ไม่รู้เป็เพราะอากาศภายในห้องอบอุ่นหรือบรรยากาศอันชวนระอุร้อน แม้จะเปลี่ยนมาเป็อาภรณ์เบาบางใบหน้าของนางก็ยังคงแดงซ่าน ภายใต้แสงตะเกียงอบอุ่น อาภรณ์หรูหราขับใบหน้าให้ยิ่งงามเฉิดฉันท์ ดวงตาอ่อนหวานชวนให้ใจสะดุด
“วงพักตร์งามพริ้งยิ่งฝูหรง เรียวคิ้วโค้งอ่อนหวานปานกิ่งหลิว... เปิ่นหวางเคยอ่านพบในหนังสืออยู่บ่อยๆ ไม่คิดว่าจะสตรีลักษณะเช่นนี้จะมีอยู่จริงในโลก นับเป็บุญตาโดยแท้” สายตาของเฟิงเจวี๋ยเสวียนที่ประทับอยู่บนเรือนกายของนางอ่อนโยนยิ่ง มองพิจารณาทุกส่วนั้แ่หัวจรดเท้า รอยยิ้มบนใบหน้าแม้อ่อนบางแต่อบอุ่นอ่อนโยนดังสายน้ำ ดวงตาฉายแววตื่นตะลึง แม้จะอ่อนจางนัก แต่ทุกกิริยาของเขาล้วนอยู่ในสายตาของหลิงเฟิงเยียน เบื้องลึกในดวงตาปรากฏแววกระหยิ่มใจอยู่ลับๆ
“ท่านอ๋องทรงกล่าวชมเกินไปแล้ว หม่อมฉันขอบพระทัยสำหรับของขวัญ ของประทานจากท่านอ๋อง เฟิงเยียนจะไม่ชอบได้อย่างไร น่าเสียดายโคมไฟที่ท่านอ๋องประทานให้หม่อมฉันเมื่อครู่ โคมอันวิจิตรเยี่ยงนั้นเฟิงเยียนยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน มิหนำซ้ำยังเป็ของที่ท่านอ๋องชนะได้รางวัลมา ปริศนาทายยากขนาดนั้นท่านอ๋องยังทายถูก มิน่าทั้งขุนนางในราชสำนักและชาวประชาต่างแซ่ซ้องว่าท่านอ๋องทรงมากด้วยพระปรีชาสามารถ หากมิใช่ว่าทรงเห็นแก่พระพักตร์ของเซวียนอ๋องก็คงทายได้ั้แ่ข้อแรกแล้ว ไม่ต้องมาเปรียบเทียบอะไรกันให้วุ่นวายเช่นนี้” หลิงเฟิงเยียนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย หัวเราะเบาๆ พลางกล่าวกับเฟิงเจวี๋ยเสวียน ดวงตาพริ้มเพราอ่อนหวานฉายแววเลื่อมใสอย่างเต็มเปี่ยม
วาจาของนางไม่เพียงแต่แสดงความชื่นชมที่ตนเองมีต่ออีกฝ่าย ยังชี้ให้เห็นถึงเมื่อครู่ขณะเขาและเฟิงเจวี๋ยหร่านขึ้นไปทายปริศนาบนเวที ที่เฟิงเจวี๋ยเสวียนดูเหมือนเป็รอง แท้ที่จริงแล้วเป็เพราะเขาเห็นแก่ความเป็พี่น้องจึงยอมอ่อนข้อ ให้น้องชายของตนเองได้เลือกของขวัญไปก่อนเท่านั้น
คำกล่าวเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกพึงพอใจเป็ที่สุด มิได้พูดบิดเบือน แต่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็การตบก้นม้า เื่ราวล้วนอยู่บนพื้นฐานความเป็จริง เพียงเปลี่ยนคำพูดเล็กน้อยให้ดูเหมาะสม กอปรกับสายตาเอียงอายที่หลากล้นไปด้วยความเลื่อมใสชื่นชม ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้บุรุษที่ไหนจะไม่เกิดความประทับใจบ้าง
แต่นอกจากวาจาอ่อนหวานมีเหตุผล หลิงเฟิงเยียนก็ยังนั่งเรียบร้อยมีมารยาท ไม่แสดงออกเกินงาม มือบิดผ้าเช็ดหน้าดูแช่มช้อย แต่ในความอ่อนน้อมถ่อมตนยังแฝงไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งที่ทอประกายออกมา ดังเช่นสตรีที่รู้สึกดีกับบุรุษผู้หนึ่ง แต่ยังคงรักษามารยาทตามธรรมเนียมที่ได้รับการบ่มสอนมาอย่างสมบูรณ์แบบ
หลิงเฟิงเยียนย่อมไม่ทำเื่เสนอตัวไปถึงอ้อมกอดของฝ่ายชายดังเช่นที่ฮองเฮาทรงชี้นำ แม้ว่าพระราชอำนาจของฮองเฮาจะทำให้นางรู้สึกใจสั่นและหมายตาต่อตำแหน่งสูงนั้นไว้ แต่ยามนี้ยังไม่อาจกระทำสิ่งใดบุ่มบ่าม ตราบใดที่นางยังไม่แน่ใจว่าผู้ที่จะได้บัลลังก์ัคือฉู่อ๋องหรือเยี่ยนอ๋อง นางไม่กล้าวางเดิมพันชิ้นสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะชัดแจ้ง
แม้ว่าเฟิงเจวี๋ยเสวียนจะเป็ตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ก็มิใช่ว่าเฟิงเจวี๋ยเหล่ยจะไม่มีความหวังเสียทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความประสงค์ของฮองเฮาที่แสดงออกมาเป็สิ่งที่นางไม่อยากยอมรับ นางจะต้องได้ตำแหน่งสูง โดยมิใช่เป็เพียงแท่นศิลารองบาทให้ผู้ใดเหยียบย่ำไปสู่ความสำเร็จ นางมิได้มีปณิธานยิ่งใหญ่ที่จะยอมเสียสละตนเองเพื่อเฟิงเจวี๋ยเหล่ย
ความหมายของฮองเฮานางย่อมกระจ่างใจ พระนาง้าให้ตนเองกลายเป็สตรีของเฟิงเจวี๋ยเสวียน และคอยเป็สายลับให้ฮองเฮาในตำหนักฉู่อ๋อง เพื่อให้เฟิงเจวี๋ยเหล่ยได้รับผลประโยชน์สูงสุด ฮองเฮาทรงสัญญากับนางว่าขอเพียงเฟิงเจวี๋ยเหล่ยได้สืบทอดราชบัลลังก์ นางจะยังคงเป็สตรีที่เฟิงเจวี๋ยเหล่ยโปรดปรานมากที่สุด และยังเป็สตรีที่มีอำนาจสูงสุดในวังหลังอย่างแท้จริง
คำหวานแบบนี้หลิงเฟิงเยียนฟังแล้วก็อยากหัวเราะให้ฟันร่วง
หากเฟิงเจวี๋ยเหล่ยได้ครองบัลลังก์ แต่นางกลายเป็สตรีของศัตรูไปแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่นำพา แต่คนอื่นๆ มีหรือจะปล่อยนางไปง่ายๆ หญิงที่เคยแต่งงาน เสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว แม้ว่าเฟิงเจวี๋ยเหล่ยจะเห็นแก่ความรักในอดีตรับนางเข้าสู่วังหลัง แต่ก็ต้องอยู่ในฐานะที่กระอักกระอ่วน ไม่อาจดำรงอยู่อย่างสง่างาม ทั้งยากจะเลี่ยงคำครหาที่ว่าน้องชาย่ชิงภรรยาพี่ชายมาเป็ของตน เื่ราวเช่นนี้นางไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นในวันหน้าเด็ดขาด
ดังนั้นหลิงเฟิงเยียนจะไม่ยอมทุ่มเดิมพันสุดท้ายง่ายๆ เป็แน่ นางปรารถนาจะยืนเคียงข้างผู้ชนะเท่านั้น มีเพียงสตรีโง่เง่าที่จะยอมเป็ศิลารองบาทให้คนก้าวขึ้นไป นางยอมมาเดินเล่นกับเฟิงเจวี๋ยเสวียนตามพระประสงค์ของฮองเฮา ยอมเปลี่ยนชุดเป็อาภรณ์เบาบางสีสันสดใสที่พระนางวางแผนเตรียมไว้ให้เป็อย่างดี แต่มิได้คิดยั่วยวนเฟิงเจวี๋ยเสวียนจนเผลอไผลเกินเลย พอถูกคนจับได้ก็ต้องแต่งนางเป็ชายาด้วยความจำเป็
คนฉลาดอย่างนางย่อมไม่มีทางให้ตนเองต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเยี่ยงนั้น สิ่งที่นาง้าคือหัวใจของเฟิงเจวี๋ยเสวียน ให้หัวใจของเขามีนางเช่นเดียวกับเฟิงเจวี๋ยเหล่ย เื่บางอย่างนางต้องค่อยๆ วางแผนเพื่อตนเอง ไม่ว่าสุดท้ายแล้วใครจะเป็ผู้ชนะ ฐานะอันสูงส่งตำแหน่งนั้นพวกเขาย่อมยกให้แก่นางเพียงผู้เดียว ดังนั้นยามนี้นางต้องแสดงออกว่ามีใจให้ อีกทางก็ต้องวางตัวเหมาะสมมิให้เฟิงเจวี๋ยเสวียนนึกดูแคลนหรือได้ง่ายๆ
ของที่ได้มาง่ายเกินไปจะมีใครหวงแหนทะนุถนอม!
“โคมดวงนั้นพังไปแล้ว จริงอยู่ว่าน่าเสียดาย แต่โชคดีที่เปิ่นหวางก็พอมีฝีมือในการประดิษฐ์โคมอยู่บ้าง ไว้คราวหน้าหากมีเวลาว่าง เปิ่นหวางจะช่วยทำแบบที่เหมือนกับของวันนี้ให้เ้าดีหรือไม่”
เฟิงเจวี๋ยเสวียนยิ้มน้อยๆ ขณะสายตาเลื่อนไปที่ข้อมือขาวเกลี้ยงเกลา ฉับพลันดวงตากลับหม่นแสงลง สายสร้อยไข่มุกที่นางสวมอยู่ได้มาจากการแข่งขันทายปริศนาตาแรกที่ตนเองแข่งกับเฟิงเจวี๋ยหร่าน ภายใต้แสงตะเกียง ไข่มุกเส้นนั้นเรืองแสงแวววาวดูคล้ายกับดวงตางดงามสดใสคู่นั้นที่ตนเคยเห็นและไม่เคยลืมเลือน
ในสมองพลันผุดภาพดวงตาที่เป็ประกายสุกใสดั่งหยาดน้ำของสตรีที่อยู่ในชุดคลุมมิดชิด ภาพดวงตาในความทรงจำทั้งสองเชื่อมเข้าหากันอย่างช้าๆ มือแกร่งที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อพลันกำแน่น เบื้องลึกดวงตาฉายแววแคลงใจ
เป็ไปไม่ได้! จะเป็ไปได้อย่างไร วันนี้ได้ยินว่าสกุลโม่เกิดเื่ใหญ่ คนที่เขาส่งไปจับตามองสกุลโม่รายงานว่าวันนี้คนในสกุลโม่ไม่มีแม้แต่อารมณ์จะฉลองเทศกาลส่งท้ายฤดูหนาว นางเป็เพียงสตรีในห้องหอจะออกมาข้างนอกได้อย่างไร
ไม่ เขาแค่จำคนผิดไปแน่นอน!
หลิงเฟิงเยียนก้มศีรษะลง แอบปลื้มปริ่มไปกับคำพูดของเฟิงเจวี๋ยเสวียน จึงกล่าวตอบด้วยท่าทางเอียงอาย
“หากได้รับโคมที่ท่านอ๋องทรงประดิษฐ์เองกับมือ เฟิงเยียนก็คงซาบซึ้งใจสุดประมาณ แต่ไม่ต้องทรงทำเช่นนั้นหรอกเพคะ น้ำพระทัยของท่านอ๋อง เฟิงเยียนรับไว้ด้วยใจแล้ว จะให้ทรงลำบากประดิษฐ์โคมให้จริงๆ ได้อย่างไร ท่านอ๋องมีฐานะสูงส่ง ทั้งยังมีภารกิจอีกมากมายต้องจัดการ เฟิงเยียนคงมิกล้ารบกวนให้ท่านอ๋องต้องทรงเหน็ดเหนื่อยเพียงเพราะเื่ส่วนตัวของตนเอง ดังนั้นทรงถอนพระวาจากลับคืนไปเถิดเพคะ” คำกล่าวของนางแสดงให้เห็นถึงน้ำใจและความใจกว้าง รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร
“จะได้อย่างไรเล่า เื่ที่เปิ่นหวางรับปากเยียนเอ๋อร์ แม้จะยุ่งอย่างไรก็ต้องเจียดเวลาได้ หากเยียนเอ๋อร์รู้สึกไม่สบายใจก็มอบของสิ่งนี้ให้เปิ่นหวางดีหรือไม่” เฟิงเจวี๋ยเสวียนหรี่ตาทั้งสองข้างเล็กน้อยพลางจับจ้องนาง รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าอ่อนโยนยิ่ง แล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปปลดถุงหอมที่แขวนอยู่บนสายคาดเอวของนาง
ขณะที่กำลังปลดถุงหอมออกทั้งสองจึงใกล้ชิดกันมาก ดังนั้นภาพที่ปรากฏอยู่ในสายตาของโม่เสวี่ยถง จึงเห็นเหมือนคนสองคนกำลังสวมกอดกันอยู่ แม้จะอยู่ในความมืด พวงแก้มสีชมพูยังร้อนซู่แดงปลั่ง ขบริมฝีปาก เบนสายตาหลบไปด้านข้าง รู้สึกกระดากใจที่จะชมต่อไป
“เฟิงเจวี๋ยเหล่ยมาแล้ว” เสียงหัวเราะอย่างกระหยิ่มใจของเฟิงเจวี๋ยหร่านดังข้างหู
โม่เสวี่ยถงหันกลับไปมอง ยังไม่ทันดูอย่างละเอียดก็ได้ยินเสียงประตูเปิดผลัวะดังลั่น ประตูห้องฝั่งตรงข้ามถูกกระแทกอย่างแรงให้เปิดออก บุรุษสีหน้าโกรธจัดที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแ่าอยู่ตรงกลางก็คือเยี่ยนอ๋องเฟิงเจวี๋ยเหล่ย
เสียงดังลั่นทำให้โม่เสวี่ยถงสะดุ้งด้วยความใ พลันเลิกคิ้วขึ้นกระซิบถามเฟิงเจวี๋ยหร่าน “เยี่ยนอ๋องเห็นฉู่อ๋องอยู่กับสตรีในดวงใจของตนเองสองต่อสองแบบนี้ พวกเขาจะตีกันจริงๆ หรือเปล่า”
สิ่งที่นางกังวลย่อมไม่ใช่เื่ที่พวกเขาสองคนจะตีกันหรือไม่ แต่หากเื่นี้กลายเป็เื่ใหญ่ขึ้นมาจริงๆ และล่วงรู้ไปถึงเบื้องพระพักตร์ของจักรพรรดิจงเหวินตี้ ถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าอาจมีการสืบสาวมาถึงเฟิงเจวี๋ยหร่าน และอาจมาถึงตนเองด้วย นางแอบหนีออกมาจากบ้าน หากมีใครพบเข้า ฟางอี๋เหนียงสองแม่ลูกนั่นต้องใช้เื่นี้มาโจมตีตนเอง แค่การไม่รักษาธรรมเนียมดีงามของกุลสตรีเพียงข้อเดียว ก็อาจทำให้แผนการที่ใกล้สำเร็จของตนเองพังไม่เป็ท่าได้
“กลัวหรือ” ด้วยอาศัยแสงจันทร์จากนอกหน้าต่าง โม่เสวี่ยถงจึงเห็นเฟิงเจวี๋ยหร่านเลิกคิ้วสูงชำเลืองมองนางแล้วถามพลางยิ้มยั่ว
กลัว? ก็ย่อมกลัวแน่ล่ะ แต่เมื่อเห็นสายตายั่วยุแกมดูถูกของเขาแล้วก็อดหงุดหงิดไม่ได้ กอปรกับรู้สึกร้อนตัว ใบหน้าพลันแดงก่ำ ยังดีที่อยู่ในความมืด และเขาก็เพ่งสมาธิอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม นางจึงไม่กลัวว่าเขาจะเห็นสีหน้าของตนเอง โม่เสวี่ยถงพลันเลื่อนสายตากลับไปนอกหน้าต่าง ปากก็แค่นเสียงหึแสดงความไม่พอใจต่อคำพูดของเฟิงเจวี๋ยหร่าน
มีเพียงใบหน้าซับสีแดงระเรื่อที่เผยให้เห็นว่านางเป็คนแข็งนอกอ่อนใน
เฟิงเจวี๋ยเหล่ยที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น แม้จะมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ก็มิได้กระทำสิ่งใดหุนหันพลันแล่น ดูท่าคงเป็เ้านายที่ไม่ธรรมดาอีกคนหนึ่ง องค์ชายที่สามารถใช้ชีวิตอยู่รอดปลอดภัยในวังหลวงย่อมไม่มีธรรมดาสักพระองค์
ดูจากพระโอรสที่ถือกำเนิดมามากมาย แต่สุดท้ายมีชีวิตรอดจนเติบใหญ่เพียงแค่สามพระองค์ก็รู้ได้ พวกเขาแต่ละคนมีใครที่ดูเรียบง่ายเหมือนอย่างที่แสดงออกบ้างเล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์ที่อยู่ข้างกายตนเองเวลานี้
คนของเฟิงเจวี๋ยเหล่ยถอยออกไป ประตูถูกปิดลง บนโต๊ะมีสุรามาเพิ่ม ทั้งสามคนต่างพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ดูไม่ออกเลยว่าเมื่อครู่เฟิงเจวี๋ยเหล่ยแล่นมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวราวกับจะมาหาเื่คน แค่นี้ก็จบแล้วหรือ? โม่เสวี่ยถงอึ้งงัน แต่เนื่องจากถูกกั้นกลางด้วยระยะห่างไกล นางจึงแค่มองเห็นแต่ไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกัน พอหันศีรษะไปมองกลับเห็นเฟิงเจวี๋ยหร่านเงี่ยหูคล้ายกำลังฟังอยู่
“ท่านได้ยินด้วยหรือ” นางไตร่ตรองชั่วครู่แล้วตัดสินใจถามออกไป
“อื้อ” เฟิงเจวี๋ยหร่านหันมามอง สีหน้าฉงนเล็กน้อย เมื่อเห็นนางมองไปยังสามคนซึ่งกำลังคุยกันอย่างสนุกสนานแล้วก็หน้าหงิก จึงรู้ได้ทันที ริมฝีปากพลันคลี่ยิ้มยั่วเย้า เอ่ยถามเสียงเนือย “อยากรู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกันอยู่ใช่ไหมเล่า”
“ใช่ๆๆ” โม่เสวี่ยถงพยักหน้าหงึกๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความหวัง
“ข้าบอกเ้าแต่ว่าจะพามาดูเื่สนุก มิได้บอกว่าจะพามาฟังเื่สนุกเสียหน่อย นี่ดูเหมือนว่าจะอยู่นอกเหนือจากข้อตกลงอยู่นะ...”
คำพูดของเฟิงเจวี๋ยหร่านทำให้รอยยิ้มของนางพลันค้างเติ่งราวกับถูกแช่แข็ง แม้ว่าโม่เสวี่ยถงจะมีสติปัญญาล้ำเหลือ แต่เมื่อเจอคำพูดแบบนี้ก็รู้สึกว่าไฟโทสะในใจถูกโหมกระพือจนยั้งไม่อยู่
ให้มาดู ไม่ได้ให้มาฟัง มีใครที่ไหนเขาพูดแบบนี้กันบ้าง
“แต่หากเ้าอยากรู้ก็ได้ แต่ไหนแต่ไรมาเปิ่นหวางก็ไม่เคยปฏิเสธความ้าของถงเอ๋อร์อยู่แล้ว เพียงแต่ของตอบแทนครั้งนี้... หลังจากถงเอ๋อร์กลับไปแล้ว ช่วยปักถุงหอมให้เปิ่นหวางสักใบได้ไหมเล่า”
ความคิดนี้เพิ่งได้มาจากเฟิงเจวี๋ยเสวียนเมื่อครู่ เพียงแต่เฟิงเจวี๋ยเสวียนยังไม่ทันได้ของ เฟิงเจวี๋ยเหล่ยก็เปิดประตูเข้ามาพอดี มือของเฟิงเจวี๋ยเสวียนยังทาบอยู่ที่เอวของหลิงเฟิงเยียน ทั้งสองอยู่ในอิริยาบถที่ใกล้ชิดกันเพียงนั้น ท่าทางดูคลุมเครือไม่น้อย พูดแล้วเขาก็ยังอดเลื่อมใสเฟิงเจวี๋ยเหล่ยพระเชษฐาสามของตนเองผู้นี้ไม่ได้
ถึงขนาดนี้แล้วเขาก็ยังยิ้มออก โบกมือบอกให้บ่าวไพร่ออกไป หัวเราะเดินเข้ามาพูดกับเฟิงเจวี๋ยเสวียน “เสด็จพี่ใหญ่ ในที่สุดก็หาท่านเจอเสียที เมื่อครู่เห็นในห้องเงียบไปนึกว่าเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้น จึงบุ่มบ่ามถีบประตูเข้ามา” เพียงคำพูดสองประโยคนี้ก็ทำให้เื่พังประตูกลายเป็เื่เล็กน้อยไปในพริบตา
“ท่าน...” ให้สตรีที่ยังไม่ออกเรือนปักถุงหอมให้ เขายังคิดออกมาได้ ยังไม่รู้ว่าจะมีความคิดแผลงๆ อะไรอีก
โม่เสวี่ยถงนึกโมโหขึ้นก่อน ต่อมาก็เริ่มระแวง สุดท้ายไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร จึงหันไปมองห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นชัดเจนอยู่ว่าคนสามคนพูดคุยหัวเราะ บรรยากาศดูกลมเกลียว แต่ไม่มีอรรถรสและไม่เข้าใจอะไรเลยเหมือนดูละครใบ้ รู้สึกหงุดหงิด พานไม่อยากดูแล้ว
“เอาหน่า... งั้นติดหนี้เปิ่นหวางไว้ก่อนก็แล้วกัน” เฟิงเจวี๋ยหร่านพูดเองเออเองเสร็จสรรพ แม้ว่าโม่เสวี่ยถงจะไม่เห็นสีหน้าเขา แต่กลับมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องทำหน้ายิ้มย่องลำพองใจอยู่แน่นอน แกล้งตนเองได้สนุกนักใช่หรือไม่? นางจึงนั่งหน้าหงิกหน้างอ ริมฝีปากโค้งคว่ำไม่พูดจา ถึงอย่างไรเขาก็มองไม่เห็น จะชักสีหน้าใส่แบบไหนแล้วอย่างไร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้