ฟางอี๋เหนียงไหนเลยจะกล้าเลิกแขนเสื้อขึ้นต่อหน้าโม่ฮว่าเหวิน
“ว้าย...” ร่างบอบบางของโม่เสวี่ยถงพอถูกฟางอี๋เหนียงผลักก็ยืนไม่อยู่ ซวนเซเสียหลักก้าวถอยไปสองสามก้าวก่อนจะล้มลงกับพื้น โม่หลันเคลื่อนตัวรวดเร็วปานเหาะ พลันยื่นมือเข้ามากันด้านหน้าของนายตน แต่นอกจากจะไม่อาจฉุดโม่เสวี่ยถงไว้ได้ ยังพาตนเองล้มลงไปพร้อมกัน มือของนางที่กันไว้ด้านหน้าโม่เสวี่ยถงกระแทกกับพื้นอย่างแรง เสียงร้องโอยหลุดออกมาจากริมฝีปาก เจ็บจนลุกไม่ขึ้น
“อี๋เหนียงเป็อะไรไปหรือ ใช่ว่าข้าพูดสิ่งใดผิดไปทำให้ท่านไม่พอใจหรือไม่” โม่เสวี่ยถงเอื้อมมือไปโอบกอดโม่หลันไว้ เงยหน้าทั้งน้ำตานอง ขดตัวอย่างขลาดกลัว แพขนตายาวสั่นระริก กัดริมฝีปากน้ำตาไหลป้อยๆ หันศีรษะกลับมามองโม่หลันที่เจ็บจนหัวคิ้วขมวดแน่น กล่าวอย่างร้อนใจ “ท่านพ่อ รีบเรียกท่านหมอเถิดเ้าค่ะ โม่หลัน เ้าเป็อย่างไรบ้าง ยังเจ็บอยู่หรือไม่ คงไม่หนักหนาเท่าใดหรอก มือของอี๋เหนียงมิได้มีแรง ไม่อาจผลักพวกเราจนถึงขั้นเจ็บหนักได้หรอก”
คำพูดนี้ดังลำแสงที่จุดสว่างขึ้นในหัวใจของโม่ฮว่าเหวิน ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็เย็นเยียบ
“นายท่าน ข้า...” ฟางอี๋เหนียงสีหน้าลนลาน รวบชายแขนเสื้อมาถือคิดจะอธิบาย แต่กลับถูกโม่ฮว่าเหวินหันมามองด้วยสายตาดุดัน จึงตระหนกจนไม่กล้าเอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว
โม่ฮว่าเหวินไม่สนใจฟางอี๋เหนียงแม้แต่น้อย เดินตรงเข้าไปแล้วดึงแขนเสื้อของโม่เสวี่ยถงถกขึ้นดู ก็พบว่าแขนและข้อศอกของนางเป็แผลถลอก มีเืไหลซิบ แสดงให้เห็นว่าแรงผลักเมื่อครู่มากเอาการ แววตาพลันขุ่นเคืองขึ้นอีกหลายส่วน
“ท่านพ่อ ลูกไม่เป็อะไรเ้าค่ะ ไปดูอี๋เหนียงเถิด ไม่รู้ว่าลูกทำสิ่งใดผิดไป... อี๋เหนียงจึงไม่พอใจ” โม่เสวี่ยถงมองฟางอี๋เหนียงอย่างลนลานและหวาดกลัว ร่างเล็กสั่นระริกแสดงความหวาดกลัวออกมาให้เห็นชัดเจน สีหน้าขาวซีดยิ่งกว่าโม่หลันหลายส่วน เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายที่หน้าผากด้วยความตระหนก ดวงตาที่มีประกายหยดน้ำดูตื่นกลัวจนน่าอนาถใจ เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงถึงขีดสุด
บุตรสาวภรรยาเอกผู้สง่าผ่าเผยถูกอนุภรรยาคนหนึ่งทำร้ายจนหวาดกลัว แม้แต่จะพูดยังพูดไม่รู้เื่ กอปรกับพฤติกรรมของฟางอี๋เหนียงที่แสดงออกมา ทำให้โม่ฮว่าเหวินเกือบจะะเิอารมณ์ออกมาตรงนั้น เขาสูดหายใจเข้าออกลึกๆ ถลึงตาใส่ฟางอี๋เหนียงอย่างรุนแรงคราหนึ่ง ก่อนยื่นมือมาลูบศีรษะของโม่เสวี่ยถงเบาๆ ปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เด็กดี ไม่เป็ไรนะ อี๋เหนียงมิได้โกรธเ้าหรอก อย่ากลัวไปเลย เ้าพาโม่หลันกลับไปก่อน อีกประเดี๋ยวพ่อจะเรียกท่านหมอไปตรวจอาการให้โม่หลัน จะไม่มีปัญหาอันใดแน่นอน”
สาวใช้สองคนในห้องหนังสือช่วยโม่เสวี่ยถงประคองโม่หลันออกไป หลังจากกล่าวอำลาโม่ฮว่าเหวินแล้ว โม่เสวี่ยถงก็เดินออกไปจากห้องทั้งน้ำตาด้วยความร้อนใจ
เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงจากไปแล้ว โม่ฮว่าเหวินก็หันมาหาฟางอี๋เหนียง กล่าวด้วยโทสะ สีหน้าทะมึนลึก “เ้ากลับไปสำนึกตนให้ดีๆ ที่เรือนของตนเอง และนี่คือห้องหนังสือ มิใช่สถานที่ที่ว่างๆ คิดจะมาก็มาได้”
“นายท่าน...” ฟางอี๋เหนียงอ้าปากอยากจะพูดอะไรอีก แต่กลับถูกโม่ฮว่าเหวินตัดบท “เด็กๆ มาพาอี๋เหนียงออกไป”
สาวใช้สองสามคนเดินเข้ามา กึ่งลากกึ่งจูงฟางอี๋เหนียงที่ร้องไห้น้ำตาไหลพรากออกไปจากห้อง
เรือนชิงเวย
โม่อวี้ โม่เหอและสวี่มามาต่างรออยู่ที่นั่น พอเห็นโม่หลันได้รับาเ็กลับมา จึงรีบประคองนางเข้าไปในเรือน อีกครู่หนึ่งหมอที่โม่ฮว่าเหวินให้คนไปตามก็มาถึงและทำแผลให้โม่หลัน ท่านหมอบอกว่าแค่ถูกระแทกไม่ใช่เื่ใหญ่ พักผ่อนสักห้าหกวัน ่นี้ไม่ให้ทำงานหนักอีกไม่กี่วันก็จะดีขึ้น
สวี่มามาเดินออกไปส่งท่านหมอ โม่เสวี่ยถงหมุนตัวเดินเข้ามาในห้องของโม่หลัน เห็นนางนอนเงียบอยู่บนเตียงสีหน้ายังคงซีดเซียว ที่มือถูกพันด้วยผ้าพันแผล นางมุ่นคิ้วขมวดเล็กน้อย ปิดประตูห้องแล้วเดินเข้ามาที่หน้าเตียง
เมื่อได้ยินเสียงปิดประตู โม่หลันก็ลืมตาขึ้น พอเห็นโม่เสวี่ยถงปรากฏตัวขึ้นในห้องก็ผลุนผลันจะลุกขึ้น แต่กลับถูกโม่เสวี่ยถงกดไหล่ไว้ “คุณหนูมาได้อย่างไรเ้าคะ โม่อวี้ โม่เหอมัวไปทำอะไรอยู่ ไฉนจึงไม่พาคุณหนูไปพักผ่อน”
“เพราะอะไร” โม่เสวี่ยถงมองโม่หลันอยู่เงียบๆ แต่แววตาที่มองนางกลับเ็า คำถามที่จู่ๆ ก็เอ่ยออกมายังเจือความรู้สึกมึนตึงอยู่หลายส่วน ทั้งยังมีสีหน้าทะมึนราวกับพายุที่กำลังก่อตัวอยู่จางๆ
“คุณหนูถามเื่อันใดเ้าคะ บ่าวฟังไม่เข้าใจ”
โม่เสวี่ยถงกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันขึ้นหลายส่วน “วันนี้ใครใช้ให้เ้ามาขวางอยู่หน้าข้า”
เมื่อถูกโม่เสวี่ยถงถามถึงจุดนี้ โม่หลันก็เงยหน้าขึ้นมองเ้านายของตนและกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม “คุณหนูร่างกายอ่อนแอ บ่าวจะทนเห็นคุณหนูาเ็ได้อย่างไร ได้แต่เข้าไปกันหน้าคุณหนูไว้ถึงค่อยรู้สึกสบายใจ” โม่หลันกล่าวจบขอบตาก็เริ่มแดง
“โม่หลัน ข้านึกว่าเ้าเป็คนรู้จักขอบเขตอะไรควรไม่ควร ดังนั้นจึงวางใจใช้ให้เ้าทำเื่ต่างๆ แต่คิดไม่ถึงว่าเ้าจะกล้าทำอะไรโดยพลการ หากเป็เช่นนี้ เ้าก็ไปจากข้าเสียเถอะ” โม่เสวี่ยถงจ้องตาโม่หลัน กล่าวเน้นทีละคำอย่างจริงจัง วาจาเต็มไปด้วยความเ็า
แม้นางจะล้มลงไปตามแรงผลักของฟางอี๋เหนียงก็จริง แต่ด้วยนางผ่อนไปตามแรง ย่อมจะไม่เจ็บหนักเหมือนโม่หลัน และผลลัพธ์ที่มีต่อบิดาก็ไม่ได้ดีเท่ากับนางเป็คนหกล้มด้วยตัวเอง
“คุณหนู โม่หลันผิดไปแล้วเ้าค่ะ ต่อไปจะไม่ให้เกิดเื่แบบนี้อีก จะเชื่อฟังคุณหนูทุกอย่างเลยเ้าค่ะ” เห็นโม่เสวี่ยถงสีหน้าเคร่งเครียด โม่หลันก็เข้าใจกระจ่าง แข็งใจมองหน้าโม่เสวี่ยถง สีหน้าเผยความรู้สึกละอายใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมาตนเองเป็คนสุขุมเยือกเย็น วันนี้เห็นฟางอี๋เหนียงดูว้าวุ่นใจ ตอนนี้จึงนึกขึ้นได้ เกรงว่าคุณหนูคงจะวางแผนการไว้ดีแล้ว แต่ตนเองกลับทำเสียแผน
“โม่หลัน พวกเราเพิ่งกลับมาถึง ต่อไปยังต้องรับมือกับนางอีกมาก ข้าไม่ปรารถนาให้พวกเ้าสองสามคนต้องมารับาเ็เพราะข้า และบางคราข้าก็ต้องยอมเจ็บตัว” โม่เสวี่ยถงนั่งลงพลางจับมือโม่หลัน แม้ว่าแววตาจะอ่อนโยนลงแล้ว แต่กลับยังมีความขุ่นเคืองอยู่รางๆ หากใจอ่อนขนาดนี้ แล้วจะไปสู้รบปรบมือกับโม่เสวี่ยิ่ได้อย่างไร
“เ้าค่ะคุณหนู” โม่หลันพลิกฝ่ามือมากุมมือของโม่เสวี่ยถงไว้แน่นทั้งน้ำตานองหน้า
…
เรือนหลีหวาของฟางอี๋เหนียง
โม่ฮว่าเหวินนั่งมึนตึงอยู่บนเก้าอี้ไม้หนานมู่ สีหน้าทะมึนลึก แม้จะไม่โวยวายเสียงดัง แต่กลับชวนให้รู้สึกหนาวะเืเป็ที่สุด สีหน้าที่แสดงออกแม้ดูเหมือนจะสงบเงียบ แต่คนที่คุ้นเคยกับเขาดีจะทราบว่าอารมณ์ของเขาขณะนี้เดือดพล่านเพียงใด
“คุกเข่า!”
ฟางอี๋เหนียงไม่กล้ากระบิดกระบวน ก้มหน้าคุกเข่าลงแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ไม่ทราบว่าข้าอนุภรรยาทำสิ่งใดผิดไปหรือ”
“ช่วยถงเอ๋อร์จัดเตรียมเรือนพัก ทำความสะอาดด้วยตนเอง จนกระทั่งแขนชนจนได้รับบาดเจ็ด แม้แต่ขยับก็ไม่ได้ ช่างมีเมตตากรุณาล้นเหลือเสียจริง” โม่ฮว่าเหวินยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห ไฟโทสะในหัวใจคุกรุ่น จับมือของฟางอี๋เหนียงขึ้นมาแล้วถกแขนเสื้อขึ้น นอกจากรอยถูกน้ำร้อนลวกแล้ว ก็ไม่เห็นร่องรอยาเ็อื่นๆ บัดนั้นจึงสะบัดมือนางออกด้วยความโกรธเคือง “เ้าคิดว่าข้าไม่รู้เื่หรืออย่างไร ข้ามองออกว่าแผลแบบไหนคือถูกน้ำร้อนลวก แบบไหนคือแผลฟกช้ำจากการถูกชน เมื่อครู่แรงที่เ้าผลักถงเอ๋อร์มากมายถึงเพียงนั้น หากไม่ใช่โม่หลันเข้ามาขวางรับตัวถงเอ๋อร์ไว้ คนที่จะต้องเจ็บตัวครานี้ก็คือถงเอ๋อร์กระมัง เ้าจะให้ข้าเรียกคนมาตรวจสอบให้แน่ชัดไหมเล่าถึงจะยอมรับ”
ฟางอี๋เหนียงรู้ว่าโม่ฮว่าเหวินจะต้องกลับมาเอาเื่ตนเองแน่ จึงเตรียมรับมือไว้แล้ว นางหมอบกรานคล้ายยอมศิโรราบ จ้องมองโม่ฮว่าเหวิน น้ำตาค่อยๆ เอ่อล้นออกมาจากขอบตา สีหน้าระบายไปด้วยความเศร้าสลด “นายท่านตำหนิข้าเพราะเื่นี้หรือ” น้ำเสียงตัดพ้อถึงที่สุด ดูเหมือนคนที่ไม่ได้รับความเป็ธรรม
“แล้วข้าโทษผิดคนหรืออย่างไร” โม่ฮว่าเหวินกล่าวอย่างเฉยชา สีหน้าบึ้งตึง
“เื่ราวที่เกิดขึ้นในอดีตนายท่านก็ทราบดี... เื่แบบนั้นล้วนเกิดขึ้นแล้ว ข้าอนุภรรยาก็เกรงว่าจะเกิดขึ้นซ้ำอีก ไม่ได้เจอกันปีกว่า นิสัยคุณหนูสามจะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ ข้าอนุภรรยาหารู้ไม่ ภายในใจย่อมรู้สึกวิตกกังวล แม้อยากจะใกล้ชิดสนิทสนมกับนาง แต่คิดว่า... คุณหนูสามนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจมาแต่ไหนแต่ไร มิเช่นนั้นก่อนหน้านี้คงไม่... แม้แต่นายท่านยังไม่ยอมให้เข้าใกล้ แล้วจะยอมมาใกล้ชิดสนิทสนมกับข้าอนุภรรยาได้อย่างไร” ฟางอี๋เหนียงร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ราวกับดอกหลีฮวาต้องพิรุณ
“เื่นี้เกี่ยวข้องกับการเล่นลูกไม้ของเ้าอย่างไร” โม่ฮว่าเหวินเห็นท่าทางของนางแล้ว สีหน้าตึงเครียดก็ผ่อนคลายลงหลายส่วน
“ข้าอนุภรรยาแค่อยากถือโอกาสนี้ทำความใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณหนูสามเท่านั้น นายท่านก็เห็นด้วยตาของตนเองแล้ว ข้าอนุภรรยาก็อยากจะปรองดองกับคุณหนูสามั้แ่ตอนนั้นแล้ว... หลายปีมานี้ก็คอยช่วยเป็ธุระจัดการทุกอย่างภายในจวน นายท่านดูแลฮูหยินที่ล้มป่วย มีเื่ไหนบ้างที่ข้าอนุภรรยามิได้เข้ามาช่วยเหลือจัดการ แต่ก็มักเกรงว่าจะทำได้ไม่ดี มิใช่เพราะกลัวฮูหยิน แต่เพราะกลัวว่าจะล่วงเกินคุณหนูสาม ที่ข้าอนุภรรยาทำเช่นนี้ก็เพื่อครอบครัวของเรา ให้คุณหนูสามกับนายท่านสองพ่อลูกได้กลับมารักใคร่สมัครสมาน ทั้งหมดล้วนคิดเพื่อนายท่านทั้งสิ้น ไม่คิดเลยว่านายท่านกลับมาขุ่นเคืองข้าอนุภรรยาเช่นนี้...”
ฟางอี๋เหนียงยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน ดูราวกับหญิงอ่อนแอที่ไม่ได้รับความเป็ธรรม
โม่ฮว่าเหวินสงบวาจา มองสตรีที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตานิ่งลึงอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยถาม “เ้าทำเพื่อข้าหรอกหรือ”
“นอกจากนายท่านแล้วจะมีใครได้อีกเล่า ข้าอนุภรรยามีความจำเป็ที่ต้องประจบเอาใจให้เป็ที่ชื่นชอบของคุณหนูสามด้วยหรือ ทำแล้วได้ประโยชน์อันใดจากเื่นี้”
ฟางอี๋เหนียงร้องไห้ไป เงยหน้าขึ้นมองโม่ฮว่าเหวินด้วยท่าทางน่าสงสาร กัดฟันกล่าวว่า “บัดนี้นายท่านพูดราวกับไม่ไว้ใจข้าอนุภรรยาอีกแล้ว หากเป็เช่นนี้ก็เชิญนายท่านลงโทษตามแต่ใจเถิด แต่หากให้กล่าวว่าตนเองมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝง ให้ตายก็ข้าอนุภรรยาก็ไม่อาจยอมรับ” ฟางอี๋เหนียงปาดน้ำตา กล่าวด้วยเสียงปนสะอื้น
ต้องชมว่าหมัดนี้ปล่อยมาได้งดงามยิ่ง ไม่เพียงแต่ชี้ว่าตนเองมีเจตนาดีงาม ยังแสดงให้เห็นว่าตลอดมาโม่เสวี่ยถงก็มิใช่เ้านายที่สงบเสงี่ยม เมื่อเื่ราวในอดีตถูกยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง ก็เป็ดังหนามแหลมทิ่มแทงใจโม่ฮว่าเหวิน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกปวดร้าวอยู่ แม้ว่าเวลานี้บุตรสาวดูเหมือนจะไม่เลวร้ายเช่นในอดีต แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ครานั้น โม่ฮว่าเหวินก็ยังทรมานใจจนพูดไม่ออก
นอกจากนี้ฟางอี๋เหนียงยังแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ แม้ตนเองจะโมโหเพียงใด แต่ยามนี้ก็โกรธไม่ลงเสียแล้ว ได้แต่ถอนหายใจยาวและให้นางลุกขึ้น นิ่งใคร่ครวญครู่ใหญ่ด้วยสีหน้าทะมึนลึก “เื่แบบนี้ทีหลังอย่าให้เกิดขึ้นอีก ตอนนี้ถงเอ๋อร์ก็เชื่อฟังน่ารักยิ่งกว่าเดิมมากแล้ว และนางเท่านั้นที่มีฐานะเป็บุตรสาวภรรยาเอก เ้าอย่ามาเล่นลูกไม้กับถงเอ๋อร์ของข้าอีก หากข้าพบว่า...”
“ไม่มีอีกแล้ว ข้าอนุภรรยาไม่ทำอีกแล้วเ้าค่ะ” ฟางอี๋เหนียงกล่าวละล่ำละลัก
โม่ฮว่าเหวินปรายตาไปที่ซองจดหมายฉบับหนึ่งบนโต๊ะของฟางอี๋เหนียง และกล่าวด้วยเสียงเ็า “วันนี้ข้าจะนอนห้องหนังสือ ไม่ต้องคอย”
กล่าวจบก็หมุนกายก้าวเท้าฉับๆ ออกไป ไม่เหลียวแลฟางอี๋เหนียงที่ยืนหน้าสลดอยู่อีกด้านหนึ่งแม้แต่น้อย หนึ่งปีกว่าที่ไม่มีจดหมายมาจากถงเอ๋อร์ หากหล่นหายระหว่างทางจริง แล้วเหตุใดจดหมายที่ถงเอ๋อร์ส่งถึงจวนฝู่กั๋วกงจึงไม่สูญหายไปด้วย แต่กลับไม่มีจดหมายถึงตนเองแม้แต่ฉบับเดียว โม่ฮว่าเหวินมิใช่คนโง่เขลา เมื่อมีความแคลงใจก็ย่อมเก็บความรู้สึกไว้ แม้ไม่เชื่อว่าฟางอี๋เหนียงจะทำเื่แบบนี้ แต่ก็มิได้เชื่อถือคำพูดของนางทั้งหมด
“อี๋เหนียง...” เมื่อเห็นโม่ฮว่าเหวินออกไปอย่างเฉยชา หลี่มามาก็รีบเข้ามาในห้อง แล้วถามถึงอย่างร้อนใจ
“ไม่เป็ไร แต่ไม่น่าเชื่อว่าหนึ่งปีไม่ได้พบกันจะร้ายกาจขึ้นเช่นนี้ แม้ว่านายท่านจะเชื่อคำพูดของข้า แต่ก็ยังโกรธเคืองอยู่ เป็เพราะนังเด็กชั้นต่ำนั่นคนเดียว ให้คนจับตามองเรือนชิงเวยไว้ รายงานความเคลื่อนไหวทุกฝีก้าวของนังเด็กนั่นให้ข้ารู้ด้วย” เมื่อเห็นโม่ฮว่าเหวินทิ้งนางอยู่ที่นั่นโดยไม่แยแสแม้แต่น้อย ฟางอี๋เหนียงก็โกรธจัดจนแทบจะฉีกผ้าเช็ดหน้าออกเป็ชิ้นๆ
“แล้วเื่คืนนี้ล่ะเ้าคะ” หลี่มามาระบายลมหายใจอย่างโล่งอกเบาๆ แล้วถามต่อ
“ด้วยฐานะซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วโหวก็ไม่อาจทำให้นางขายหน้า” ฟางอี๋เหนียงกล่าวเสียงทะมึน
“แต่คุณหนูใหญ่กับซือหม่าซื่อจื่อ...” หลี่มามารู้สึกกระวนกระวายใจ
“ิ่เอ๋อร์เป็คนฉลาด คงจะมีแผนการอื่นรองรับไว้แล้ว นางเป็คนมีเป้าหมายของตนเอง เหมาะสมกับบุรุษที่มาจากครอบครัวที่โดดเด่นเป็ที่สุด” ฟางอี๋เหนียงวางผ้าเช็ดหน้าในมือลงและกล่าวอย่างเยือกเย็น ิ่เอ๋อร์ของนางต่างหากถึงจะเป็คุณหนูผู้เลอค่าสูงส่งที่สุด นังเด็กแพศยาตกอับอย่างโม่เสวี่ยถงจะมาเปรียบเทียบได้อย่างไร