จักรพรรดิอักขระลัวซู่ ก็คือหนึ่งในสามจักรพรรดิ
บัดนี้ผันผ่านมาหลายหมื่นปี เผ่ามนุษย์ได้และสั่งสมอำนาจไว้ในอาณาจักรหลายต่อหลายเมือง สภาพความเป็อยู่ดีทวีคูณ มีอิสรภาพในเผ่าพันธุ์ และตำนานเื่สามจักรพรรดิห้าราชันก็ได้เล่าขานปากต่อปากสืบมา กระตุ้นให้กำลังใจเหล่าจอมยุทธ์รุ่นสู่รุ่นให้พัฒนาอย่างเปี่ยมปณิธาน พิทักษ์สิทธิ์ในการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์ไว้ให้ได้สืบมา
แคว้นเสวี่ยตั้งอยู่ในภพไทวะ จากสายหนึ่งของอารยะอักขระ บรรพบุรุษเผ่ามนุษย์ที่น่ากราบกราน เป็จักรพรรดิลัวซู่ ดังนั้นในเขตศูนย์กลางสำนักกวางขาวนี้ การจะมีประติมากรรมของจักรพรรดิอักขระจึงเป็เื่ธรรมดายิ่ง
ทว่าเหมือนเทวรูปขนาดั์เพียงนี้ เ่ิูเพิ่งเคยพบเคยเห็น
หยัดยืนอยู่เบื้องล่างเทวรูปจักรพรรดิอักขระลัวซู่ เ่ิูรู้สึกเหมือนตัวเองเล็กกะจ้อยเท่ามดตัวหนึ่งเท่านั้น
และประติมากรรมนี้ก็หาได้เหมือนของธรรมดาเสาะหาได้ทั่วไปไม่ มีแสงสีทองอ่อนจางพันรอบกายเนื้อ เป็พลังแปลกประหลาดชนิดที่เ่ิูไร้ทางล่วงรู้ว่ามันคือสิ่งใด
ยามจับจ้องเทวรูปเนิ่นนาน เื่ประหลาดก็เริ่มบังเกิด...
เด็กหนุ่มสายตาเริ่มพร่าเลือน ความรู้สึกวิงเวียนยากจะบังคับ เส้นของประติมากรรมประหนึ่งสายน้ำหลั่งไหล คิ้วและั์ตาราวกับกำลังกะพริบ
ราวกับว่าอีกครู่ต่อมา เทวรูปจะกลับฟื้นคืนชีพ
และขณะเดียวกันนั้น กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ทรงอำนาจก็ตลบอบอวลออกมาจากเทวรูปจักรพรรดิอักขระ กระจายกลืนกินทั่วอากาศธาตุ ชวนให้คนใต้อาณัติยอมสยบราบคาบด้วยเกรงขาม
“ในเทวรูปนี้ แอบซ่อนความหมายคลุมเครืออยู่”
เ่ิูตะลึงในใจลับๆ
เขาไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกแบบเดียวกันกับตนหรือไม่
ตอนเบนหน้ามองโดยรอบ ก็พบว่าทุกคนกำลังตั้งใจฟังคำบรรยายของเบื้องสูงอย่างจริงจัง ไม่แสดงทีท่าแปลกๆ เลย ราวกับว่าเทวรูปจักรพรรดิอักขระมิได้ส่งผลถึงตัวพวกเขา
ทันใดนั้นเอง เ่ิูก็รู้สึกเหมือนมีสายตาหนึ่งจ้องเขม็งมาที่ร่างกายเขา เต็มเปี่ยมด้วยการรุกราน มองหัวจรดเท้าอย่างประเมินโดยไม่ลังเล
เขาเบนหน้าไปหาต้นตอ กลับมองเห็นัเีจ้องมองเขาโดยตรง
เมื่อเห็นเ่ิูจับได้ ัเีก็มิได้หลบตาแต่อย่างใด กลับเลิกคิ้วขึ้นพลางหัวเราะฮี่ๆ ใช้การทักทายด้วยรูปแบบอันเป็เอกลักษณ์ของตัวเอง
เ่ิูนิ่ง แล้วก็ยิ้มให้ในบัดดล
ยังจำที่เวินหว่านบอกไว้ได้ ตอนที่หลิวหยวนชั่งระแคะระคายว่าเขาเป็คนฆ่าหลิวเล่ย ้าจะจับกุมเขาไว้ กลับถูกัเีซ้อมเละเทะชนิดไม่บอกเหตุผล ปกป้องเขาไว้ได้อย่างแข็งแกร่งนัก...
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าัเีช่วยเขาเพราะอะไร แต่ในใจเด็กหนุ่มกลับชื่นชมและซาบซึ้งในตัวชายหนุ่มที่ดูก้าวร้าวไม่เชื่อฟัง ดื้อด้านเหลือหลายนี้ยิ่งนัก
“เอาล่ะ ข้าก็ได้พูดในสิ่งที่จำเป็ต้องรู้ไปแล้ว” เสียงปิดฉากของเ้าสำนักสดใสขึ้นมากนัก “ข้าเชื่อว่าพวกเ้าทุกคนจะเลือกอาวุธิญญาที่พวกเ้าพอใจไว้แล้ว แม้จะแค่หยิบยืมชั่วครั้งชั่วคราว ทว่ามีคุณประโยชน์ต่อพวกเ้ายิ่งนัก ใช้ใจและความเข้าใจหลอมรวมกัน แม้จะเป็เวลาไม่กี่วันก็มีสิทธิ์ช่วยยกระดับพลังของพวกเ้าได้มากมายทีเดียว...”
“ข้าเตรียมตัวนานแล้วขอรับ!”
“คราวนี้ต้องสั่งสอนเ้าพวกหงส์ฟ้านั่นให้หลาบจำ!”
“ฮ่าๆ มี ‘โคจรเปลวเพลิง’ ในกำมือแล้ว ข้าสามารถเผชิญหน้ากับนักยุทธ์น้ำพุสิบตาได้ ฮึๆ ต้องสั่งสอนเ้าหลินไป๋อีของพวกศิษย์หงส์ฟ้าให้รู้สำนึกหนักๆ ได้แน่!”
“ ‘กระบี่หทัยเยือก’ ให้เชื้อเพลิงกับข้ามากมาย สองวันนี้ต้องพิชิตได้...”
เหล่าศิษย์ผู้ฮึกเหิมแสดงออกมากันเซ็งแซ่ เผยความมั่นใจอย่างเปิดเผย
เ่ิูเองก็รู้สึกถึงความเชื่อมั่นอันไร้ที่มาจากคนเหล่านี้ ราวกับทุกคนได้มองหาหนทางชนะศึกกับพวกศิษย์หงส์ฟ้าแล้ว เขารู้แล้วว่าข่าวลือที่ว่าเป็เื่จริง สำนักกวางขาวได้ ‘ยืม’ อาวุธิญญามาจำนวนมาก แบ่งแจกจ่ายให้กับเหล่าอัจฉริยะที่เข้าร่วมการแข่งขันใหญ่...
แต่ปัญหาก็คือ ตัวเขาที่เป็หนึ่งในผู้แข่งขันเหมือนกัน ไฉนถึงไม่ได้ส่วนแบ่งด้วยเล่า?
ตอนกำลังฉงนอยู่นั้นเอง ดวงใจก็เต้นตึก สายตาชำเลืองมองฉินอู๋ซวงที่มองเขาอย่างดูถูกดูแคลน
“ยังมีนักเรียนบางท่านไม่ได้อาวุธิญญา เพราะอาวุธิญญาที่กองทัพส่งให้เรานั้นเกิดปัญหาระหว่างการขนส่ง สำนักได้จัดการส่งอาจารย์าุโสี่ท่านไปรับ่ต่อแล้ว พรุ่งนี้ก่อนการแข่งขันอาวุธก็น่าจะถึงมือแล้ว...”
หัวหน้าหมวดปีหนึ่งหวังเยี่ยนเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก เมื่อเหลือบเห็นเ่ิูเป็ต้นจึงประกาศ
เ่ิูจับจ้องอย่างตั้งใจ ศิษย์หลายคนเมื่อได้ยินคำอธิบายนั้นแล้วก็ถอนหายใจ เหมือนยกูเาออกจากอกก็ไม่ปาน เด็กหนุ่มทายทักเอาเองว่าคนเ่าั้น่าจะเป็นักเรียนที่ยังไม่ได้อาวุธิญญา
มีเพียงัเีเท่านั้นที่เอนอิงด้านหนึ่ง แล้วหัวเราะเฮอะๆ อย่างมิใส่ใจ
“ณ บัดนี้จนถึงเริ่มแข่งขันใหญ่ในวันพรุ่ง ทุกคนต้องอยู่ที่นี่ จะมีอาจารย์ชำนาญการพิเศษมาช่วยตอบปัญหาและข้อสงสัย การฝึกฝนหรือคำถามใดก็ตามที่เกี่ยวกับสมรภูมิหุบเขาปัดป้อง สามารถถามได้ตลอดเวลา...” เ้าสำนักยิ้มจนตาปิด
กลุ่มนักเรียนพลันะโยินดีกันยกใหญ่
มีโอกาสได้คำชี้แนะฝึกฝนจากอาจารย์ชั้นาุโ หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร โดยเฉพาะคณาจารย์าุโหลายท่านเหล่านี้ ล้วนเป็ผู้แข็งแกร่งนามลือเลื่องของลู่ิทั้งสิ้น ปกติแล้วจะหาเจอตัวได้ยากมาก นักเรียนตาดำๆ จะมิให้ตื่นเต้นได้อย่างไรไหว?
เ่ิูใจเต้น
เขามีความขัดข้องนิดหน่อยในเื่การฝึก ้าคำชี้แนะ
ทว่าสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง ก็คือสภาพการณ์จริงมันต่างกับที่คิดไว้ลิบลับ
ถามอาจารย์าุโไปสองสามท่านติดกัน ถ้าไม่เ็าไม่แยแสก็เอ่ยไม่ต่างกับที่บันทึกไว้ในตำรา ไม่ได้มีข้อมูลใหม่อะไรเลย เขาลองพูดความคิดตัวเองไม่ก็สิ่งที่บันทึกไว้ในสมุดเล่มเล็กสองเล่มนั้นออกมา เพื่อจะตรวจสอบพิสูจน์ ผลกลับเป็ถูกติเตียนอย่างรุนแรงเสียอย่างนั้น...
“เ้าทำผิดกฎที่บัญญัติไว้!” อาจารย์าุโตวาดสายตาปรามาส
“แต่ข้า...” เ่ิูจะเอ่ย
“เด็กคนนี้ไม่อาจสอนได้” อาจารย์าุโท่านนี้ปิดตาแล้วปัดป่ายมือ ท่าทีแข็งไม่เอ่ยกล่าวสิ่งใดอีก
เ่ิูทำได้เพียงยอมหยุดไป
...
...
ขณะเดียวกัน
เขตเรือนพักแขกของสำนักกวางขาว
ที่พักพิงของกลุ่มศิษย์หงส์ฟ้าที่มาเยี่ยมเยียน
“คนกวางขาวนี่น่าขำเสียจริง ถึงขั้นไปยืมอาวุธิญญาจากข้างนอกมา เฮอะๆ อยากชนะจนบ้าไปแล้วกระมัง?”
“แค่มีอาวุธิญญาแล้วอย่างไร? คิดจะเทียบชั้นหงส์ฟ้าพวกเราหรือ? เฮอะๆ ข้ารวมเป็หนึ่งเดียวกับศาสตราวุธได้ก่อนขึ้นปีหนึ่งเสียอีก คนกวางขาวนี่ช่างจนตรอกเสียจริง...”
“อย่าเพิ่งย่ามใจเกินไปนัก ข่าวว่ามาว่าหลายปีนี้สำนักกวางขาวได้ยอดฝีมือมาไม่น้อยเลย ควรค่าจะจับตามอง เช่น ไป๋อวี้ชิง พลังไม่อาจดูเบาได้เลย อย่าหลงระเริงจนตาบอด ตายน้ำตื้นได้เชียวนะเว้ย!”
“อ้อ ใช่แล้ว ัเีคนนั้น...”
“อย่าไปยุ่มย่ามเลยจะดีกว่า เป็บุรุษที่แม้แต่อัจฉริยะอันดับหนึ่งของสิบสำนักอย่างตานเฉินจื้อยังปวดหัว...แต่ว่า ลำพังแค่พลังของเขาคนเดียวก็เปลี่ยนผลการแข่งท้ายสุดไม่ได้อยู่ดีน่า!”
“ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมคนพิลึกอย่างัเีจึงได้คิดเข้าสำนักกวางขาว?”
“เอ๋ ศิษย์น้องสวี่ ไยเ้าไม่พูดอะไรเลยเล่า? กำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”
“อ้อ ข้าคิดถึงอีกคนที่อาจเป็อุปสรรคเล็กน้อยของพวกเราได้” สวี่เกอคืนสติกลับมา เอ่ยถึงศิษย์กวางขาวที่ตนพบในหอสมุดสาธารณะวันนั้น “เขาคนนั้นแกร่งมาก ข้ารู้สึกได้ เหมือนจะชื่อเ่ิูอะไรนี่แหละ...”
“เ่ิู? เฮอะๆ อย่างนั้นก็ชักน่าสนใจแล้วสิ เมื่อวานก็มีคนสำนักกวางขาวแอบมาหาข้าลับๆ ให้ข้าระมัดระวังคนบางคนในการแข่งใหญ่นี้ให้ดี เ่ิูก็เป็หนึ่งในนั้นด้วย...”
“คนสำนักกวางขาวมาหาศิษย์พี่อิ่นหรือ?”
“ใช่แล้ว พวกแบ่งพรรคแบ่งพวกกันไร้สาระ มีผลพวงเกี่ยวข้องกับการแข่งแห่งเกียรติยศของสำนักพวกมัน พวกที่เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะพวกนี้ ไม่เพียงไม่สามัคคีเท่านั้น หนำซ้ำยังวางแผนลอบกัดกันอีก...เฮอะๆ พวกน่าสมเพชเอ๊ย!”
“หากเป็เช่นนี้ต่อไปจริง งั้นสำนักกวางขาวก็จบเห่มานานแล้วสิ!”
“อีกเื่หนึ่งศิษย์พี่กง สองวันนี้ทำไมไม่เห็นพวกท่านเ้าสำนักเฉินเลยล่ะขอรับ?”
“เ้าสำนักมีธุระสำคัญต้องทำ พวกเ้าไม่ต้องไปยุ่งหรอก เตรียมตัวแข่งขันใหญ่ให้ดีเถอะ หวังว่าพวกเ้าจะไม่มีข้อบกพร่องอะไรนะ ไม่เช่นนั้นแล้วเ้าสำนักเฉินคงโกรธเกรี้ยว ลงกับพวกเ้าสถานหนักทีเดียว”
“ทราบแล้วขอรับ ศิษย์พี่กง!”
...
...
อาทิตย์เริ่มสาดส่องแสง
กลางลานแสดงยุทธ์แต่ละชั้นปีของสำนักกวางขาวมีกลุ่มคนอัดรวมกันแน่นขนัด โดยเฉพาะตรงหน้ากระจกศิลา ยิ่งกระเบียดกระเสียดกันจนไร้ที่ว่าง สายตานับคู่ไม่ถ้วนจับจ้องไปบนแผ่นศิลา
“เริ่มแข่งแล้วหรือยัง?”
“ใกล้แล้วๆ!”
“นั่นคือสนามแรกที่ต้องเข้าหรือ?”
“เห็นบอกว่าเรียงตามลำดับสูงต่ำ สนามแรกควรจะเป็การแข่งของปีสี่จากสองสำนักนะ!”
“พวกเราจะชนะไหม?”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ศิษย์พี่ไป๋กับศิษย์พี่หานพลังแข็งแกร่งเดาไม่ได้เลยนะ คงชนะได้กระมัง...”
กลุ่มคนรวมตัวจ้อกแจ้กจอแจ
บนกระจกศิลานั้น แม้จะไม่ได้เห็นภาพบนสมรภูมิหุบเขาปัดป้องกับตาตัวเอง ทว่าก็สามารถเห็นผลศึกแพ้ชนะได้ตามเวลาเป๊ะ รวมทั้งการเปรียบเทียบพลังของสองฝ่าย ผลชนะ ผลพ่ายแพ้ การสังหารหรือการตาย เป็ต้น...
ด้วยสถิติเหล่านี้ จะสามารถกะสถานการณ์ในสมรภูมิและตัดสินใจว่าฝ่ายใดถือไพ่เหนือกว่า และฝ่ายใดที่จะถูกทำลายศักดิ์ศรีไร้เยื่อใย!
ทันใด...
เสียงระฆังกังวานใสดังไปทั่วสำนัก
คนทั้งหลายอารมณ์พุ่งพล่านในบัดดล
“เริ่มแล้วๆ!”
“ศึกแรกจะเริ่มแล้ว!”
“ทั้งสองฝั่งต้องเข้าสมรภูมิไหม?”
“ชื่อโผล่มาแล้ว...สีน้ำเงินคือสำนักกวางขาว สีแดงคือสำนักหงส์ฟ้า...รีบดูเร็ว นามของศิษย์พี่หญิงไป๋ ศิษย์พี่หานเซี่ยวเฟย ศิษย์พี่หานซวงสวี่ ศิษย์พี่หญิงเี๋เี่า ศิษย์พี่หลี่ิซินออกมาแล้ว...”
“ตื่นเต้นจริง การต่อสู้อีกครู่เดียวก็เริ่มแล้ว...”
“ยังไม่เห็นสองฝ่ายลงมือเลยนี่หน่า...”
“ข้าได้ยินมาว่าพอเข้าสมรภูมิหุบเขาปัดป้องแล้ว คนทั้งหมดจะถูกกดพลังเป็ระดับเดียวกันหมดหรือเปล่า?”
“ข้าไม่รู้ ไม่เคยเข้านี่หว่า!”
“เอ๊ะ? อะไรกันเนี่ย? ชื่อของศิษย์พี่หลี่ิซินเริ่มกะพริบแล้ว...”
“ท่าไม่ดีแน่ เขาถูกโอบล้อมโจมตี!”
“ชื่อหายไปแล้ว...”
“ศิษย์พี่หลี่ิซินตายแล้ว!”
“เร็วจริงว่ะ!”
“นี่มันเร็วไปแล้วนะ สำนักหงส์ฟ้าเก่งขนาดนี้เลยหรือนี่? ‘กระบี่หัตถ์เบ็ดเสร็จ’ ของศิษย์พี่หลี่ิซินหาใครต่อกรในการแข่งใหญ่ของสำนักได้ยากมากเลยนะ...”
“นี่...เอ๊ะ? ดูสิ ชื่อของศิษย์พี่เรืองแสงขึ้นมาอีกแล้ว หรือว่า...”
“เห็นว่าตอนอยู่ในสมรภูมิหุบเขาปัดป้อง ทุกคนจะมีโอกาสฟื้นคืนชีพได้สามครั้ง หากถูกคู่ต่อสู้โจมตีสังหารครบสามครั้ง ก็จะถูกส่งออกจากสมรภูมิ ถูกขับออกจากการต่อสู้อย่างสิ้นเชิง...”