แต่หากหลินฟู่อินไม่ซื้อจริงๆ นางก็จะซื้อเอง
ครอบครัวของนางมีลูกสาวสองคนที่ไม่เด็กแล้ว อีกไม่นานก็คงแต่งงาน และมันก็ประจวบเหมาะกับที่นางอยากให้พวกลูกๆ มีร้านไว้ดูแลในอนาคตพอดี ส่วนตัวบ้านนั้นให้ลูกชายคนเดียวไปก็ได้
หลินฟู่อินเองก็คิดว่ามันเป็ข้อเสนอที่ดี แต่ก็ยังคงหรี่ตาแล้วถาม “ข้าจะรบกวนให้ฮูหยินไปถามให้ข้าได้หรือไม่เ้าคะ ว่าลดราคาลงได้หรือไม่?”
ได้ยินเช่นนี้ นางจึงรู้ว่าหลินฟู่อินอยากซื้อ และนางก็เคารพในการตัดสินใจของหลินฟู่อิน
แต่น่าเสียดายที่ผู้ขายยืนกรานมาว่าจะไม่ลดไปกว่านี้แล้ว
“ข้าเองก็บอกให้คนดูแลบ้านถามคนกลางไปเช่นกัน แต่ราคาจะไม่ลดลงกว่านี้แล้ว” หลี่ฮูหยินกล่าวอย่างติดอายเล็กน้อย
หลินฟู่อินคำนวนทรัพย์สินในมือ หกร้อยตำลึงเงิน… หากรวมกับเงินก้อนที่นางได้มาในวันนี้แล้วละก็นางจ่ายไหว แต่หากจ่ายหกร้อยตำลึงเงินนี้ไปแล้ว นางจะมีเงินเหลือติดตัวอยู่อีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่นางก็ยังขายสมุนไพรที่เก็บไว้ให้หมอหลี่ได้ อีกทั้งไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสนก็ต้องส่งรอบใหม่ให้ภัตตาคารจ้าวจี้ในอีกสิบวัน ถึงตอนนั้นนางก็จะมีเงินในมืออีกครั้ง
ดังนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะซื้อบ้านและร้านที่ว่านี้!
เมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินไม่ลังเลในการตัดสินใจซื้อเลย หลี่ฮูหยินก็ยิ่งตกตะลึง เด็กสาวผู้นี้ร้ายกาจกว่าที่นางคิด!
“เช่นนั้นข้าจะส่งคนไปหาคนกลางให้” นางเป็คนที่จัดการเื่ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว จึงเรียกคนมาเพื่อให้ไปแจ้งข่าวทันที
หลินฟู่อินเองก็กำลังยุ่ง นางจึงกล่าวขอบคุณหลี่ฮูหยินอย่างจริงใจ
หลี่ฮูหยินโบกไม้โบกมือ “มันเป็สิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
ทั้งสองสบตากัน แล้วจึงยิ้มออกมา
หลังจากดื่มชาเสร็จไปหนึ่งถ้วย ชายวัยกลางคนอายุราวสามสิบในชุดคลุมสีฟ้าก็รีบเร่งมาถึงโรงหมอภายใต้การนำของคนใช้ตระกูลหลี่ ข้างๆ ยังมีสตรีกลางคนวัยราวสี่สิบอยู่ด้วย
หลี่ฮูหยินจัดให้พวกเขานั่งลงในโถงบุปผา จากนั้นจึงพาหลินฟู่อินมายังโถง
ชายวัยกลางคนร่างท้วมผู้นี้ดูฉลาดเฉลียว เขาแนะนำหลี่ฮูหยินให้สตรีที่ตามมาด้วย ตอนที่รายงานเื่ความ้าในการซื้อบ้าน
เป็สตรีผู้นี้เองที่เป็ผู้ขาย เื่นี้เหนือความคาดหมายของหลินฟู่อินไปมาก
แน่นอนว่าหลี่ฮูหยินเองก็ประหลาดใจเช่นกัน
สตรีวัยกลางคนสังเกตเห็นท่าทีประหลาดใจของหลี่ฮูหยิน จึงอธิบายด้วยรอยยิ้มบาง “ข้ามีนามว่าฉินเจียง เดิมเป็คนเฉาโจ่ว แต่ใช้ชีวิตอยู่เมืองหลวง สามีของข้าที่จากไปแล้วชอบบรรยากาศดีๆ ของที่นี่ เขาจึงซื้อเรือนใหญ่ในเมือง แล้วมาอยู่ที่นี่สักปีละครั้งสองครั้ง… แต่หลังจากที่สามีข้าจากไป ข้าก็ทนความเศร้าเมื่อเห็นสิ่งของต่างๆ ที่มีในเมืองนี้ไม่ได้ แต่เมื่อคนเราแก่ตัวลง ใบไม้บนต้นก็ย่อมต้องร่วงหล่นกลับสู่ราก เมื่อข้าขายสิ่งต่างๆ ที่มีที่นี่จนหมด ก็ได้เวลาพาร่างของสามีกลับไปยังบ้านเกิด”
หลี่ฮูหยินเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมหลายปีมานี้ถึงไม่เห็นผู้อาศัยในเรือนหลังนั้น ทั้งร้านที่ปลายถนนทางตะวันออกและต้นถนนฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็ร้านผ้าเ้านิยมถึงปิดตัวลง
เป็เช่นนี้นี่เอง
ในสายตาของหลี่ฮูหยินปรากฏความโศกเศร้าขึ้นมา จึงทำความเคารพนางใหม่อีกครึ้ง
เจียงฮูหยินเองก็รีบทำความเคารพคืน นางนึกว่าหลี่ฮูหยินเป็คนที่้าซื้อ จึงมองนางแล้วกล่าว “ในเมื่อท่านเรียกหาข้าเช่นนี้ ก็คงรู้อยู่แล้วใช่หรือไม่ว่าราคานี้ไม่มีลด?”
หลี่ฮูหยินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่รอยยิ้มบนหน้ายังไม่เปลี่ยน นางดันหลินฟู่อินออกมาเล็กน้อยแล้วยิ้ม “เจียงฮูหยิน ข้ามิใช่ผู้ตัดสินใจในเื่นี้ ข้าเพียงเบิกทางให้แม่นางหลินผู้นี้เท่านั้น จากนี้เป็เื่ที่พวกท่าน ผู้ซื้อและผู้ขายต้องจัดการกันเอง”
เมื่อเห็นว่าผู้ซื้อตัวจริงเป็เด็กสาววัยสิบสามสิบสี่ เจียงฮูหยินจึงประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย แม้แต่คนกลางที่พอจะรู้เื่อยู่บ้างก็ยังมองหลินฟู่อินอย่างประหลาดใจ ก่อนจะยิ้มออกมาแล้วกล่าว “ผู้ที่้าซื้อเป็แม่นางหลินนี่เอง!”
เขาไม่ดูถูกหลินฟู่อินแม้นางจะเป็เพียงเด็กสาว เพราะการที่จะอยู่ในสายงานของเขาให้รอดนั้น ขั้นแรกคือต้องไม่ตัดสินคนจากภายนอก แต่ต้องมองคนที่ภายใน
แน่นอนว่าแม้เจียงฮูหยินจะเคยเห็นอะไรมามาก แต่นางก็ยังประหลาดใจอยู่ดี แม้ในใจของนางจะยังคาใจอยู่บ้างว่าหลินฟู่อินผู้นี้จะสามารถจ่ายไหวได้จริงๆ หรือไม่ก็ตาม แต่สีหน้าของนางยังคงสงบนิ่ง ในสายตาแฝงด้วยรอยยิ้มเล็กๆ แล้วจึงถามหลินฟู่อินออกไป “แม่นางหลิน ในเมื่อท่านเป็คนที่อยากซื้อ หมายความว่าหลี่ฮูหยินต้องเป็ผู้แนะนำให้ท่านไม่ผิดแน่ เรือนของข้าขายมัดรวมกับร้านค้าสองร้าน ราคาอยู่ที่หกร้อยตำลึงเงิน นี่เป็ราคาที่ต่ำที่สุดที่ข้าให้ได้แล้ว หากมิใช่เพราะข้ากำลังรีบที่จะกลับไปยังบ้านเกิด คงไม่มีราคานี้ออกมาแน่”
แม้หลินฟู่อินจะไม่รู้ราคาบ้านเรือนในเมืองเท่าไร แต่ในเมื่อหลี่ฮูหยินแนะนำมาเช่นนี้ มันก็ต้องเป็ราคาที่ดีจริงๆ นางจึงพร้อมที่จะซื้อ
แต่หากไม่เสนออะไรกลับไปเสียหน่อย นางคงนอนไม่หลับแน่ๆ นางจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจียงฮูหยิน หลี่ฮูหยินบอกข้ามาว่าเรือนของท่านยอดเยี่ยมนัก ข้าเองก็อยากซื้อ แต่ข้าถามราคาไว้หลายที่ และกำลังมองหาราคาที่เหมาะสมที่จะซื้ออยู่เ้าค่ะ”
คำพูดนี้อาจฟังดูไม่มีอะไร แต่แท้จริงแล้วมันมีเป้าหมายอยู่สามข้อ ข้อแรก นางกำลังมองหาบ้านอยู่ ไม่ใช่ร้าน และเพราะเจียงฮูหยินพยายามขายคู่ นางจึงไม่ค่อยอยากจ่ายนัก ข้อสอง หลี่ฮูหยินเป็ผู้แนะนำและรู้จักบ้านหลังนั้นดี แต่ร้านนั้นไม่ไหว ทำเลไม่ดี อย่างไรเสียร้านยาของหลี่ฮูหยินก็มีทำเลที่ดีกว่านั้น ข้อสาม ในเมื่อเจียงฮูหยินอยากกลับบ้านเกิดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็ไปได้ ดังนั้นก็ลดเสียหน่อย แล้วข้าจะจ่ายทันที!
เจียงฮูหยินมีสีหน้าหมองขึ้นมา นางเข้าใจความหมายในสิ่งที่หลินฟู่อินพยายามสื่อ จึงอดที่จะเม้มปากไม่ได้
เมื่อคนกลางเห็นบรรยากาศที่เงียบจนน่าอึดอัดเช่นนี้ เขาจึงยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “แม่นางหลิน ท่านเข้าใจผิดไป แท้จริงแล้วทำเลของร้านทั้งสองไม่ได้แย่เลย เพราะมันตั้งอยู่ในเมืองชายแดนที่ไม่ค่อยถูกชายตามองแห่งนี้ กิจการจึงอาจไม่เฟื่องฟูนัก แต่ทั้งสองร้านก็มีทั้งโต๊ะ เก้าอี้และห้องเก็บของคุณภาพดี อีกทั้งด้านหลังร้านยังมีห้องอีกเจ็ดถึงแปดห้อง หากท่านได้ไปแล้ว จะปล่อยเช่า ขาย หรือใช้ทำกิจการเองก็ถือว่าคุ้มค่าทั้งนั้น!”
ได้ยินคนกลางกล่าวเช่นนี้ สีหน้าของเจียงฮูหยินจึงกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วมองหลินฟู่อิน “แม่นางหลิน ที่คุณชายเมิ่งกล่าวนั้นถูกต้องแล้ว ตัวร้านมีสภาพดีมาก และหากจะให้พูด สามีที่เสียไปแล้วของข้ามีวิสัยทัศน์ที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อเขาจากไป ตัวข้าก็ไม่ค่อยรู้เื่ธุรกิจนัก กิจการจึงล้มระเนระนาดเช่นนี้”
หลินฟู่อินพยักหน้า สื่อให้เห็นว่านางเข้าใจ
ที่จริงแล้วเจียงฮูหยินเองก็มิได้ขาดเงิน เมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินทั้งยังเยาว์วัยและนิ่งสงบเช่นนี้ นางจึงรู้สึกดีที่ได้พูดคุยด้วยขึ้นมา
เมื่อพิจารณาดูแล้ว การที่เด็กสาวเช่นนี้จะปรากฏตัวในที่สาธารณะคงเป็เื่ยุ่งยาก ครุ่นคิดไปอีกครู่หนึ่ง นางจึงกล่าว “แม่นางหลินช่างเป็คนเงียบสงบนัก ข้าประทับใจมาก และท่านเองก็ชอบเรือนของข้า ดังนั้นแล้วนี่คงเป็โชคชะตา ข้าลดให้สิบตำลึงเงิน หากไม่เอา พวกข้าก็จะไปหาผู้ซื้อใหม่”