ทันใดนั้นเ้าของแววตาพลันยิ้มแย้ม เสื้อคลุมบุรุษสีเขียวอ่อนปักลายดอกบัวสีขาวขับใบหน้างดงามของนางให้น่าสนใจยิ่งขึ้น เปรียบดั่งไข่มุกและหยกงามก็ไม่ปาน แม้จะดูออกว่าเป็สตรีแต่งกายชุดบุรุษในคราแรก ทว่ากลับมีบุคลิกสุขุมและสง่างาม เหมาะกับชุดบุรุษที่นางสวมใส่ยิ่งนัก
เมื่อเห็นเกาเจวี๋ยไม่สวมเสื้อคลุม เหอตังกุยจึงเอ่ยถาม “ใต้เท้าเกา ท่านนำเสื้อคลุมกลับมาหรือยัง? เหตุใดจึงกลับมาหาพวกข้า? หรือท่านตามหาน้องสะใภ้ไม่พบ?”
เกาเจวี๋ยไพล่มือไว้ด้านหลัง ขบเม้มริมฝีปากไม่เอ่ยสิ่งใด
ทว่าเหอตังกุยนั้นตาไว ไม่นานก็เห็นสิ่งของบางอย่างในมือเขา ก่อนเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ท่านซ่อนสิ่งใดไว้หรือ? เหตุใดจึงดูประหลาดนัก”
เกาเจวี๋ยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนชักมือกลับมาแล้วส่งของให้แก่นาง พลางเอ่ยเสียงต่ำ “ถือเป็ของชดเชยให้เ้า แต่เมื่อเ้าเปลี่ยนสวมชุดบุรุษแล้ว สิ่งนี้คงไม่จำเป็”
“ชดเชยให้ข้า?” เหอตังกุยเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ พลางมองปิ่นปักผมสีน้ำเงินบนฝ่ามือหนา ด้ามปิ่นเปล่งประกายระยิบระยับ แม้นางจะเคยเห็นมามาก ทว่ากลับดูไม่ออกว่าปิ่นนี้ทำจากวัสดุใด เหอตังกุยครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เข้าใจความหมาย ก่อนหน้านี้ขณะเขาจัดระเบียบลมปราณเจินชี่ให้แก่นาง ปิ่นไม้ของนางดันหล่นลงพื้นและถูกเขาเหยียบหัก เขาจึง้าชดใช้อันใหม่ให้แก่นาง
เหอตังกุยปฏิเสธตรง ๆ “ข้าไม่สามารถรับปิ่นของท่านได้ ปิ่นอันเก่าของข้าทำด้วยมือโดยใช้มีดตัดจากของเล่น ไม่ได้มีค่ามากมาย หักแล้วก็หักไป ไม่จำเป็ต้องชดใช้หรอกเ้าค่ะ ใต้เท้าเกาช่วยข้ามากมายเพียงนี้ ข้าจะถือสาท่านเพียงเื่เล็กน้อยเช่นนั้นได้อย่างไร”
เกาเจวี๋ยยื่นปิ่นไปใกล้จมูกเหอตังกุย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง “ข้าให้เ้า เ้าก็รับไป ข้าไม่เคยติดค้างผู้ใด ทำพังก็ต้องชดใช้”
เจินจิ้งใสะดุ้งโหยงแต่เหอตังกุยกลับไม่สะทกสะท้าน นางไตร่ตรองก่อนเอ่ย “เมื่อท่านอยากชดใช้ เช่นนั้นก็ชดใช้ด้วยสิ่งนี้เถิด อันนี้สามเหวิน ข้า้าห้าอัน รวมทั้งหมดสิบห้าเหวิน... ส่งเงินมาเ้าค่ะ” กล่าวจบก็เขย่าหน้ากากหลากสีสันพลางยื่นมือขอเงิน
เกาเจวี๋ยโยนถุงเงินให้นางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เหอตังกุยรื้อถุงอยู่นาน ในที่สุดก็รวบรวมเงินได้สิบห้าเหวินจ่ายให้ลูกจ้างในร้านขายชุด เหอตังกุยเหลือหน้ากากสีเหลืองไว้หนึ่งอันพร้อมหัวเราะคิกคัก ก่อนนำถุงเงินและหน้ากากที่เหลือส่งให้เกาเจวี๋ย พลางเอ่ย “หน้ากากสี่อันนี้ ข้าให้ท่านแทนคำขอบคุณที่ช่วยข้าแบกโลง ได้โปรดใส่มันให้ข้าด้วย ข้าเลือกอยู่นานเลยล่ะ เหมาะกับท่านยิ่งนัก” หากเ้าใส่สิ่งนี้ตอนทรมานนักโทษให้สารภาพยังน่าใมากกว่าใบหน้าน้ำแข็งของเ้าเสียอีก เหอตังกุยคิดในใจ
เกาเจวี๋ยรับมาเงียบ ๆ ก่อนเอ่ย “ข้ามาเพื่อบอกลาเ้า ข้าต้องไปที่เมืองหยางโจวเพื่อจัดการบางเื่ คงส่งพวกเ้ากลับวัดไม่ได้”
เหอตังกุยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเรายังอยากเดินเล่นในเมืองตู้เอ๋อร์ ตอนกลับจะจ้างรถม้า ไม่ลำบากใต้เท้าไปส่งหรอกเ้าค่ะ ทีแรกข้ามีบางเื่อยากถามคุณชายต้วนทว่ากลับลืมถามก่อนที่เขาจะจากไป ตอนนี้ถามใต้เท้าเกาก็คงไม่ต่างกัน” เมื่อเห็นความสงสัยฉายชัดบนใบหน้าของเกาเจวี๋ย นางจึงชี้ไปที่ก้อนหินสีดำหน้าประตูร้าน พลางเอ่ย “ไปคุยด้านนั้นดีกว่าเ้าค่ะ”
นางเดินออกมาก่อน เกาเจวี๋ยเดินตามหลัง หลังจากเจินจิ้งเห็นท่าทีเดือดดาลของเกาเจวี๋ยก็หวาดกลัวเขามาก ด้วยเหตุนี้นางจึงดูเสื้อผ้ารออยู่ในร้าน
“ที่ข้าอยากถามคือชื่อของ...ใต้เท้าเกิ่ง เขาคือเกิ่งปิ่งซิ่วใช่หรือไม่?” เหอตังกุยหันกลับไปมองเกาเจวี๋ย
เกาเจวี๋ยคิดไม่ถึงว่าจู่ ๆ นางจะเอ่ยถึงใต้เท้าเกิ่ง อีกทั้งชื่อเล่นที่ใต้เท้าเกิ่งใช้ในยุทธภพคือ “เกิ่งซิน” คนที่รู้ชื่อจริงของเขามีเพียงลูกน้องระดับสูงไม่กี่คน นางรู้ชื่อนี้จากที่ใดกัน?
เหอตังกุยเห็นเขาจ้องนางไม่พูดไม่จา ในใจจึงคิดว่าตนเดาถูก ผู้บัญชาการของทั้งเก้าคนคือเกิ่งปิ่งซิ่ว “เ้าหน้าที่ที่โเี้ที่สุดในใต้หล้า” เหอตังกุยจำได้แม่นยำ เกิ่งปิ่งซิ่วในชาติที่แล้วคือผู้ดำรงตำแหน่งจิ่นอีเว่ยติดต่อกันสามราชวงศ์ แม้หลังจากฮ่องเต้เจี้ยนเหวินขึ้นครองราชย์และยกเลิกหน่วยจิ่นอีเว่ย ทว่าก็ไม่สามารถลดทอนอำนาจของเขาได้
เกิ่งปิ่งซิ่วไม่เพียงเืเย็นไร้ความรู้สึกและโเี้เท่านั้น แต่ยังมีข่าวฉาวโฉ่เื่ไม่เอาพี่เอาน้อง เมื่อถึงเวลาจำเป็ แม้แต่น้องชายแท้ ๆ เขาก็ยังเหยียบย่ำได้ราวก้อนหิน ที่สำคัญกว่านั้น เหอตังกุยยังจำได้ว่าตอนมีคดีไม่ได้รับความเป็ธรรมซึ่งสร้างความตกตะลึงให้แก่ราชสำนัก เพื่อระงับโทสะของประชาชน ฮ่องเต้จึงมอบหมายให้เกิ่งปิ่งซิ่วสืบหาผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ สุดท้ายลูกน้องที่ทำงานร่วมเป็ร่วมตายกับเขามาหลายปีก็ถูกจับเข้าคุกทรมาน
กล่าวอีกอย่างคือหากต้วนเสี่ยวโหลว เกาเจวี๋ยและคนอื่นทำงานภายใต้บัญชาของเกิ่งปิ่งซิ่ว เช่นนั้นวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องกลายเป็เหยื่อสังเวยชีวิตในคดีนั้น
หลายวันที่ผ่านมาในอาราม นางติดค้างบุญคุณของต้วนเสี่ยวโหลวและอีกหลายคน ก่อนหน้านี้นางเพียงถือโอกาสใช้ประโยชน์จากอำนาจของพวกเขา แต่เมื่อได้อยู่กับพวกเขาหลายสิบวันมานี้ นางที่เป็มนุษย์ย่อมไม่สามารถไร้ความรู้สึกดุจพืชหญ้า นางถือว่าพวกเขาเป็สหายไปเสียแล้ว มิอาจทนมองพวกเขาจากไปโดยไม่มีวันหวนคืน
อย่างไร นางก็เป็เพียงเด็กสาวต่ำต้อยผู้หนึ่ง คำพูดของนางจึงไม่สำคัญเท่าไรนัก นางไม่สามารถเอ่ยแนะนำให้พวกเขาลาออกจากตำแหน่งจิ่นอีเว่ย ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถบอกอนาคตล่วงหน้าแก่พวกเขาได้ เกิ่งปิ่งซิ่วจะกลายเป็ปีศาจไร้ความปรานี พวกเขาทั้งหมดต้องถูกเกิ่งปิ่งซิ่วผู้นี้ทรมาน ควรบอกเื่นี้แก่เกาเจวี๋ยอย่างไรดีจึงจะให้เขานำไปบอกกล่าวต้วนเสี่ยวโหลวและพวกได้? แม้ตอนนี้จะยังไม่เกิดอะไร แต่อย่างน้อยก็ควรให้พวกเขาระวังเกิ่งปิ่งซิ่วไว้
เมื่อเหอตังกุยคิดถึงตรงนี้จึงเงยหน้ามองเกาเจวี๋ย พลางเอ่ยถาม “ใต้เท้าเกาต้องแปลกใจแน่นอนว่าข้ารู้ชื่อจริงของใต้เท้าเกิ่งได้เยี่ยงไร ใช่หรือไม่? ข้ายังรู้อีกว่าเขามีน้องสาวชื่อเซียงเหนียง ข้าขอถามใต้เท้า ท่านรู้จักนิสัยของเกิ่งปิ่งซิ่วผู้นี้มากน้อยเพียงใด?”
เกาเจวี๋ยขมวดคิ้วมุ่นพลางจับจ้องใบหน้าของนาง ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เ้าอยากพูดอะไรกันแน่? ข้าขอเตือนเ้า หากคำพูดนั้นเป็การดูิ่ขุนนางของราชสำนัก เ้าจะได้รับโทษหนักคือถูกเฆี่ยนสามสิบครั้ง”
เหอตังกุยหัวเราะเสียงเบา จู่ ๆ ก็นำหน้ากากสีเหลืองในมือขึ้นมาใส่ พลางเอ่ย “ใต้เท้าเกา ท่านเป็คนตรงไปตรงมาและปากไว ไม่ว่าเื่ใดที่อยู่ในใจก็รับรู้ได้ด้วยการแสดงออกทางสีหน้าของท่าน แต่หากคนผู้หนึ่งที่สวมหน้ากาก “ธรรมดา” มาโดยตลอด เขาซ่อนนิสัยและความคิดที่แท้จริงไว้ภายใต้หน้ากาก ไม่เปิดเผยออกมา ท่านคิดว่าคนผู้นี้แปลกประหลาดหรือไม่?”
ใบหน้าของเกาเจวี๋ยนิ่งขรึม เขาเอ่ยถามทันที “คนที่เ้าพูดถึงคือใต้เท้าเกิ่งใช่หรือไม่? หรือเ้ารู้จักเขามาก่อน? พูดให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้”
เหอตังกุยพูดภายใต้หน้ากาก “ข้ามีนิทานเื่หนึ่งอยากเล่าให้ใต้เท้าเกาฟัง หวังว่าท่านจะนำเื่นี้ไปบอกกล่าวกับคนที่จำเป็ต้องรู้” กล่าวจบก็ไม่รอให้เกาเจวี๋ยได้พูดอีก นางสร้างนิทานขึ้นมาพลางเล่า “ข้าเติบโตในหมู่บ้านหนงจวง ทุกวันต้องไปไร่นาเพื่อทำนา ทั้งไถพรวน ปลูก กำจัดวัชพืชและรดน้ำ ฤดูร้อนปีนั้นข้าอายุแปดขวบ ชาวนาในหมู่บ้านล้วนเหงื่อไหลราวสายฝนอยู่ในทุ่งนา ข้าาเ็จากคันไถจึงทำได้เพียงงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ยามนี้มีม้าสีน้ำตาลแดงห้อตะบึงมาแต่ไกล บนม้าเป็หญิงสาวผู้หนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ม้าตัวนั้นจึงวิ่งออกนอกเส้นทางพุ่งตรงไปในทุ่งนา เหยียบย่ำต้นกล้าเสียหายหมด ทั้งยังกินต้นอ่อนที่ชาวนาปลูกไว้ ทว่าสตรีบนม้านั้นไม่เพียงไม่ห้ามมัน แต่กลับหัวเราะอย่างมีความสุข”
เกาเจวี๋ยทอดมองแววตาภายใต้หน้ากากงิ้วสีเหลือง ชั่วขณะนั้นก็ประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะได้ยินเสียงดนตรีอันไพเราะดังขึ้น
“การเกษตรคือชีวิตของชาวนา เมื่อเห็นดังนั้น ชาวนาสี่ห้าคนจึงเข้ามาล้อมนางพลางชี้หน้าก่นด่าสารพัด สตรีผู้นั้นเหวี่ยงแส้เฆี่ยนม้าเพื่อเฆี่ยนพวกเขา ขณะเดียวกันก็ร้องะโไปยังรถม้าที่ห้อตะบึงมา “ปิ่งซิ่วช่วยข้าด้วย” รถม้าคันนั้นพลันหยุดกะทันหัน ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูง เบ้าตาลึก อายุประมาณสี่สิบปีะโลงมา ขณะที่เขายกมือและเท้านั้นมีลักษณะน่าเกรงขาม เขาพุ่งเข้ามาถาม “เซียงเหนียง เ้าไม่ได้ล่วงเกินผู้อื่นใช่หรือไม่?” สตรีผู้นั้นไม่เรียกชื่อชายผู้นั้นอีก เพียงเรียกเขาว่า “พี่รอง” นางบอกว่าตนเพียงปล่อยสัตว์เลี้ยงกินหญ้าเน่า ๆ แต่ก็มีกลุ่มคนป่าเถื่อนชี้นิ้วเน่า ๆ มาที่ตน เมื่อบุรุษวัยกลางคนได้ยินดังนั้นจึงตำหนิสตรีผู้นั้นอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนหยิบเงินก้อนหนึ่งมาชดใช้ ชาวนาพวกนั้นย่อมดีใจ เพราะถึงอย่างไรก็ได้เงิน จากนั้นทั้งสองก็บังคับรถม้าจากไป”
เกาเจวี๋ยคิดตามรูปลักษณ์ภายนอกของชายวัยกลางคนที่นางบรรยาย เห็นได้ชัดว่าเป็ใต้เท้าเกิ่ง แต่เขาไม่ได้ข่มเหงผู้ที่อ่อนแอกว่า น้องสาวของเขาทำวัชพืชผู้อื่นเสียหายก็ชดใช้เงินให้แก่คนเ่าั้ การจัดการดูยุติธรรมมาก
เหอตังกุยแค่นเสียงเ็า “เื่ก็จบลงเช่นนี้ จบอย่างมีความสุข ชาวนาทั้งห้าได้รับส่วนแบ่งคนละสองตำลึง ใช้เงินซื้ออาหาร ชดใช้หนี้สินและขอภรรยาแต่งงาน... เหอ ๆ พูดอย่างซาบซึ้งใจว่าวันนั้นเป็วันที่เทพเ้าแห่งความมั่งคั่งปรากฏและนำพาบุรุษสตรีคู่นั้นมาที่นี่”
นางถอดหน้ากาก ใบหน้างดงามและมีเสน่ห์ปรากฏขึ้น นางจับจ้องก้อนหินเบื้องหน้าก่อนเอ่ยช้า ๆ “เช้าตรู่ของอีกวันในครึ่งปีหลังจากนี้เกรงว่าจะมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ชาวนาทั้งห้าไม่รู้ว่าเส้นทางนั้นจะนำพาไปพบปีศาจ คืนที่ผ่านมาพวกเขาถูกปีศาจตัดนิ้วทั้งหมด สิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดคือมีดที่ใช้ตัดนิ้วพวกเขาทั้งห้าช่างคมกริบ ทุก ๆ นิ้วที่ถูกตัดล้วนมีปุยฝ้ายชุบยาชาซับไว้ เหล่าชาวนาที่สูญเสียนิ้วจึงนอนหลับใหลไม่รู้สึกตัว... พูดอีกอย่างคือตอนจุดหลับที่ถูกควบคุมคลายออก...จึงเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ขณะเหลือบมองมือนั้น เสียงร้องน่าเวทนาก็ดังขึ้น ทำให้ข้ายากจะลืมเลือนยิ่งนัก”
เกาเจวี๋ยเอ่ยเ็า “เ้าจะบอกว่าเขาเป็คนทำหรือ?”
เหอตังกุยกะพริบตาไร้เดียงสา ก่อนถามอย่างแปลกใจ “ไม่ทราบว่า “เขา” ที่ใต้เท้าเกากล่าวนั้นหมายถึงผู้ใดหรือเ้าคะ? ข้าน้อยเพียงเล่านิทานให้ท่านฟัง ใต้เท้าฟังแล้วก็นำกลับไปเล่าที่เมืองหลวงสักครั้ง เพื่อให้คนตำหนิใต้เท้าน้อยลงว่าท่านจืดชืดไม่น่าสนใจ ใต้เท้าโปรดอย่าคิดไกลเกินไป เพราะการใส่ร้ายขุนนางของราชสำนักนั้นมีโทษสถานหนักคือต้องถูกเฆี่ยนตีห้าสิบครั้ง”
เกาเจวี๋ยแค่นเสียงเ็าพลางมองโขดหินสีดำข้างกาย ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่
เหอตังกุยเอ่ยต่อ “เวลานั้นไม่มีผู้ใดเชื่อมโยงโศกนาฏกรรมเบื้องหน้ากับเื่เก่าที่เกิดเมื่อครึ่งปีที่แล้ว หลายคนบอกว่าชาวนาทั้งห้าติดหนี้พนันก้อนโตจึงถูกลูกน้องที่ตามทวงหนี้ทำให้พิการ ข้าเฝ้าดูอยู่ข้าง ๆ อย่างไม่สนใจเท่าไรนัก แต่ข้าเห็นบางสิ่งที่ผิดปกติ”
เกาเจวี๋ยรีบเอ่ยถามทันที “สิ่งใดหรือ?”
มุมปากของเหอตังกุยยกขึ้น แยกไม่ออกว่านางยิ้มหรือกัดฟันกันแน่ “ข้ามีทักษะการแพทย์ั้แ่เก้าขวบ จึงเห็นว่าคนเ่าั้คล้ายถูกพิษ “เจี่ยวฉางซั่น” ในชวนสู่ แต่เมื่อข้ากล่าวความคิดเห็นก็ไม่มีผู้ใดเชื่อสักคน กลับพูดจาถากถางเ็าว่า “อย่าคิดว่าตนเกิดในตระกูลแพทย์แล้วจะมองอาการป่วยของคนออกแต่กำเนิด” หนึ่งเดือนผ่านไป ชาวนาทั้งห้าต่างฟื้นฟูจิตใจกลับเป็ปกติ แม้จะสูญเสียนิ้วทั้งสิบ แต่งานในไร่นายังคงต้องทำ ชีวิตของพวกเขายังต้องดำเนินต่อไป เที่ยงวันข้าต้องเข็นรถขนแกงฟักทองขนาดเล็กไปส่งให้คนที่ทำงานในไร่นา คนทั้งห้าวิ่งมาขอน้ำแกงเป็กลุ่มแรก ข้าตักน้ำแกงให้พวกเขาห้าถ้วยพลางจ้องมองพวกเขาดื่มน้ำแกง... ทันใดนั้น น้ำแกงก็ไหลออกจากท้องของเขาหยดลงพื้นทีละหยด ๆ ”
เมื่อเกาเจวี๋ยได้ยินดังนั้น หัวใจก็อดสั่นสะท้านไม่ได้ ผงพิษเจี่ยวฉางซั่นคือยาพิษอะไรกัน เหตุใดจึงกัดกร่อนเืเนื้อถึงเพียงนี้ อีกทั้งคนเ่าั้ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ?
“คนทั้งห้าไม่สามารถมีชีวิตได้อีกแล้ว พวกเขาเสียชีวิตหลังดื่มแกงฟักทองที่ข้าตัก เหตุนี้ข้าจึงตกเป็ผู้ต้องสงสัยในการฆาตกรรม ถูกคุมตัวไปยังที่ว่าการอำเภอในเมืองตัวเยี่ยพร้อมรถเข็น ‘แกงฟักทองพิษ’ เสียงของข้าไม่ดังเท่าเสียงของพวกเขา ส่วนสูงของข้าก็น้อยกว่าพวกเขาหลายฉื่อ[1] ราวบัณฑิตที่รู้สึกผิดเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าทหารผู้องอาจ ท่าทางของนายอำเภอท่านนั้นราวกับยังไม่ตื่นจากห้วงนิทราตอนกลางวัน เขา้าตั้งข้อหา “วางยาพิษสังหารคนเพื่อหวังเงิน” แก่ข้า ข้ารีบวิ่งหนีออกมา ก่อนจะห้อตะบึงไปที่รถเข็นคันนั้น ตักแกงฟักทองอุ่น ๆ ใส่ถ้วยแล้วดื่มมันในอึกเดียว
เกาเจวี๋ยเอ่ยเสียงต่ำด้วยใบหน้าดุร้ายเห็นได้ชัด “คิดไม่ถึงว่าในต้าิจะมีขุนนางเลอะเลือนเช่นนั้นด้วย ตอนอยู่ในตำแหน่งไม่รู้ว่าตัดสินคดีอันเป็เท็จและไร้ความยุติธรรมในเมืองตัวเยี่ยไปมากน้อยเพียงใด พวกข้าต้องสืบสวนให้ถึงที่สุด”
เหอตังกุยยิ้มบางพลางเอ่ย “อ๊ะ นี่ไม่ใช่จุดสำคัญที่ข้า้าเอ่ย ใต้เท้าเกา ท่านเกลียดชังความชั่วร้าย ข้าเลื่อมใสท่านเสียจริง แต่ผู้พิพากษาของเมืองตัวเยี่ยนั้นกลับบ้านเกิดเพื่อจัดงานศพให้บิดาของเขาเมื่อครึ่งปีก่อน เขาลาออกจากตำแหน่งไปอยู่บ้านไว้ทุกข์ให้แก่บิดา สิ่งที่ข้าอยากพูดคือหลังจากข้าดื่มแกงฟักทองติดต่อกันถึงสามถ้วย ข้ากลับยังมีชีวิต ทุกคนจึงเชื่อว่าในน้ำแกงนั้นไม่มียาพิษ ขณะเดียวกัน ขุนนางผู้ชันสูตรศพมาช้าเพราะต้องชันสูตรศพทั้งห้าในเวลาอันสั้น เขายืนยันว่าศพทั้งห้าถูกพิษจนถึงแก่ชีวิต เมื่อดูจากสถานการณ์ การถูกพิษไม่มีทางกำเริบจนเสียชีวิตได้ในชั่วข้ามคืน นอกจากจะมีคนใส่ยาพิษและยาชาให้พวกเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้อวัยวะภายในค่อย ๆ เสียหาย แต่กลับยังใช้ชีวิตได้อย่างงมงาย ยาพิษชั่วร้ายเช่นนี้ นอกจากผงพิษเจี่ยวฉางซั่นแห่งถังเหมินในซื่อชวนแล้ว ข้าก็ไม่เคยได้ยินชื่อพิษอื่นที่ร้ายแรงเป็อันดับสอง”
“คดีนี้มีข้อสรุปหรือไม่?”
เหอตังกุยผายมือไปด้านข้าง “ย่อมมีแน่ ตามที่ผู้พิพากษาวิเคราะห์ ชาวนาทั้งห้ามิใช่คนธรรมดา แต่พวกเขากำลังซ่อนตัวจากเหล่าจอมยุทธ์ เพราะได้ไปล่วงเกินให้ศัตรูเกิดความแค้น ดังนั้นพวกเขาจึง “ตายกะทันหัน” ท่ามกลางความโกรธแค้นของศัตรูในยุทธภพ คดีนี้จึงปิดลง”
รัชสมัยที่ผ่านมา ราชสำนักมีสิ่งที่เรียกว่า “สามกรณีที่ไม่สามารถจัดการได้” กรณีแรกคือชีวิตความเป็ความตายในสมรภูมิรบ กรณีที่สอง การต่อสู้ระหว่างประชาชน ภายหลังมีคนาเ็เสียชีวิต แต่ก่อนหน้ามีการลงลายลักษณ์อักษรเป็ลายมือของทั้งสองฝ่ายแล้ว และมีพยานพบเห็นว่าทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ข้อนี้ก็ไม่สามารถจัดการได้ กรณีที่สาม การต่อสู้ระหว่างสำนักใดสำนักหนึ่งในยุทธภพหรือการสังหารศัตรูในยุทธภพ สำหรับราชสำนักแล้วมันอยู่เหนือขอบเขต ดังนั้นราชสำนักจึงไม่สามารถจัดการได้
เกาเจวี๋ยกัดฟันกรอด “ไอ้ขุนนางสุนัขสารเลว รับเงินเดือนจากราชสำนัก กินอาหารของราชสำนัก แต่กลับกล้าตัดสินคดีเช่นนี้หรือ?” ฮ่องเต้จูหยวนจางเกลียดชังขุนนางคดโกงที่สุด ท่านเคยให้สัตย์สาบานว่าจะสังหารขุนนางคดโกงในใต้หล้านี้ให้หมด ในฐานะองครักษ์ที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ความคิดเห็นของเกาเจวี๋ยและฮ่องเต้จึงไม่ต่างกันนัก
ทันใดนั้นเหอตังกุยก็เอ่ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนั้นแม่ชีไท่ซั่นเรียกข้าไปพบเพื่อคารวะใต้เท้าทุกท่าน ใต้เท้าเกิ่งเคยสนทนากับข้า ฟังจากน้ำเสียงดูเหมือนเป็คนซื่อชวนใช่หรือไม่?”
เกาเจวี๋ยจับจ้องใบหน้าของเหอตังกุย ก่อนเอ่ยถามทันที “ชายวัยกลางคนที่เ้าเอ่ยถึงตอนเริ่มเื่นั้นใช่เขาหรือไม่? บอกข้ามา อย่าได้เล่นปริศนาคำทายอีก”
-----------------------------------------------------------------------
[1] ฉื่อ หมายถึง ฟุต