ชั้นสามของจิ่นชางเก๋อใหญ่มาก ผ้าที่วางอยู่ก็มีคุณภาพสูง คนทั่วไปไม่มีทางซื้อไหว ดังนั้นจำนวนคนที่ชั้นสามจึงค่อนข้างน้อย เสี่ยวเอ้อร์ที่ดูแลชั้นสามจึงเป็กันเองมากเป็พิเศษ
พอซูิเยว่ขึ้นมาชั้นบน เสี่ยวเอ้อร์ก็เข้ามาต้อนรับ “เอ๋ คุณหนูท่านนี้อยากดูอะไรหรือขอรับ?”
สายตาของซูิเยว่กวาดมองไปที่ชั้นวางรอบๆ “พาข้าไปดูผ้าที่ดีที่สุดของที่นี่”
“ได้เลยขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ของร้านได้ยินดังนั้นก็ยิ้มยิงฟันจนตายิบหยี เขาพาซูิเยว่ไปที่ตู้ด้านใน “นี่คือผ้าที่ดีที่สุดของร้านเราขอรับ”
“ได้” ซูิเยว่พยักหน้า “เช่นนั้นพวกข้าขอดูเองก่อนละกัน”
หลังจากเสี่ยวเอ้อร์เดินออกไปแล้ว ซูิเยว่กับเสี่ยวอวี่ก็เริ่มเลือกผ้าไหมบนชั้น คุณภาพผ้าไหมพวกนี้ไม่เหมือนกับผ้าธรรมดาจริงๆ ลูบไปแล้วััดีมาก อีกทั้งยังมีประกายเล็กน้อย
“คุณหนู ท่านว่าผืนนี้เป็อย่างไรบ้างเ้าคะ?” เสี่ยวอวี่หยิบผ้าไหมสีม่วงผืนหนึ่งลงมาจากชั้น
ซูิเยว่ดูครู่หนึ่งก็ดึงสายตากลับไปแล้วส่ายหน้า “ไม่ได้ สีม่วงมันแก่เกินไป”
“แต่ว่าไทเฮาก็อายุไม่น้อยแล้วนะเ้าคะ” เสี่ยวอวี่พูดเสียงเบาลง นางรู้สึกว่าสีม่วงผืนนี้ดีมาก “สีอื่นๆ ก็เหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมกับอายุของไทเฮาเลย”
ซูิเยว่หัวเราะแล้วก็กดเสียงเบาตอบกลับไป “ไม่มีสตรีคนไหนอยากได้ยินคนอื่นบอกว่าตัวเองแก่หรอกนะ เข้าใจหรือไม่?”
“อ๋อ อ๋อ” เสี่ยวอวี่พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี นางวางผ้าไหมกลับไปบนชั้น
ซูิเยว่มองผ้าไหมบนชั้นหนึ่งรอบ สุดท้ายก็เลือกสีขาวอมฟ้าออกมาหนึ่งผืน ไม่ได้ขาวมาก อีกทั้งยังเหลือบสีเขียวควัน ดูแล้วค่อนข้างสง่างาม
“ผืนนี้เป็อย่างไรบ้าง?”
เสี่ยวอวี่มองแล้วขมวดคิ้ว “ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เ้าค่ะ งานวันเกิดนะเ้าคะ สีขาวไม่ค่อยจะมงคลเท่าไหร่”
ซูิเยว่หัวเราะ “พวกเราไปงานเลี้ยงวันนี้ก็เพื่อมอบเสื้อผ้าเป็ของขวัญนะ แต่ความจริงแล้วจะพูดว่าเป็เสื้อผ้าก็ไม่ได้ เพราะเสื้อผ้ามันธรรมดามาก ประเด็นสำคัญคือพวกเราวางแผนจะปักของที่พิเศษแบบที่หาจากที่ไหนไม่ได้ การเลือกผ้าก็ต้องเลือกที่สามารถปักดอกไม้ได้ เข้าใจหรือไม่?”
“สีที่เ้าเลือกพวกนั้นมันแก่ไป ไม่ต้องพูดถึงสีเข้มด้วย พวกนี้ปักดอกไม้อย่างไรก็ไม่ขึ้น หากทำแบบนี้ก็จะแสดงความจริงใจของพวกเราไม่ได้น่ะสิ”
ซูิเยว่พูดอย่างมีเหตุผล เสี่ยวอวี่ฟังแล้วก็รู้สึกว่าไม่มีตรงไหนที่ผิด
ในตอนที่พวกนางกำลังเลือกผ้าอยู่ บันไดที่อยู่ด้านหลังก็มีคนหนึ่งขึ้นมา นางเป็สตรีสวมชุดหรูหรา ดูแล้วอายุไม่มากนัก ด้านหลังมีสาวใช้ตามมาด้วยสองคน
นางเดินตรงขึ้นมาชั้นสามแล้วไปหยุดอยู่ที่ตู้ข้างๆ ไม่ไกลจากซูิเยว่ แต่ซูิเยว่กำลังพิจารณาผ้าในมืออยู่ นางจึงไม่ทันสังเกตสถานการณ์ทางนั้น
หนึ่งในสาวใช้ที่อยู่ข้างกายสตรีคนนั้นถาม “คุณหนู ครั้งนี้ท่านวางแผนจะทำเสื้อแบบไหนหรือเ้าคะ?”
สตรีคนนั้นได้ยินก็เชิดหน้าขึ้นอย่างได้ใจ “อีกไม่กี่วันก็จะวันเกิดไทเฮาแล้ว เปิ่นกงจะทำชุดที่ถึงตอนนั้นจะเป็ชุดที่เจิดจรัสในงานเลี้ยง พวกเ้ารีบหาสีดีๆ ให้เปิ่นกงซะ”
สาวใช้สองคนรับคำพร้อมกัน “องค์หญิงของพวกเรางดงามราวกับดอกไม้ สวมชุดอะไรก็ดูดีเพคะ”
ประโยคนี้ทำให้สตรีคนนั้นอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างชัดเจน นางหัวเราะเสียงใสสองทีก่อนจะยกมือขึ้นเรียกเสี่ยวเอ้อร์ “ผ้าที่ดีที่สุดของร้านอยู่ที่ไหนหรือ?”
“ด้านข้างตรงที่แม่นางคนนั้นดูอยู่ขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ของร้านชี้ทิศที่ซูิเยว่ยืนอยู่
แม่นางหมุนตัวมาดู จากนั้นแววตาก็ฉายแววริษยาขึ้นมา
เวลาปกติที่ซูิเยว่ออกจากเรือน แม้นางจะไม่ค่อยแต่งตัวเท่าไร อีกทั้งยังสวมชุดค่อนข้างธรรมดา แต่ถึงเป็แบบนี้ก็ยังไม่ส่งผลอะไรต่อหน้าตาของนาง
กลับกันยิ่งเพิ่มความงดงามโดดเด่นของนาง เมื่อเทียบกับสตรีที่สวมชุดดอกไม้ สวมทองสวมเงินแล้ว ภายในชั่วพริบตาสตรีคนนั้นก็ดูไร้รสนิยมไปทันที
“นางคือใคร?” สตรีคนนั้นกระทืบเท้าอย่างเกลียดชัง นางไม่รู้ว่ามีคนหน้าตาดีเกินหน้านางเช่นนี้ั้แ่เมื่อไหร่
สาวใช้ที่อยู่ข้างกายขมวดคิ้วพูดเสียงเบา “คงจะเป็ซูิเยว่ คุณหนูของสกุลซู ก่อนหน้านี้เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงชมดอกไม้ภายในวังมาก่อนเพคะ”
“จริงหรือ?” สตรีคนนั้นกัดฟันแน่น ความริษยาในแววตาแทบจะปิดเอาไว้ไม่มิด “ตอนนั้นข้าทำอะไรอยู่นะ”
งานเลี้ยงชมดอกไม้วันนั้นนางไม่ได้สนใจซูิเยว่เท่าไร คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกันในวันนี้
สตรีคนนั้นพูดจบก็เดินตรงไปทางซูิเยว่ ซึ่งซูิเยว่เองก็รู้สึกได้ว่ามีคนมายืนอยู่ข้างๆ นางจึงขยับตัวเพื่อเปิดทางไปด้านข้าง ต่อมาก็ได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งของสตรีดังมาจากด้านข้าง
“เ้าก็คือซูิเยว่สินะ เจอเปิ่นกงแล้วยังไม่ทำความเคารพอีกหรือ?”
มือที่ถือผ้าของซูิเยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง นางหันไปมองด้านข้างแล้วก็ตะลึงไปเสี้ยววินาที
องค์หญิงเจ็ด? สตรีที่สวมชุดใส่ทั้งทองและเงินเชิดหน้ามองอยู่ นางไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็องค์หญิงสี องค์หญิงคนที่เจ็ดของวัง ด้านหลังมีสาวใช้ติดตามมาด้วยสองคน
ทั้งๆ ที่องค์หญิงสีตัวก็ไม่ได้สูงกว่าซูิเยว่ แต่กลับเชิดหน้าผากขึ้นสูง นางทำท่าเหมือนไม่ยอมอยู่ในโลกเดียวกันพร้อมกับส่งสายตาเหยียดหยามซูิเยว่ออกมา
เมื่อชาติก่อนซูิเยว่ไม่ค่อยได้พูดคุยกับองค์หญิงเจ็ดสักเท่าไร เพียงแต่เคยได้ยินเื่ความยโสโอหังไม่มีเหตุผลขององค์หญิงท่านนี้เท่านั้น วันนี้ถือว่าได้เจอเข้าแล้ว
นางยกยิ้มพลางคิดว่าการมีปัญหาน้อยลงสักเื่จะดีกว่าการมีปัญหาเพิ่มขึ้นจึงย่อตัวทำความเคารพ “ถวายบังคมเพคะองค์หญิง”
แต่คิดไม่ถึงว่ารอยยิ้มนี้จะทำให้องค์หญิงสีไม่พอใจ “เ้ายิ้มอะไร?”
ซูิเยว่ี้เีอธิบาย “หม่อมฉันแค่ดีใจที่ได้เจอองค์หญิงเท่านั้นเพคะ”
“เ้าโกหก” องค์หญิงสีโมโหจนตาโต “เ้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้นชัดๆ”
ในใจของซูิเยว่เอือมระอา นางถอนหายใจออกมาน้อยๆ “เช่นนั้นหากองค์หญิงคิดว่าอย่างไรก็เป็อย่างนั้นแล้วกันเพคะ”
นางพูดจบก็ไม่ได้สนใจองค์หญิงสีอีกแล้วหมุนตัวไปพิจารณาผ้าในมือต่อ
องค์หญิงสีถูกท่าทีของซูิเยว่ทำให้โกรธจนหน้าแดง นางชี้นิ้วสั่นๆ ไปทางซูิเยว่ “เ้า... เ้า.....”
สาวใช้ข้างกายนางสองคนก็เริ่มตำหนิซูิเยว่ “สามัญชนต่ำต้อยคนหนึ่ง เหตุใดถึงได้ทำตัวไร้มารยาทกับองค์หญิงของพวกเราเช่นนี้”
“เ้าทำให้องค์หญิงของพวกเราโกรธเช่นนี้ เ้ารับผิดชอบไหวหรือ?”
ซูิเยว่ขมวดคิ้วรำคาญแล้วปล่อยให้คำพูดของสองคนนั้นเป็เสียงนกเสียงกาไป นางไม่ได้สนใจ
องค์หญิงสีกระทืบเท้าแล้วตวาดเสียงดังอย่างโมโห “ซูิเยว่ ในสายตาของเ้าไม่มีเปิ่นกงเลยหรือ?”
ในที่สุดซูิเยว่ก็หันตัวมามององค์หญิงสี น้ำเสียงแฝงความเยือกเย็นเอาไว้ “องค์หญิงยังมีธุระอีกหรือไม่เพคะ หากไม่มีหม่อมฉันขอตัวก่อน”
พูดจบก็ไม่รอให้องค์หญิงสีเอ่ยปาก นางรีบหยิบผ้าสีขาวอมฟ้าเดินตรงไปยังโต๊ะเก็บเงินของชั้นสามทันที “เสี่ยวเอ้อร์ ข้าเอาผืนนี้ ห่อให้ข้าเลย”
องค์หญิงสียืนกำหมัดแน่นอยู่ที่เดิม ความโกรธในแววตาขยายออกมาเต็มไปหมด นางหมุนตัวสาวเท้าเดินไปทางโต๊ะจ่ายเงิน ในตอนที่เสี่ยวเอ้อร์กำลังจะห่อให้ซูิเยว่ นางก็พูดเสียงดังออกมา “ผ้าผืนนี้เปิ่นกงจะเอา”
ซูิเยว่ขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้สนใจแล้วพูดต่อ “เสี่ยวเอ้อร์ ห่อให้ข้าก็พอ”