วันต่อมาในห้องที่เงียบสงบ จู่ๆ โทรศัพท์ของฉีลั่วอิ่งก็ส่งเสียงดัง ปลุกให้เขาตื่นขึ้น
เขาพยายามยื่นมือออกมาจากใต้ผ้าห่ม และควานหาโทรศัพท์มือถือที่ชาร์จอยู่บนโต๊ะข้างเตียง
หกโมงยี่สิบนาที เช้าขนาดนี้เชียว?
เขาจำได้ว่าวันนี้่เช้าไม่มีตารางงาน มีแค่ต้องไปประชุมบทของภาพยนตร์เื่ใหม่ตอนบ่ายเท่านั้น
เมื่อฉีลั่วอิ่งกดปุ่มรับสาย เสียงกระหืดกระหอบของเซวียข่ายซินก็ดังขึ้นมา แล้วถามเข้าประเด็นทันที “เมื่อคืนนายหายไปไหนมา?”
“กลับบ้านมาก่อน” เสียงของฉีลั่วอิ่งงัวเงียและเกียจคร้าน เพราะยังนอนไม่เต็มอิ่ม ตอนนี้แค่รับโทรศัพท์ของผู้จัดการและไม่วางสายทันทีก็ถือว่ามีมารยาทมากแล้ว
“ฉันบอกนายมากี่ร้อยครั้งแล้วว่าที่งานเลี้ยงฉลองมีนักลงทุนคนหนึ่งอยากเจอนาย และมันสำคัญมาก!”
“ลืมไปแล้ว” ฉีลั่วอิ่งตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“นายลืมเื่สำคัญขนาดนี้ได้ยังไง? อาโย่วไม่ได้เตือนนายเหรอ? ครั้งนี้ฉันจะไล่เขาออกแน่!”
“เขาเตือนแล้ว อย่าโทษเขา แต่ตอนนั้นผมถึงบ้านแล้ว เลยไม่อยากออกไป”
เสียงดังเพล้งลอยเข้ามาจากสายของผู้จัดการ แปดสิบเปอร์เซ็นต์คิดว่าเขาคงเตะอะไรบางอย่างเพื่อระบายความโกรธ สำหรับเื่การแสดงอารมณ์แล้ว พฤติกรรมของเซวียข่ายซินและฉีลั่วอิ่งค่อนข้างคล้ายกันจริงๆ
“ฉันโมโหนายจะตายอยู่แล้ว ประชุมอ่านบทตอนบ่ายนายไม่ต้องไปแล้วนะ”
“ทำไมล่ะ?”
“นายถูกเปลี่ยนตัวไง!”
“โอ้? แต่ผมก็ไม่ได้อยากเล่นขนาดนั้นอยู่แล้ว”
“นักลงทุนของหนังเื่นั้นลงทุนไปจำนวนมากและบอกว่าอยากให้นายแสดง เงินทุนสูงมาก บริษัทก็ให้ความสำคัญมาก! แล้วฉันก็ปฏิเสธภาพยนตร์กับละครเื่อื่นไปหลายสิบเื่เพื่อเื่นี้เลยนะ!”
“ถึงพี่จะปฏิเสธไปมากกว่านี้ แต่ใน่เวลาหนึ่งผมก็รับงานได้แค่เื่เดียวเท่านั้น” ฉีลั่วอิ่งพูดล้อเล่นอย่างเ็า
“ไม่ต้องเตือนฉันเื่นี้! ที่ฉันอยากบอกก็คือตารางงานอีกสามเดือนข้างหน้าของนายว่างเปล่าแล้ว นายจะให้ฉันอธิบายกับบริษัทยังไง?” เซวียข่ายซินพูดอย่างร้อนรน ราวกับใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดะโทุกคำออกมา
สำหรับบริษัทต้นสังกัดแล้ว เวลาของนักแสดงเป็เงินเป็ทอง ตารางงานที่ว่างเปล่านั้นหมายถึงบริษัทจะไม่ได้รับเงินส่วนแบ่ง หรือที่เรียกกันว่า “ขาดทุน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฉีลั่วอิ่งที่เป็หนึ่งในเสาหลักของซิงเหอ เพราะส่วนแบ่งของเขาคิดเป็รายได้เกือบหนึ่งในสามของบริษัท
“ไม่ใช่ว่าเซ็นสัญญาไปแล้วเหรอ? อย่างนี้บริษัทก็จะได้ค่าผิดสัญญาใช่ไหม?”
“ในสัญญามีข้อเรียกร้องเพิ่มเติมว่า เหตุผลที่เนื่องมาจากการขาดประชุมงานและอื่นๆ อีกฝ่ายสามารถยกเลิกสัญญาได้โดยไร้เงื่อนไข”
“ประชุมงาน? ไม่ใช่แค่การกินข้าวเหรอ?” ฉีลั่วอิ่งหลุดหัวเราะอย่างดูถูกออกมาครั้งหนึ่ง เขาไม่เชื่อว่ามื้ออาหารนั่นจะมีการประชุมงานอะไร
“พวกเขายืนยันว่าคืนนั้นจะคุยงานพร้อมกับกินข้าวไปด้วย แล้วฉันจะพูดอะไรได้? เพราะฉะนั้นตอนนี้เงินแม้แต่แดงเดียวเราก็ไม่ได้!”
“ผมไม่ได้บอกว่าจะไม่รับงานสักหน่อย ไม่มีหนังเื่นี้แล้วก็รับเื่อื่นก็ได้” ถ้าบังเอิญว่าจัดตารางงานไม่ได้จริงๆ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะหยุดยาวสามเดือน เพียงแต่ถ้าพูดออกไปตอนนี้จะเป็การราดน้ำมันลงในกองไฟ เขาจึงตั้งสติเพื่อไม่ให้เผลอพูดออกมา
“แล้วฉันจะไปหาหนังที่จะเริ่มถ่ายทำภายในไม่กี่วันนี้ให้นายได้ยังไง?” เซวียข่ายซินพูดอย่างโกรธเกรี้ยว การหาภาพยนตร์หรือละครที่กำลังจะเปิดกล้องในเร็วๆ นี้ ทั้งยังไม่ได้กำหนดตัวแสดงนั้นแทบจะเป็ไปไม่ได้เลย
“พี่คือผู้จัดการมือทองเซวียข่ายซินเลยนะ ไม่มีอะไรที่เป็ไปไม่ได้”
“ไม่ต้องมายอฉัน ฉันไม่หลงกลหรอก” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ความโกรธในน้ำเสียงของเซวียข่ายซินก็หายไปมากแล้ว “ฉันจะพยายามหามาอย่างเต็มที่ เมื่อถึงตอนนั้นแล้วก็อย่าเื่มากแล้วกัน”
“ผมจะทำอย่างสุดความสามารถ” ไม่ใช่ว่าฉีลั่วอิ่งไม่อยากตอบรับทันที แต่เขากลัวจริงๆ ว่าเซวียข่ายซินจะขายผ้าเอาหน้ารอด แล้วไปเลือกบทแปลกๆ มาให้
แม้เซวียข่ายซินอยากจะต่อว่าฉีลั่วอิ่งมากเพียงใด แต่ประสบการณ์ทำงานร่วมกันมาสิบปีั้แ่ฉีลั่วอิ่งเพิ่งเดบิวต์ จากโนเนมสู่นักแสดงชื่อดังผู้ยิ่งใหญ่ จึงไม่มีใครรู้จักนิสัยฉีลั่วอิ่งได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว เขารู้ดีว่าคนอย่างฉีลั่วอิ่งด่าไปก็ไร้ประโยชน์ สู้เก็บแรงเอาไว้จะดีกว่า
เขารู้ว่าฉีลั่วอิ่งมีจุดยืนในการเลือกบท แล้วก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบทที่เขาเลือกนั้นเขาแสดงออกมาได้ดีมาก “ฉันเป็ผู้จัดการของนายนะ เชื่อใจฉันหน่อยได้ไหม?”
“ใครใช้ให้พี่พาผมไปนั่งกินข้าวกับคนอื่นล่ะ?”
“นักลงทุนคนนั้นเป็ผู้ชาย! แล้วเขาก็มีข้อพิจารณาตั้งมากมายที่เลือกนายมาเป็นักแสดงนำ ไม่ใช่แค่ชอบนายอย่างเดียว จะไปกลัวอะไร? ถึงมีข่าวลือว่านักลงทุนอยากเลี้ยงดูนาย แต่ฉันเคยปล่อยให้ใครใช้กติกาซ่อนเร้นกับนายไหม? คราวก่อนที่ประธานของอวิ๋นหยางกรุ๊ปอยากกินข้าวกับนาย ไม่ใช่ฉันที่ช่วยปฏิเสธเหรอ?”
“ผมกลัวว่าถ้าอีกฝ่ายใช้กติกาซ่อนเร้นขึ้นมาจริงๆ ผมจะทนไม่ไหวแล้วต่อยเขาไป” ฉีลั่วอิ่งไม่ได้คิดที่จะทบทวนคำพูดใดๆ ทั้งสิ้น “ถึงตอนนั้นพี่อาจจะจัดการลำบากกว่าเดิมก็ได้”
ที่แท้การที่เบี้ยวนัดนักลงทุน ก็คือการนึกถึงภาระงานของผู้จัดการนี่เอง ช่างเป็นักแสดงที่ใส่ใจผู้จัดการเสียจริง!
เซวียข่ายซินโกรธจนพูดไม่ออก เขาเกรงว่าถ้ายังคุยกับฉีลั่วอิ่งต่อไปโรคหัวใจอาจกำเริบแล้วต้องตายั้แ่อายุยังน้อย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดทิ้งท้ายว่า “รอรับสายฉันด้วย” แล้ววางสายไปทันที
ฉีลั่วอิ่งถูกผู้จัดการด่าจนตื่นั้แ่เช้า แม้จะวางสายไปแล้ว แต่เขาก็รู้สึกเหมือนเสียงของเซวียข่ายซินยังดังก้องอยู่ในหู จะกลับไปนอนต่อก็นอนไม่หลับแล้ว จึงทำได้แค่ลุกออกจากเตียง
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตรวจดูว่ามีสายที่ไม่ได้รับเมื่อคืนหรือเปล่า แต่กลับไปกดเปิดข้อความขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ
“หน้าตอนหลับของฉีฉีเซ็กซี่มากเลย ถ้าได้ไปนอนอยู่ข้างๆ บนเตียง ได้ััอุณหภูมิร่างกายของนายก็คงดี นายอยู่กวนหยุนชั้นที่สิบสองใช่ไหม? ที่นั่นมีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมาก เข้าไปไม่ง่ายเลยนะ!”
“ฉีลั่วอิ่ง นายกำลังดูอยู่ใช่ไหม? ทางที่ดีพรุ่งนี้นายออกจากวงการบันเทิงจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นฉันจะเอามีดหั่นแตงโมไปสับนาย! แฟนของฉันถึงกับบอกเลิกฉันเพื่อจะไปดูนาย! ฉันโมโหจะตายอยู่แล้ว!”
----------
ฉีลั่วอิ่ง : “่นี้ฉันไม่ได้มีงานที่ออกสู่สาธารณะเลยนะ แน่ใจใช่ไหมว่าแฟนของนายมาดูฉันจริงๆ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้