“ศิษย์พี่หลิง?” โหยวเสี่ยวโม่เรียกเขา รู้สึกว่าวันนี้หลิงเซียวดูแปลกไป
หลิงเซียวกระแอม “ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธี แต่ว่าถ้าทำตามวิธีข้าอาจทำให้ต้นหญ้าเซียนด้านในได้รับผลเสียหาย ดังนั้นต้องหาวิธีอื่น ก่อนที่จะเข้ามา ข้าพบว่าลักษณะของถ้ำนี้แปลกพิสดาร เหมือนไม่ใช่ฝีมืุ์ ราวกับถูกสร้างขึ้นด้วยพลังปราณมากกว่า”
โหยวเสี่ยวโม่สูดหายใจลึก ก็ได้กลิ่นพลังปราณจริงๆ
นี่มันเยี่ยมยอดไปเลย คิดไม่ถึงว่าเขาอู๋ซวงจะมีที่แบบนี้ซ่อนอยู่ หากว่าสร้างจากพลังปราณจริง น้ำแข็งแกะสลักในถ้ำน้ำแข็งนี่คงจุด้วยพลังปราณเข้มข้นเป็แน่
“ศิษย์พี่หลิง หากว่าน้ำแข็งพวกนี้ทำจากพลังปราณจริง งั้นเราจะเอาต้นหญ้าเซียนออกมาได้ยังไงกัน?”
โหยวเสี่ยวโม่หน้าอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีหญ้าเซียน แต่นั่นล้วนเป็หญ้าเซียนขั้นหนึ่งถึงสาม ขั้นสี่ขึ้นไปเขาไม่มีเลยสักต้น
ดังนั้นตอนเห็นหญ้าเซียนพวกนี้ถึงได้ตื่นเต้นดีใจ เพราะเขาเคยเห็นส่วนหนึ่งจากแปลงของอาจารย์ แม้ไม่รู้ว่าของขั้นไหน แต่ต้องเป็ขั้นสี่ขึ้นไปแน่นอน
“เ้าลองใช้พลังปราณิญญาดูสิ” หลิงเซียวแนะนำเขาอย่างอ่อนโยน
โหยวเสี่ยวโม่รีบหลับตา ทำตามที่เขาบอกปล่อยพลังปราณิญญาออกมา ค่อยๆ คลุมก้อนน้ำแข็งไว้
ภาพน่าตกตะลึงเกิดขึ้นแล้ว เมื่อพลังปราณจากโหยวเสี่ยวโม่ัักับน้ำแข็งแกะสลัก จากนั้นมันก็ค่อยๆ ละลายตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเช่นนั้น โหยวเสี่ยวโม่ก็เร่งปล่อยพลังปราณออกมามากขึ้น เดิมทีก้อนน้ำแข็งที่สูงเท่าครึ่งลำตัวของคนก็หลอมละลายเป็ของเหลว ต้นหญ้าเซียนที่จมอยู่ในธารน้ำปราณนั้นไหวตัวทีหนึ่ง ใบนั้นสวยงามราวหยกอ่อน ไม่เสียหายแม้แต่นิด
โหยวเสี่ยวโม่รีบหยิบพลั่วเล็กๆ ออกมาจากถุงเก็บของ จากนั้นขุดรากหญ้าเซียนขึ้นมาทั้งดินอย่างเบามือ
หญ้าเซียนต้นนี้นั้นโตดีมาก พลังปราณที่จุอยู่ในนั้นสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทั้งยังดีกว่าที่โหยวเสี่ยวโม่ปลูกด้วยน้ำปราณจากทะเลสาบเสียอีก คงเพราะมันเติบโตในที่ที่พลังปราณเข้มข้น ดังนั้นจึงถูกหล่อเลี้ยงมาเป็อย่างดี ไม่เหมือนหญ้าเซียนในห้วงมิติของเขาที่แค่รดน้ำสามสี่รอบ
มองอย่างรักใคร่อยู่ครู่หนึ่ง โหยวเสี่ยวโม่นึกขึ้นว่าต้องเก็บเข้าห้วงมิติ
“ศิษย์พี่หลิง ท่านว่าน้ำปราณนี้กับในห้วงมิติของข้าอันไหนจะดีกว่ากัน?”
โหยวเสี่ยวโม่ใช้มือตักน้ำปราณนั่นขึ้นมา เหมือนว่าความเข้มข้นจะสูงกว่าน้ำปราณในทะเลสาบ
หลิงเซียวซึ่งเดินไปดูรอบๆ ขณะที่เขาขุดหญ้าเซียน เมื่อได้ยินเขาพูด จึงเอ่ยอย่างไม่คิด “แน่นอนต้องน้ำปราณของเ้าต้องดีกว่า”
“ทำไมล่ะ?” โหยวเสี่ยวโม่หันมาถามอย่างไม่ลดละ
“ที่น้ำแข็งก่อตัวขึ้นก็เพราะคาถาอาคมเบื้องล่างที่ซับซ้อนนั่น คาถาพวกนั้นทำให้เกิดการก่อตัวลักษณะแปลกประหลาดเช่นนี้ขึ้น เพียงแต่น้ำปราณพวกนี้ดูดซึมพลังปราณจากเขาอู๋ซวง จากนั้นถูกอากาศธาตุบีบอัดถึงกลายเป็แบบนี้ พูดถึงความบริสุทธิ์ เทียบไม่ได้เลยกับน้ำปราณในห้วงมิติของเ้า แต่ว่า…” หลิงเซียวไม่หันกลับมา เท้าพาดขึ้นบนน้ำแข็งแกะสลักหญิงงาม เท้านั้นวางอยู่บนหน้าหญิงงามพอดิบพอดี
โหยวเสี่ยวโม่เหลียวกลับมามอง เบ้ปาก จากนั้นถามต่อ “แต่ว่าอะไร?”
“แต่ว่าน้ำปราณพวกนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ เ้าสามารถเก็บไว้ได้ อีกหน่อยไว้ใช้เป็ของกำนัล” หลิงเซียวหันกลับมา รอยยิ้มที่เผยออกมาอย่างมีเลศนัยั้แ่ตอนไหนไม่รู้ จ้องมองโหยวเสี่ยวโม่ จนเขากังวลนึกว่าตัวเองมองผิดไป
“ท่านหมายความว่ายกน้ำปราณให้คนอื่น?” โหยวเสี่ยวโม่ตะลึง
“ใช่แล้ว น้ำปราณนั้นสำหรับนักฝึกตนในดินแดนหลงเสียงนับว่าเป็ของหายาก ทั้งสามารถใช้เพาะปลูกหญ้าเซียน อีกทั้งยังใช้ฟื้นฟูพลังกายและพลังปราณเหมือนเ้าได้อีกด้วย ใช่สิ…” หลิงเซียวหันมาทันใด มองโหยวเสี่ยวโม่ดวงตาเป็ประกาย “เ้าบอกว่าจะเอายาเซียนตันไปประมูลขายไม่ใช่รึ น้ำปราณนี่ก็ประมูลขายได้เช่นเดียวกัน”
“เื่จริงงั้นเหรอ?” ดวงตาโหยวเสี่ยวโม่เป็ประกายสว่างจ้า
“ก็ต้องไม่จริงอยู่แล้ว” หลิงเซียวเห็นท่าทีนั้นแล้วนึกคึก แต่ก่อนทำไมไม่เคยสังเกตว่าดวงตาเขาน่าหวั่นไหวขนาดนี้นะ? ผลคือไม่ทันรู้ตัว ก็เผลอแกล้งเขาอีกแล้ว
โหยวเสี่ยวโม่หุบยิ้มแทบไม่ทัน ปัดโธ่เอ้ย เวลานี้แล้วยังจะโกหกกันอีก เลิกใจร้ายแบบนี้จะได้มั้ย!
หลิงเซียวเห็นแววตาเคืองของเขา จึงดึงสติกลับมา กระแอมเบาๆ แล้วหัวเราะ “ข้าหยอกเ้าน่ะ แน่นอนว่าเื่จริง น้ำปราณนี่สามารถขายได้ราคาที่สูงกว่ายาทดแทนความหิวของเ้าเสียอีก เอาเถอะ รีบเก็บน้ำแข็งแกะสลักพวกนี้ พวกเราต้องรีบกลับไปก่อนถึงเวลาลาดตระเวน”
โหยวเสี่ยวโม่มองเขาแล้วเอ่ย “ในห้วงมิติมีถังเหลือไม่เยอะ คงไม่พอใส่น้ำปราณพวกนี้”
หลิงเซียวไตร่ตรองชั่วครู่ คิดวิธีออก “เ้าอย่าพึ่งละลายน้ำแข็งพวกนี้ ลองดูสิว่าจะใช้พลังปราณิญญาหั่นพวกมันออกได้หรือไม่ ถ้าได้ ก็เอาไปทั้งก้อน แบบนี้เห็นจะประหยัดเวลากว่า”
โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกว่าวิธีนี้ไม่เลว จึงทำตามที่เขาบอก
พลังปราณิญญานั้นละลายน้ำแข็งพวกนี้ได้ ถ้างั้นการหั่นออกก็ไม่น่าใช่ปัญหา จากนั้นแบ่งพลังปราณออกไปเส้นบางๆ จากนั้นเลื่อยเข้าไปยังฐาน ไม่นานน้ำแข็งก็แย่งออกจากกัน โหยวเสี่ยวโม่รีบเก็บเข้าห้วงมิติเร็วไว บนพื้นมีเพียงรอยเรียบลื่นเหลืออยู่
เมื่อวิธีนี้ง่ายกว่า โหยวเสี่ยวโม่ก็เร่งใช้วิธีนี้
ระหว่างนี้หลิงเซียวไม่มีอะไรทำ จึงช่วยเขาเดินสำรวจว่าก้อนไหนมีของดีอะไรซ่อนอยู่หรือไม่ เมื่อเห็นอันไหนดีก็เรียกโหยวเสี่ยวโม่มาหั่นออก
สองคนร่วมด้วยช่วยกัน หนึ่งชั่วยามให้หลังก็ทำจนเสร็จอย่างรวดเร็ว ทั้งถ้ำถูกพวกเขาเลื่อยน้ำแข็งออกไปราวหนึ่งในยี่สิบส่วน จนต้องพอก่อน เพราะพลังปราณิญญาของเขาเริ่มร่อยหรอ
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน ค่อยหาโอกาสมาอีก เ้าก็เก็บได้พอสมควรแล้ว คงพอใช้สักระยะ”
หลิงเซียวเดินไปข้างเขา มือหนึ่งยื่นออกมาพยุงใต้รักแร้เขาขึ้นมา
โหยวเสี่ยวโม่พยักหน้า แม้ตาจะแดงก่ำ แต่ก็เก็บได้เยอะพอสมควร นอกจากน้ำแข็งแกะสลักที่กองเป็ูเา ยังได้หญ้าเซียนมาสิบกว่าต้น แต่เพราะเขายังไม่รู้จักหญ้าเซียนขั้นสี่ขึ้นไป ดังนั้นจึงต้องเก็บไว้ก่อน
สองคนเดินออกจากถ้ำ ด้านนอกก็มืดสนิทแล้ว
เดิมทีหลังเขาถูกป่าหนาทึบปกคลุม พอฟ้ามืดก็ยิ่งมองอะไรไม่เห็น ลมหนาวเย็นะเืจนเข้ากระดูก ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ป่า โหยวเสี่ยวโม่กอดอกลูบแขนเสื้อ สองขาเริ่มสั่นระทวย หากไม่ใช่เพราะหลิงเซียวโอบเอวเขาไว้ คงฟุบลงพื้นไปแล้ว
“ข้าแบกเ้าดีกว่า” หลิงเซียวเอ่ยข้างหูเขา ลมอุ่นพัดเข้าหูรู้สึกจั๊กจี้
โหยวเสี่ยวโม่ถูกลมอุ่นพัดจนหูแดง ทนไม่ไหวถูคลำหู “เปลี่ยนเป็แบบอื่นไม่ได้เหรอ?”
หลิงเซียวยกมุมปาก เผยรอยยิ้มมีเลศนัย มือข้างหนึ่งยกขึ้นพาดไหล่ แล้วเอ่ย “หรือศิษย์น้องเล็กอยากให้ข้าอุ้มท่าเ้าหญิง?”
“งั้นแบกหลังดีกว่า” โหยวเสี่ยวโม่รีบเอ่ย อุ้มท่าเ้าหญิง? เขาไม่ใช่ผู้หญิงเสียหน่อย
“งั้นก็ขึ้นมาสิ” หลิงเซียวหมุนตัว ย่อตัวลงเผยให้เห็นกล้ามเนื้อแข็งแรงตรงแผ่นหลังแลดูสวยงามน่ามอง แม้กระทั่งหลังยังดูดีขนาดนี้ มิน่าสาวๆ ถึงได้คลั่งเช่นนี้ คนเปรียบเทียบกันมีแต่จะอารมณ์เสีย
โหยวเสี่ยวโม่ลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปีนขึ้นหลังเขา สองแขนโอบล้อมคอเขาไว้ ชายต้องชายแตะตัวกันได้ เพื่อไม่ให้หล่นลงไป เขาจึงไม่ได้เขินอายอะไร
เมื่อััถึงความอบอุ่นจากคนที่อยู่บนหลัง หลิงเซียวยิ้มกริ่มเ้าเล่ห์ เมื่อยืนตรง สองมือก็จับหมับไปที่ก้นกลมกลึงเด้งทั้งสองข้าง ตอนเช้าก็รู้สึกได้แล้วว่าก้นโหยวเสี่ยวโม่นั้นเด้งดึ๋งนั่งอยู่บนตักเขารู้สึกนุ่มนิ่ม จนสายตาเกือบมีความอยากเผยออกมา
เมื่อก้นสองข้างถูกจับ โหยวเสี่ยวโม่สะดุ้งเฮือก
ถูกผู้ชายจับก้นรู้สึกเขินอาย แม้อีกฝ่ายจะทำเพื่อเขา แต่ในใจกลับอึดอัดบอกไม่ถูก
จนปัญญา โหยวเสี่ยวโม่ได้แต่พึมพำในใจ ทุกคนต่างก็เป็ผู้ชาย ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวก็ผ่านไป
สักพักร่างกายก็ถูกยกขึ้นสูง ลมหนาวพัดหวิวผ่านข้างลำตัว เพราะมีร่างหลิงเซียวบังอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกหนาวแต่อย่างใด กลับกันอุณหภมิจากตัวเขาทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ถ้าทำได้ เขาก็ไม่อยากไปไหนอีก
หลิงเซียวนั้นเร็วมาก เพียงสิบห้านาทีก็ออกจากหลังเขามาถึงถนนทางแยกที่เดินผ่านวันนี้ ไม่ไกลนักก็สามารถเห็นแสงไฟจากสายกลาง อาศัยแสงเงาจากพระจันทร์ หลิงเซียวหลบกลุ่มลาดตระเวนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกหอพัก ดีที่พึ่งออกลาดตระเวน จึงยังมาไม่ถึงจุดที่พวกเขาอยู่ บวกกับด้านนอกห้องเขาได้ร่ายม่านมิติจำลองไว้ ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไม่อยู่ในห้องมาสองชั่วยามแล้ว
เมื่อเข้าไปให้ห้อง หลิงเซียวจับโหยวเสี่ยวโม่วางลง “เ้าอยู่ในห้องก่อน ข้าออกไปสักพักเดี๋ยวกลับมา” พูดจบก็หันหลังออกไป
โหยวเสี่ยวโม่รีบถาม “ท่านจะไปไหน?”
“ไว้ข้ากลับมาแล้วจะเล่าให้ฟัง” หลิงเซียวพูดจบก็ออกไปจริงๆ เมื่อออกจากห้องเขาก็ร่ายม่านซ้ำอีกรอบ จากนั้นพุ่งตัวหายเข้าไปในความมืด