บทที่ 4: แสงแห่งความหวัง ณ ป่าชายเขา
ยามบ่ายคล้อย แสงอาทิตย์อุ่นส่องลอดพุ่มไม้หนาทึบเป็ลำเส้นบางๆ เงาต้นไม้โยกไหวตามแรงลม ปะปนกับเสียงแมลงป่าที่ขับขานราวกับธรรมชาติกำลังบรรเลงเพลงนิรันดร์
เสียงท้องร้องเบาๆ ของชุนฮวาทำให้ไป๋หรูซินตัดสินใจพาน้องสาวเดินไปยังชายเขาด้านหลังกระท่อมผุเก่า ที่ซึ่งอาจมีทั้งอาหารและไม้สำหรับซ่อมแซมที่พักพิง
ร่างของนางยังอ่อนแรง แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยประกายแน่วแน่ ทุกย่างก้าวที่เหยียบย่ำบนผืนดินอันชื้นแฉะเป็ดั่งการฝึกฝนให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับโลกใหม่ที่แตกต่างไปจากที่เคยรู้จัก
มือเรียวของนางใช้กิ่งไม้เขี่ยใบไม้หนาทึบบนพื้นอย่างระมัดระวัง ดวงตาสีดำเข้มจับจ้องพุ่มไม้เตี้ยเบื้องหน้า
“ใบเรียงสลับ... ลักษณะเหมือนมะเขือม่วง แต่ต้องระวัง” นางพึมพำเบาๆ พลางโน้มตัวพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
“พี่หรูซิน มันคืออะไรหรือเ้าคะ?” ชุนฮวาถามเสียงแ่ ขณะเดินหลบตามหลังอย่างระวัง
“เบญจรงค์ป่าจ้ะ หากใช่พันธุ์ที่พี่คิด... เมื่อต้มสุกก็พอกินได้ แต่หากผิดเพี้ยนเพียงนิดเดียว อาจกลายเป็ยาพิษฆ่าคน” น้ำเสียงของไป๋หรูซินสุขุมจริงจัง ดั่งเตือนตนเองมากกว่าผู้อื่น
เพราะไม่แน่ใจ นางจึงละจากพุ่มไม้แปลกตานั้น แล้วมุ่งลึกเข้าไปในป่าทึบอีกนิด สายตากวาดไปจนพบพุ่มไม้เตี้ย ๆ ที่แซมอยู่ใต้เงาไม้ใหญ่ ใบเขียวเข้ม ผลกลมเล็กสีม่วงแดงสุกปลั่ง
“มะเดื่อป่า...” รอยยิ้มบางระบายขึ้นบนใบหน้าเหนื่อยล้า นางโน้มตัวเก็บผลไม้ลูกโต พลางเช็ดด้วยชายแขนเสื้ออย่างเบามือ แล้วส่งให้ชุนฮวา
“ลองดูสิ”
ชุนฮวารับไว้ กัดเบาๆ หนึ่งคำ ดวงตากลมโตเบิกกว้างทันที
“หวานจริงๆ ด้วยเ้าค่ะ!”
“นี่แหละ... ธรรมชาติ” ไป๋หรูซินเอ่ยเบา ๆ ดวงตายังคงจับจ้องต้นไม้ใบหญ้าเบื้องหน้า “ทุกสิ่งที่เรา้ามีอยู่ในป่าเสมอ เพียงแต่เราต้องรู้จักมอง”
ระหว่างที่เดินเลาะลำธารเล็ก ๆ ซึ่งไหลรินเอื่อย เสียงน้ำกระทบหินเบา ๆ ทำให้บรรยากาศยิ่งสงบ นางก้มลงเก็บใบพืชสีเขียวเข้มที่ขึ้นอยู่ชิดริมน้ำ
“นี่คือหญ้าเข็มนิล คล้ายตำลึง รสออกขมเล็กน้อย แต่มีคุณต่อร่างกายมาก”
ชุนฮวาเอียงคอ “แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนกินได้?”
ไป๋หรูซินยิ้มอ่อนโยน มือหนึ่งเด็ดใบหญ้ามายื่นให้ “เราสังเกตจากแมลงและนก หากพวกมันกิน เราก็มีโอกาสปลอดภัยมากขึ้น หากไม่มีสัตว์ใดแตะต้องเลย... ก็ควรหลีกเลี่ยง”
นางยังสอนวิธีสังเกตเห็ดในป่า “เห็ดแผ่นเรียบ ใต้หมวกสีไม่จัด มักปลอดภัยกว่าเห็ดที่สีฉูดฉาดเกินงาม”
ไม่นาน ทั้งสองก็เก็บพืชผักผลไม้ได้พอสมควร พวกนางกลับมาที่โขดหินใหญ่ริมลำธาร แล้วล้างทุกอย่างอย่างทะนุถนอมในน้ำใสเย็น แม้จะเป็อาหารง่าย ๆ แต่รอยยิ้มสดใสของชุนฮวากลับอบอวลไปด้วยความสุขอันบริสุทธิ์
ไป๋หรูซินนั่งนิ่ง หลุบตาลง รู้สึกถึงลมหายใจของผืนป่าที่หล่อเลี้ยงหัวใจให้เข้มแข็งขึ้น
บางที... ชีวิตใหม่ที่นี่ อาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิด
ขณะกำลังง่วนกับการจัดวางของที่เก็บได้ นางเหลือบไปเห็นต้นไม้เล็ก ๆ ที่ล้มลง และกิ่งไม้แห้งที่หักพาดกันอยู่ในพุ่มไม้ นางใช้ก้อนหินแหลมคมที่หาได้บริเวณใกล้เคียง ค่อย ๆ สับแต่งกิ่งไม้เ่าั้อย่างระวัง ชุนฮวาก็ช่วยเก็บเศษไม้เล็ก ๆ ไปวางรวมไว้ข้างกาย
สายลมอ่อนพัดผ่าน กลิ่นหอมเฉพาะของพืชสมุนไพรบางชนิดลอยแตะจมูกไป๋หรูซิน เธอชะงัก แล้วเดินตามกลิ่นนั้นไปจนพบพืชหลายชนิดขึ้นอยู่ตามซอกเขาและโขดหิน
ดวงตาของนางเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง...
“นี่มัน... หอมป่า... อบเชยป่า... ขมิ้นป่า...”
ทุกต้นล้วนเป็พืชสมุนไพรที่นางเคยศึกษาในห้องแล็บของยุคปัจจุบัน บางชนิดสามารถสกัดเป็น้ำมันหอม บางชนิดนำไปผสมยา หรือแม้แต่ใช้ปรุงรสในอาหารได้
"ขุมทรัพย์..." เธอพึมพำแ่เบา
ด้วยมือที่เปื้อนดินแต่นุ่มนวล นางค่อยๆ เด็ดเก็บเฉพาะส่วนที่ใช้ได้ — ใบ ราก ดอก — แล้วห่อรวมกันไว้ด้วยใบไม้ใหญ่ กลิ่นหอมฉุนของพืชบางชนิดติดอยู่ในมือของนาง เสมือนคำปลอบโยนจากธรรมชาติ
ก่อนกลับ ทั้งสองยังได้ขุดพบหัวมันป่าที่ฝังตัวลึกอยู่ใต้ชั้นดิน หัวมันชนิดนี้มีขนาดใหญ่และอวบแน่นกว่าเมื่อวาน ราวกับธรรมชาติกำลังตอบรับความมุ่งมั่นของพวกนาง
วันนี้... พวกเธอกลับมากับเสบียงในมือ และความหวังใน
ทันทีที่ก้าวเข้าสู่รั้วไม้ผุพัง ไป๋หรูซินก็ลงมือทันที โดยไม่รอช้า นางขอให้ชุนฮวาช่วยเก็บกวาดเศษใบไม้และดินออกจากพื้นกระท่อม ส่วนตัวเองก็จัดการกับกิ่งไม้ที่เก็บมาได้ด้วยความตั้งใจ
ไม้แห้งที่ถูกผูกด้วยเถาวัลย์กลายเป็โครงหลังคาชั่วคราว นางปีนขึ้นอย่างระมัดระวัง เหงื่อไหลชุ่มทั่วใบหน้า ผมเผ้าพันกันยุ่งเหยิงไปหมด แต่ดวงตาของไป๋หรูซินยังเปล่งประกายมุ่งมั่นไม่เสื่อมคลาย
เมื่อกระท่อมเริ่มมีสภาพน่าอยู่มากขึ้น เสียงท้องร้องของทั้งคู่ก็เริ่มประท้วงอย่างพร้อมเพรียง นางจุดไฟขึ้นอย่างคล่องแคล่วกว่าคืนที่ผ่านมา นำหัวมันป่าที่ได้มา ปอกเปลือก ทุบเป็ชิ้น แล้วใส่ลงต้มในหม้อดินที่คราบเขม่ายังดำสนิท
ขณะควันไฟลอยกรุ่นไปทั่วกระท่อม ไป๋หรูซินก็นั่งลงและหยิบสมุนไพรที่เก็บได้ขึ้นมาสำรวจ นางเลือกใบหอมป่าขยี้เบา ๆ ปล่อยกลิ่นฉุนคล้ายหอมแดงให้แตะจมูก
“ไม่มีเกลือเลยนี่นา...” นางพึมพำ ดวงตาฉายแววครุ่นคิด ทบทวนความรู้ที่สั่งสมมา
“รสเค็มเป็รสพื้นฐาน แต่ถ้าไม่มี เราก็ต้องสร้างมันขึ้นมาเอง…”
เธอหยิบรากไม้ชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นดินและรสปร่าขึ้นมา บดให้ละเอียด คลุกกับใบหอมป่าที่ขยี้ไว้ เติมขมิ้นป่าเพียงเล็กน้อยเพื่อเพิ่มสีสัน ก่อนลองชิมปลายลิ้น
มันไม่ได้เค็มดั่งใจ แต่กลับมีรสกลมกล่อมเฉพาะตัว กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสมุนไพรผสานกันอย่างน่าประหลาด
เมื่อมันเทศสุกนิ่มกำลังดี ไป๋หรูซินก็ตักใส่ใบไม้ที่พอจะหาได้ แล้วค่อย ๆ ตักเครื่องปรุงที่คิดค้นขึ้นเองใส่ลงไปเล็กน้อย คลุกเคล้าอย่างเบามือ ก่อนยื่นให้ชุนฮวา
“ลองชิมดูสิชุนฮวา… วันนี้พี่มีเครื่องปรุงรสใหม่ด้วยนะ” นางยิ้มให้ด้วยความหวังเล็ก ๆ ในดวงตา
ชุนฮวารับถ้วยมาโดยไม่ลังเล ดวงตากลมโตจ้องเครื่องปรุงสีเหลืองอ่อนด้วยความสงสัยก่อนจะตักเข้าปากอย่างช้า ๆ
วินาทีนั้น ดวงตาของเด็กน้อยเบิกกว้างขึ้นอย่างตกตะลึง นางเคี้ยวช้า ๆ ราวกับกำลังซึมซับความมหัศจรรย์ของรสชาติที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อน
จากนั้น... น้ำตาใส ๆ ก็ร่วงลงบนแก้มเล็ก ๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว
“ฮึก… อร่อย… อร่อยที่สุดเลยเ้าค่ะพี่หรูซิน… ข้าไม่เคยกินอะไรที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย…” นางพูดด้วยเสียงสั่นพร่าระคนสะอื้น มือเล็กยังคงถือใบไม้แน่นไม่ยอมวาง
ไป๋หรูซินมองน้องสาวด้วยดวงตาอาบแสงอบอุ่น ความปิติซึมลึกถึงขั้วหัวใจ รอยยิ้มของชุนฮวา... น้ำตาแห่งความสุขของน้อง... มันมีคุณค่ามากกว่าความสำเร็จใด ๆ ที่เธอเคยมีในโลกเดิม
เธอตักมันเทศเข้าปาก รสชาติหอมหวานจากหัวมันป่าผสมกลิ่นฉุนของหอมป่า รสขมแ่ของรากไม้ และความหอมลุ่มลึกของขมิ้น ทำให้รสััแปลกใหม่ แต่กลับกลมกล่อมเกินคาด แม้ไร้รสเค็มอย่างแท้จริง... แต่มันคือ รสชาติของชีวิต
“จริงหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็กินเยอะ ๆ เลยนะ” ไป๋หรูซินกล่าวยิ้ม ๆ ก่อนตักเพิ่มให้น้องอีกถ้วย
ทั้งสองนั่งเคียงกันบนพื้นดินแข็ง ๆ ภายใต้หลังคากิ่งไม้ที่เพิ่งปะซ่อม พวกนางหัวเราะกันเบา ๆ แบ่งปันเื่ราวที่พบระหว่างวัน
ชุนฮวาเล่าถึงกระรอกน้อยที่วิ่งวุ่นผ่านหน้าไปตอนกลางป่า ส่วนไป๋หรูซินเล่าถึงสมุนไพรหายากที่เกือบลื่นล้มเพราะไปเหยียบมันเข้าโดยไม่รู้ตัว
เสียงหัวเราะเล็ก ๆ ดังลอดออกมาจากกระท่อมที่ครั้งหนึ่งเคยเงียบสงัด… กลายเป็บ้านหลังน้อยที่เริ่มมีลมหายใจของชีวิต
แม้กระท่อมจะยังทรุดโทรม สภาพแวดล้อมยังห่างไกลจากความสะดวกสบาย แต่ในใจของไป๋หรูซิน กลับรู้สึกว่า...
ที่แห่งนี้กำลังเปล่งแสง — แสงแห่งความหวัง ที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงาม
เธอรู้ดีว่าเส้นทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล เต็มไปด้วยบททดสอบที่ไม่อาจคาดเดา
แต่ด้วยมือสองข้าง และหัวใจที่ยังไม่ยอมแพ้
ไป๋หรูซินเชื่อว่าเธอจะสามารถสร้าง ‘ชีวิตใหม่’
ให้ตนเองและน้องสาว… ได้อย่างสง่างามที่สุด