายนอกที่มาท้าสู้ไม่พอใจมากนัก พวกเขา้าสู้กับฉินชู ศิษย์รับใช้ที่ถูกส่งมาแบบส่งๆ แบบนี้ไม่มีค่าพอที่พวกเขาจะสู้ด้วย
เห็นสายตาไม่พอใจของพวกศิษย์สายนอกด้านหน้าแล้วก็ทำให้ไป๋อวี้ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา “พวกเ้าช่างมั่นใจในตัวเองกันเสียเหลือเกิน ฉินชูยังกำราบความยโสของพวกเ้าไม่ได้สินะ ถ้างั้นข้าขอสานต่อแล้วกัน นี่ของโอสถหนิงหยวน ใครชนะก็เอามันไป ส่วนใครที่แพ้ หากไม่มอบโอสถหนิงหยวนให้ ถ้างั้นก็ต้องขอโทษด้วย จงทิ้งอาวุธและแก้ผ้าไสหัวกลับไปแต่โดยดี!”
“เ้าช่างไม่เจียมตัวจริงๆ” ศิษย์สายนอกคนหนึ่งโกรธจัด เขาชักกระบี่ออกมาพุ่งเข้าต่อสู้ แต่ไม่ทันไรก็ถูกไป๋อวี้ชี้ปลายกระบี่จ่อที่หน้าอกเสียแล้ว
และพวกศิษย์สายนอกคนต่อๆ มาก็ไม่อาจเป็คู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมกับไป๋อวี้ได้เช่นกัน
“พวกเ้าจงฟัง หอศิษย์รับใช้ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเ้าคิดจะรังแกกลั่นแกล้งได้ตามอำเภอใจ หากอยากสู้กับลูกพี่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ต้องข้ามข้าไปให้ได้ก่อน” ไป๋อวี้เก็บกระบี่ใส่ฝัก จากนั้นก็หยิบโอสถหนิงหยวนขึ้นมา
บรรดาศิษย์สายนอกต่างหมดคำจะบรรยาย ลำพังแค่ฉินชูคนเดียวก็ทำให้พวกเขาแทบเอาหน้าแทรกแผ่นดินแล้ว ตอนนี้กลับมีไป๋อวี้โผล่มาอีกคน
ผู้ดูแลและผู้คุมกฎที่คอยพร่ำสอนศิษย์สายนอกบนยอดเขาชิงจู๋ล้วนพากันแปลกใจ พวกเขาไม่เข้าใจว่าพิธีรับลูกศิษย์หน้าใหม่ของปีนี้มันเกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มหน่วยก้านดีทั้งสองคนจึงไม่ได้เข้าไปเป็ลูกศิษย์อย่างเป็ทางการ แต่กลับไปเป็ศิษย์รับใช้ แบบนี้มันใช่หรือ...อย่าว่าแต่ศิษย์สายนอกหน้าใหม่ที่โค่นศิษย์รับใช้ทั้งสองคนนี้ไม่ลงเลย ขนาดศิษย์สายนอกหน้าเก่าที่อยู่มานานก็ยังโค่นพวกเขาไม่ลง แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าขายขี้หน้า แล้วจะให้เรียกว่าอะไร
สามวันผ่านไป ฉินชูก็บรรลุขั้นจวี้หยวนระดับแปดได้อย่างสมใจปรารถนา
เขาััได้ถึงพลังปราณที่กำลังไหลเวียนอยู่ในจุดตันเถียน ฉินชูรู้สึกพอใจเป็ยิ่งนัก หากสามารถรีดเค้นพลังปราณอัดลงไปในกระบี่ได้ก็จะทำให้อานุภาพทำลายล้างของกระบวนท่ากระบี่เพิ่มขึ้นไม่น้อย
ฉินชูยังคงแช่น้ำโอสถอยู่เป็ประจำ ทั้งวิชากระบี่และการฝึกปราณก็ยังดำเนินต่ออย่างไม่ขาด่
เมื่อขัดเกลาวิชากระบี่เสร็จ ฉินชูก็เปลี่ยนชุดและมาที่ลานศิษย์รับใช้
ไป๋อวี้วิ่งเข้ามาหาและยื่นโอสถให้ฉินชูสองสามขวด
“เ้าจะทำอะไร” ฉินชูมองไป๋อวี้อย่างแปลกใจ
“ข้าชนะแล้ว สองสามวันที่ผ่านมาข้าต่อสู้ไปสิบกว่ารอบ นี่เป็โอสถหนิงหยวนที่ข้าชนะมาได้ อยากแบ่งให้ลูกพี่สักสองสามขวด” ไป๋อวี้พูดขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจกับผลการต่อสู้ของตัวเองใน่สองสามวันที่ผ่านมา
“ในเมื่อเ้าชนะ มันก็เป็ของเ้า เก็บไว้เถอะ” ฉินชูคลี่ยิ้ม เขาน้อมรับไว้เพียงแค่น้ำใจของไป๋อวี้เท่านั้น
ไป๋อวี้ส่ายหน้า “พวกเขามาที่นี่เพื่อท้าสู้กับลูกพี่ และข้าก็ต่อสู้ภายใต้ชื่อเสียงของลูกพี่ ดังนั้นลูกพี่รับไปเถอะ ข้ายังมีเหลืออยู่อีกมาก”
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินชูก็รับโอสถสองสามขวดนั้นจากมือไป๋อวี้มา
ฉินชูคิดอยากต่อสู้สักสองสามตั้ง แต่โชคไม่ดี วันนี้กลับไม่มีใครเดินทางมาท้าสู้
ไตร่ตรองต่ออีกสักพัก ฉินชูก็กวักมือเรียกเอ้อพั่งมา ก่อนควักเอาโอสถจวี้หยวนออกมาจำนวนหนึ่ง “ถึงแม้ศิษย์รับใช้จะไม่มีทรัพยากรการฝึกตนที่เฟื่องฟู แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะฝึกตนไม่ได้ เ้าเอาโอสถจวี้หยวนพวกนี้ไปยกให้คนอื่นๆ หากฝึกตนได้บ้าง บางทีในอนาคตอาจมีโอกาสได้เลื่อนขั้นเป็ลูกศิษย์อย่างเป็ทางการก็เป็ได้ และจงจำเอาไว้ว่าห้ามเ้าเก็บโอสถพวกนี้ใช้เองเด็ดขาด”
“ลูกพี่วางใจเถอะ ข้าไม่ทำแบบนั้นหรอก ข้าเปลี่ยนไปแล้ว ข้าไม่รังแกคนอื่นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” เอ้อพั่งรู้สึกละอายใจขึ้นมา เพราะเมื่อก่อนเขากลั่นแกล้งคนอื่นเกินไปจริงๆ
“ข้ารู้ว่าเ้าเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงให้โอสถพวกนี้กับเ้า” ฉินชูตบไหล่เอ้อพั่ง
ผ่านไปอีกสักพักใหญ่ๆ ก็ยังไม่มีใครมาท้าสู้ ฉินชูมองไป๋อวี้พลางพูดขึ้น “ข้าจะออกไปทำภารกิจ เ้าจะอยู่ที่นี่เพื่อรอรับคำท้าสู้หรือออกไปทำภารกิจกับข้า”
ไป๋อวี้ลังเลสักพัก ในใจของเขาตอนนี้ทั้งอยากอยู่ต่อเพื่อรอคำท้าสู้และอยากทำภารกิจกับฉินชู ไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไรดี
“การต่อสู้สามารถช่วยขัดเกลาและพัฒนาฝีมือการต่อสู้ของตัวเองได้ ตอนนี้ไม่มีใครมาท้าสู้ ข้าก็เลยจะออกไปทำภารกิจเพื่อขัดเกลาทักษะของตัวเอง แต่ถ้าเ้าอยู่ที่นี่ก็ถือเป็การประกาศศักดาของตัวเองไปในตัว พวกเราไม่อาจปล่อยให้ศิษย์สายนอกพวกนั้นมาทำตัวอวดเบ่งตามอำเภอใจที่หอศิษย์รับใช้แห่งนี้ได้” ฉินชูมองไป๋อวี้ที่กำลังลังเลอยู่
เมื่อได้ยินที่ฉินชูพูด ไป๋อวี้ก็พยักหน้า
เมื่อมอบหมายงานเสร็จ ฉินชูก็เดินทางมาที่หอคุณูปการ
บนกระดานประกาศภารกิจไม่เหลืออะไรให้ทำมากนัก
“ภารกิจแต่ละอันล้วนอาศัยทักษะเฉพาะทางทั้งนั้น ดังนั้นที่ยอดเขาชิงจู๋แห่งนี้คงจะเหลือภารกิจให้พวกเ้าทำอยู่แค่นี้จริงๆ แล้วล่ะ” เมื่อเห็นสายตาเจือแววสงสัยของฉินชู ผู้ดูแลหานก็พูดอธิบายขึ้น
“ขอบพระคุณท่านผู้ดูแลสำหรับคำอธิบาย เช่นนั้นก็เหลือภารกิจพวกนี้ไว้ให้ลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่นี่ทำแล้วกัน ข้าจะไปที่หอคุณูปการที่ยอดเขาชิงหยุน” ฉินชูประสานมือคารวะผู้ดูแลหานก่อนจากไป
เมื่อเห็นฉินชูจากไป สายตาของผู้ดูแลหานก็หันไปมองศิษย์สายนอกและสายในที่อยู่ในหอคุณูปการ “รู้สึกกดดันหรือไม่ ถ้ากดดันก็จงขยันขึ้นกว่านี้ การที่เขาทำถึงขนาดนี้ เขาย่อมมีวิถีและเป้าหมายของตัวเอง”
“ผู้ดูแลหาน เ้าหมอนี่เป็พวกสัตว์ประหลาด เขาไม่ควรเป็ศิษย์รับใช้” ศิษย์สายนอกพูดขึ้นอย่างจำใจ
ผู้ดูแลหานไม่พูดอะไร เพราะเขาคิดว่าที่ศิษย์สายนอกคนนี้พูดมีเหตุผล การที่ศิษย์สายนอกบนยอดเขาชิงจู๋ถูกทำให้เสียหน้าแบบนี้ถือว่าค่อนข้างน่าอับอายจริงๆ
“ไม่เป็ไรหรอก ตอนนี้เป็แค่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในยอดเขาชิงจู๋ของพวกเราเท่านั้น ศิษย์สายนอกที่นี่เสียหน้า แต่ในทางตรงกันข้าม ศิษย์รับใช้ที่นี่กลับมีหน้ามีตาขึ้นมา เอาไว้พวกเรามาดูกันว่าเขาจะสามารถโค่นพวกศิษย์สายนอกบนยอดเขาชิงหยุนได้หรือไม่ หากเขาทำได้ขึ้นมาจริงๆ ก็ถือว่าเป็การสร้างชื่อเสียงและกู้หน้าตาให้ยอดเขาชิงจู๋ของเราแล้ว” ลูกศิษย์สายในคนหนึ่งเอ่ยปากพูดขึ้น