หลัวไป๋อิ่งรู้ดีว่าเหล่าไท่ไท่อยากเอ่ย “คำสั่งเสีย” กับนางซึ่งไม่สามารถพูดต่อหน้าธารกำนัลได้ แต่หลัวไป๋อิ่งจะยอมเสี่ยงตายได้อย่างไร หากนางถูกชายสวมหน้ากากจับเป็ตัวประกัน เช่นนั้น “คำสั่งเสีย” ของเหล่าไท่ไท่ก็คงไร้ค่า หลัวไป๋อิ่งรอชายสวมหน้ากากเอ่ยห้ามไม่ให้นางยกชาเข้าไป...ในเมื่อเขาไม่ยอมให้เหอตังกุยเข้าใกล้ ก็ต้องไม่ให้นางยกชาเข้าไปเป็แน่ ทว่ารออยู่นานชายสวมหน้ากากก็ยังคงนิ่ง หลัวไป๋อิ่งจึงทำได้เพียงเผชิญหน้ากับแววตาคาดหวังของเหล่าไท่ไท่ “ท่านย่า ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้วิธีชงชาเ้าค่ะ”
เหล่าไท่ไท่รู้ว่าการเรียกหาหลัวไป๋อิ่งนั้นเสี่ยงอันตราย แต่นางเป็คนที่สุขุมและน่าเชื่อถือที่สุดในตระกูลหลัว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลานสาวที่นางรักที่สุดจะปฏิเสธ “คำขอสุดท้าย” ของนาง เหล่าไท่ไท่โมโหจนไหล่ทั้งสองสั่นเทาพลางมองหลัวไป๋ฉยงก่อนเอ่ยสั่ง “เสี่ยวฉยง ขอชาให้ข้าหนึ่งถ้วย” เมื่อหลัวไป๋ฉยงได้ยินก็ทำทีจะลุกขึ้น เมื่อเหล่าไท่ไท่เห็นดังนั้นก็คิดในใจว่าใน่เวลาคับขันหลานสาวแท้ ๆ นั้นดีที่สุด
หลัวไป๋ฉยงหลานสาวที่ดีที่สุดพยายามลุกถึงห้าหกครั้งแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ก่อนเอ่ยพลางร้องไห้ “ท่านย่า ข้าขอโทษ ข้าลุกไม่ได้เ้าค่ะ ขาของข้าขยับไม่ได้เลยเ้าค่ะ ต้องเป็เพราะกระดูกหักเมื่อครู่แน่นอน” ท่านย่า ตอนนี้ท่านถูกจับเป็ตัวประกัน เหตุใดยังอยากดื่มชาอีก?
“ข้าก็อยากดื่มชาเหมือนกัน” จู่ ๆ เกิ่งปิ่งซิ่วก็เอ่ยกะทันหัน “สตรีชุดสีฟ้ายกชาเข้ามาเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะฆ่านาง” กล่าวจบก็เขย่าร่างเหล่าไท่ไท่
เมื่อพบว่าชายสวมหน้ากากหันมอง หลัวไป๋อิ่งจึงมองรอบ ๆ ด้วยความหวาดกลัว ก่อนพบว่าสตรีชุดสีฟ้านั้นมีเพียงนางคนเดียว สาวใช้คนอื่นล้วนสวมชุดสีเขียวทั้งหมด นางไม่รู้ว่าควรไปดีหรือไม่?
หลัวไป๋อิ่งขมวดคิ้วอย่างลังเล ชายลักพาตัวคนนั้นต้องรู้ว่าตนเป็คนสำคัญ เขาคง้าตัวประกันเพิ่มจึงให้ตนเดินไปหา ในโลกนี้มีใครที่รู้อยู่แก่ใจว่าหากเข้าไปจะต้องตายแต่ยังเลือกจะเดินเข้าไปบ้าง? แต่เขาข่มขู่นางด้วยชีวิตของเหล่าไท่ไท่ หากนางไม่ไปก็เท่ากับนางอกตัญญู ทั้งยังทำให้เหล่าไท่ไท่ต้องตายในทันที เช่นนั้นนางจะมีหน้าอยู่ในตระกูลหลัวได้อย่างไร...์ช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย มอบใบหน้าที่งดงามให้แก่นางแต่ร่างกายกลับอ่อนแอจนไม่สามารถแต่งงานได้ตลอดชีวิต หากอยู่ในตระกูลหลัวแล้วไม่มีอำนาจมากพอ เช่นนั้นตนจะไปที่ใดได้อีกเล่า?
เมื่อเกิ่งปิ่งซิ่วเห็นหลัวไป๋อิ่งไม่ขยับจึงกล่าวเสริม “เ้าไปหาสตรีเด็กผู้นั้น” เขาชี้เหอตังกุย “ให้นางกระซิบแผนดี ๆ ของนางกับเ้าแล้วมาพูดให้ข้าฟัง หากเ้าทำได้ ข้าจะไม่ทำร้ายเ้า”
เมื่อหลัวไป๋อิ่งได้ยินเช่นนั้นก็ใไม่น้อย นางคิดว่าเมื่อปีศาจตนนี้ยอมรับแผนการของเหอตังกุย เช่นนั้นเขาต้องฆ่าปิดปากตนและเหอตังกุยทันทีก่อนหลบหนีไป ไม่ ๆ ๆ นางจะไม่ช่วยพวกเขาถ่ายทอดคำพูดเด็ดขาด
เมื่อเมิ่งเซวียนได้ยินก็มองพิจารณาสาวน้อยที่สงบนิ่งด้วยความสนใจ เขาค่อนข้างแน่ใจว่าปีศาจกลัวสาวน้อยผู้นี้มากเสียจนไม่กล้าเข้าใกล้ เฮอะ ช่างน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเกิ่งปิ่งซิ่วครุ่นคิดครู่หนึ่งก็มองหลัวไป๋อิ่งพลางเอ่ย “แปดวันก่อน เ้าตกน้ำตอนเที่ยงคืนใช่หรือไม่? อันที่จริงข้าเป็คนผลักเ้า ฝ่ามือของข้ามีพิษ เ้าจะตายพร้อมร่างกายที่เน่าเปื่อยในอีกสองวัน แต่หากเ้ายกน้ำชาให้ข้าและนำความมาถ่ายทอดให้ข้าฟัง ข้าจะให้ยาแก้พิษแก่เ้า”
หลัวไป๋อิ่งแทบจะเป็ลมทันที ร่างกายเน่าหรือ? เมื่อพิษกำเริบก็ต้องตายกระนั้นหรือ? เหตุใดนางจึงไม่รู้สึกตัว? วันนี้นางไม่สบายเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีวี่แววของพิษ...เขาอาจโกหกนางก็เป็ได้ เมื่อหลัวไป๋อิ่งพิจารณาสักพักก็ตัดสินใจก้มศีรษะยืนที่มุมห้องเงียบ ๆ ถึงอย่างไรนางก็อยู่ไกลจากปีศาจตัวนั้น ฝ่ามือปีศาจของเขาไม่สามารถทำร้ายนางได้ ตราบใดที่นางไม่ยอมเข้าไป ปีศาจตัวนั้นก็จะมองหาคนอื่นเพื่อถ่ายทอดคำพูด หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เขาจะฆ่าเหล่าไท่ไท่ได้อย่างไร? เหล่าไท่ไท่เป็ยันต์ป้องกันตัวที่ดีที่สุดของเขา เมื่อหลัวไป๋อิ่งนึกได้เช่นนี้ก็หลับตาลง
เมื่อเหล่าไท่ไท่เห็นว่าเหตุการณ์ถึงขั้นนี้แล้วแต่หลานสาวที่เชื่อฟังทั้งสองคนกลับไม่ยอมเข้ามาฟัง “คำสั่งเสีย” ของนาง คนหนึ่งลุกไม่ได้ก็ไม่เป็ไร ทว่าอีกคน...ทั้งที่เดินเหินได้แต่กลับแสร้งไม่รู้ไม่ชี้ เหล่าไท่ไท่เดือดดาลจนหน้าเขียวคล้ำพลันสาปแช่งในใจ “หลัวตู้จ้ง นี่คือหลานสาวที่ดีที่สุดของเ้า ลูกหลานที่ดีของตระกูลหลัวไม่อาจล่วงรู้ความลับที่เ้าค้นพบ จะโทษข้าไม่ได้”
ในที่สุดหยางมามาก็อดรนทนไม่ไหวพลันพุ่งเข้ามาพร้ะโกนอย่างไม่ยินยอม “คุณหนู ข้าจะรินชาให้ท่านเอง” น้ำเสียงนั้นราวเหล่าไท่ไท่กำลังจะตายและนางจะเป็ผู้รินเหล้าอวยพรให้เหล่าไท่ไท่ไปสบาย
“ไม่ได้ เ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้” เหล่าไท่ไท่รีบะโห้าม นางหรี่ตาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนลืมตามองเหอตังกุยพลางเอ่ย “เสี่ยวอี้ ขอชาซานจาให้ข้าหนึ่งถ้วย” ไม่ใช่ว่านางไม่ไว้ใจหงเจียง แต่สามีของนางเตือนว่าความลับนั้นสามารถบอกได้เฉพาะลูกหลานตระกูลหลัวเท่านั้น แม้แซ่ของเสี่ยวอี้จะไม่ใช่แซ่หลัวแต่ชื่อของนางก็อยู่บนแผนผังตระกูล เหล่าไท่ไท่จะถือโอกาสปฏิบัติตามกฎโดยเปลี่ยนแซ่ของเสี่ยวอี้เป็แซ่หลัวก่อนตาย
เมื่อเหอตังกุยได้ยินคำพูดของเหล่าไท่ไท่ก็ได้สติกลับคืน ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวอย่างไม่รีบร้อน นางย่อตัวเคารพเหล่าไท่ไท่และชายสวมหน้ากากพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านยาย ท่านจะดื่มชาซานจาไม่ได้เ้าค่ะ” เมื่อเหอตังกุยเห็นเหล่าไท่ไท่มองมาด้วยความผิดหวังจึงพูดอีกครั้ง “แต่ข้าเห็นว่ารถเข็นของกานเฉ่ามีชาหลายชนิด ให้ข้าชงชาอวิ๋นอู้ให้ท่านจะดีกว่า”
“โอ้?” ไม่รอให้เหล่าไท่ไท่เอ่ยตอบ เมิ่งเซวียนก็พูดแทรกกะทันหัน “เหตุใดเหล่าไท่ไท่จึงดื่มชาซานจาไม่ได้?” เขามองเหอตังกุยด้วยสายตาหยอกเย้า สาวน้อย จริง ๆ แล้วเ้าใส่น้ำตาลในชามากเกินไปใช่หรือไม่? มันแทบจะเรียกว่า “วิธีที่ถูกต้อง” ไม่ได้เลยสักนิด
ก่อนหน้านี้สาวน้อยผู้นี้บอกว่า “ข้าเขียนวิธีชงชาบนห่อชา” ขณะเอ่ยแววตาของนางดูประหม่าและไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเมื่อสาวใช้บอกว่าทิ้งกระดาษไปแล้ว นางจึงโล่งใจ สีหน้าพลันดีขึ้นอีกครั้ง เป็เพราะเขาค้นพบความเฉลียวฉลาดและความพิเศษของนางระหว่างการแข่งหมากรุกก่อนหน้านี้ หากไม่เฝ้าดูทุกฝีก้าวก็คงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วภายใต้นิสัยอ่อนโยนและนิ่งสงบนั้นนางเป็คนเช่นไร
เหอตังกุยก่นด่าเมิ่งเซวียนในใจ ทว่าใบหน้ากลับเผยประกายรอยยิ้มสดใสพลางเอ่ยวาจาไร้สาระ “คุณชายเซวียนไม่รู้อะไร “เชื้อเพลิงข้าว น้ำมัน เกลือ ถั่วเหลือง น้ำส้มสายชูและชาเป็เจ็ดสิ่งจำเป็ในชีวิตประจำวันของเรา” ชาเป็สิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน การชิมชาก็้า “ความสงบ ความสะอาดและความเคารพ” แต่ตอนนี้หลักสำคัญทั้งสามกลับถูกทำลายด้วยความตื่นตระหนก ดังนั้นจะดื่มชาซานจาที่มีฤทธิ์ร้อนเหมือนสุราได้อย่างไร? แน่นอนว่าตอนนี้เหมาะแก่การดื่มชาอวิ๋นอู้อันล้ำค่าเพื่อระงับอารมณ์ของทุกท่าน”
เมื่อเมิ่งเซวียนได้ยินนางอธิบายเช่นนั้นก็พูดไม่ออกชั่วขณะ เหล่าไท่ไท่พลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ได้ ตังกุย โปรดชงชาอวิ๋นอู้ให้ยายสักจอก ยายมีเื่อยากพูดกับหลาน”
ชั่วขณะนั้นทุกคนในห้องโถงใหญ่ต่างกลั้นหายใจพร้อมมองเหอตังกุยที่เริ่มวางหม้อดินเผา ที่ล้างถ้วยชา ชุดน้ำชา ช้อนตักใบชา ที่คีบใบชา กระถางธูปบนโต๊ะน้ำชาพลางรินน้ำลงหม้อดินเผาสีแดงเพื่อต้มให้เดือด
ไม่นานน้ำก็เดือดจนควันพวยพุ่งออกมา เหอตังกุยโค้งคำนับผู้ที่อยู่ตำแหน่งหลักในห้องโถง จากนั้นก็นั่งล้างชุดน้ำชาด้วยน้ำเดือด ก่อนคีบใบชาจำนวนหนึ่งวางบนกระดาษเพื่อแบ่งตามความหนา ก้านใบชาจำนวนมากถูกแยกออก ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของทุกคน เหอตังกุยใส่ใบชาเหล่านี้ลงในกระถางธูป ก่อนหยิบตะบันไฟออกจากแขนเสื้อเพื่อจุดไฟ
ทุกคนต่างก็สับสน เื่นี้ช่างน่าเหลือเชื่อไม่น้อย ประการแรก แต่ไหนแต่ไรมาเคยได้ยินเพียง “จุดธูป” เท่านั้น ไม่เคยได้ยินเื่ “เผาชา” ประการที่สอง แม้ชาจะเป็หญ้าชนิดหนึ่งแต่ก็ไม่สามารถจุดไฟติดได้ง่าย ๆ นางจะทำอย่างง่ายดายได้อย่างไร?
เมิ่งเซวียนยืนมองนางจากทางซ้าย ก่อนเห็นแววตาสดใสราวสระน้ำในหุบเขา่ฤดูใบไม้ร่วง ช่างนิ่งสงบแตกต่างกับคนที่จ้องมองและก่นด่าเขาเมื่อครู่ราวคนละคน…คนใดคือตัวตนที่แท้จริงของนางกันแน่ หรือตัวตนทั้งสองที่นางแสดงจะไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของนางเลย?
ยามนี้ทุกคนในห้องโถงต่างหวาดกลัวและกังวล ไหนเลยจะมีอารมณ์ชมการชงชา พวกเขาล้วนมีเื่กังวลในใจ แตกต่างจากสาวน้อยกลางห้องโถงที่ชงชาอย่างสงบนิ่ง ไม่สะทกสะท้านกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ
นางกวนแท่งไม้เล็กในกระถางธูป ควันสีเขียวพวยพุ่งคล้ายสสารบางอย่าง นางใช้นิ้วเรียวยาวโบกควันสีเขียวให้ฟุ้งกระจาย กลิ่นของมันอบอวลทั่วห้องโถงอย่างเหลือเชื่อ หลังทุกคนได้สูดดมกลิ่นนั้นก็เริ่มหลั่งความสุขใต้ก้นบึ้งของหัวใจก่อนพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก อีกมุมหนึ่งของห้องโถง หลัวไป๋อิ่งและคนอื่นที่ประคองซึ่งกันและกันก็เกือบจะลุกยืนได้ตามปกติ
ทันใดนั้นลมที่พัดจากหน้าต่างทั้งสี่มุมเข้ามาในห้องโถงซินหรงก็พัดพากลิ่นควันสีเขียวออกไป ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดคนส่วนมากกลับรู้สึกถึงกลิ่นหอมบางอย่างโชยเตะจมูก
เมื่อทุกคนหลงใหลกลิ่นหอมนี้ เหอตังกุยจึงรินน้ำและชาอย่างคล่องแคล่วในคราวเดียวจนกลายเป็ชาอวิ๋นอู้หนึ่งหม้ออย่างสมบูรณ์ จากนั้นก็เอ่ยกับคนในห้องโถงด้วยรอยยิ้ม “ผู้ยอดยุทธ์ ข้าชงชานี้สี่ถ้วย จำเป็ต้องลิ้มรสใกล้ ๆ จึงจะดีที่สุด ท่านและท่านยายนั่งชิมตรงนี้จะดีกว่า”
ทุกคนต่างคิดว่าชายสวมหน้ากากผู้แข็งแกร่งต้องปฏิเสธ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะเชื่อฟังพร้อมนำเหล่าไท่ไท่เดินมานั่งที่โต๊ะน้ำชา เหอตังกุยและเมิ่งเซวียนนั่งทางซ้าย เหล่าไท่ไท่และชายสวมหน้ากากนั่งทางขวา ทั้งสามจ้องมองเหอตังกุยไม่ละสายตา เมิ่งเซวียนคิดในใจ “ในระยะใกล้เช่นนี้ เขาสามารถช่วยเหลือเหล่าไท่จวินได้ ข้าควรลงมือหรือไม่? หรือควรรออีกสักพัก ไม่แน่อีกประเดี๋ยวท่านพ่ออาจกลับมาแล้ว”
เกิ่งปิ่งซิ่วเอ่ยถาม “สาวน้อย ชาสี่ถ้วยนี้คือชาอะไร?”
เหอตังกุยรินชาถ้วยแรกพลางยกไปหาเหล่าไท่ไท่ เมื่อเกิ่งปิ่งซิ่วเห็นเช่นนั้นก็วางน้ำหนักลงบนไหล่ของเหล่าไท่ไท่ ทว่าเหอตังกุยกลับยื่นถ้วยชาผ่านเหล่าไท่ไท่ให้เกิ่งปิ่งซิ่วแทน ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้วยแรกนี้สำหรับท่านจอมยุทธ์ โปรดชิมดูเ้าค่ะ” เกิ่งปิ่งซิ่วได้กลิ่นหอมของชาทว่าผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ดื่ม...เหตุเพราะเขาสวมหน้ากากจึงไม่สามารถดื่มชาถ้วยนั้นได้
ขณะเหอตังกุยจะพูดบางอย่าง จู่ ๆ เหล่าไท่ไท่ก็ดึงนางเข้าใกล้พลางกระซิบข้างหูอย่างรวดเร็ว แม้เกิ่งปิ่งซิ่วจะไม่พอใจแต่ก็มิได้ห้ามปราม ไม่นานเหอตังกุยก็ตบไหล่เหล่าไท่ไท่ก่อนลุกขึ้นรินชาถ้วยที่สอง น้ำชาสีใสไหลลงถ้วยลายครามราวน้ำพุ เมื่อรินถึงเจ็ดส่วนก็ยื่นถ้วยชาให้แก่เหล่าไท่ไท่พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านยายไม่ต้องกังวลเ้าค่ะ ทุกเื่ในโลกนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็ต้องถึงขั้นนั้น ท่านยายลองชิมชาถ้วยนี้ดูเ้าค่ะ”
หลังเหล่าไท่ไท่พูดความลับออกไปแล้วก็โล่งอกไม่น้อย นางรับถ้วยชาด้วยสองมือก่อนยกขึ้นดมกลิ่นหอม พลางรู้สึกว่าปัญหาต่าง ๆ มลายสิ้น จากนั้นก็จิบชาเบา ๆ พร้อมหลับตาเพลิดเพลินรสน้ำชาเป็เวลานานก่อนเอ่ย “ข้า...ไม่ได้ดื่มชาดี ๆ เช่นนี้หลายปีแล้ว” รสชาตินั้นยังติดที่ปลายลิ้น คำพูดของเหล่าไท่ไท่ทำให้ผู้คนโดยรอบที่ได้กลิ่นชาเกิดความสนใจและอยากลิ้มรสชาถ้วยนี้จนแทบอดใจไม่ไหว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้