เล่มที่ 7 บทที่ 192 ไม่มีทางอื่นแล้ว
ร่างอวตารของอสุรกายกุ่ยหวังตอนนี้ก็คือมีดบินฮั่วอู๋ซึ่งมีมนต์สะกดสูงถึงสามสิบหกสาย ถือว่าอยู่ในขั้นศาสตราวุธเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีเืของอสุรกายกุ่ยหวังหล่อเลี้ยงอยู่อีกด้วย ต่อให้เป็เพียงร่างอวตาร แต่ก็มีพลังสูงส่งกว่าผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันทั่วไปเลยทีเดียว ดูอย่างนักพรตเฮยซานก็รู้แล้ว ต่อให้เป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันที่มีชื่อเสียงเช่นใด สุดท้ายก็ต้องมาจบชีวิตใต้เงื้อมมืออสุรกายกุ่ยหวังอยู่ดี…
โชคดีที่ก่อนหน้านี้อสุรกายกุ่ยหวังเสียไออสูรไปมากในค่ายกลแปดอสูรหลิงเป่า นอกจากนี้เพื่อที่จะหนีออกมาได้ มันถึงกับทำลายมนต์สะกดของมีดบินฮั่วอู๋ ทำให้พลังของมันตกจากระดับศาสตราวุธลงมาเสียก่อน พอหลายอย่างเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน จึงทำให้พลังของร่างอวตารนี้ถดถอยลงไปถึงหกในสิบส่วน ซึ่งแทบจะกลายเป็เสือกระดาษไปแล้วก็ว่าได้
อสุรกายกุ่ยหวังที่มีพลังไม่ถึงขั้นกุ่ยหวังเช่นนี้ จึงมีโอกาสน้อยมากที่จะสามารถเอาชนะกล่องกระบี่เจิงหนิงของหลินเฟย…
เดิมทีกล่องกระบี่เจิงหนิงก็เกิดมาจากอักขระกระบี่เจิงหนิง ซึ่งเป็หนึ่งในอักขระกระบี่จิ่วหยิน มันจึงมีพลังสูงส่ง แถมยังมีพลังจากค่ายกลคุ้มกันเมืองเข้าช่วยอีกแรง ทำให้หลินเฟยสามารถหลอมกระบี่ทั้งสามสีให้มีมนต์สะกดถึงยี่สิบเจ็ดสาย และกลายเป็อาวุธหยางฝูขึ้นมาในที่สุด บัดนี้จึงมีพลังรุนแรงเทียบเท่าศาสตราวุธทั่วไปเลยทีเดียว
ทันใดนั้นกล่องกระบี่เจิงหนิงก็ดูดกลืนไอิญญาเข้มข้นรอบด้านอย่างบ้าคลั่ง ลำแสงกระบี่ทั้งสามสีก็หมุนวนอยู่รอบๆ อสุรกายกุ่ยหวังพยายามทำทุกวิถีทางแต่ก็ไม่อาจเอาชนะได้ เพียงครู่เดียวทั่วทั้งร่างของมันก็ถูกลำแสงกระบี่ทั้งสามสีแทงจนพรุน มีครั้งหนึ่งถึงกับเกือบถูกลำแสงกระบี่สีขาวสะบั้นจนเจินหลิงแตกสลายเลยทีเดียว โดยเจินหลิงก็นับว่าเป็ส่วนหนึ่งของอสุรกายกุ่ยหวัง หากถูกสะบั้นแตกขึ้นมา ต่อให้เป็มีดบินฮั่วอู๋เอง ก็ย่อมกลายเป็มีดธรรมดาเล่มหนึ่งเท่านั้น
“ครั้งนี้ถือว่าโชคเข้าข้างเ้าละกัน!” หลังจากหลบการโจมตีของลำแสงกระบี่ทั้งสามได้อีกครั้ง อสุรกายกุ่ยหวังก็รู้แล้วว่าภารกิจการมาเมืองวั่งไห่ครั้งนี้ล้มเหลวไม่เป็ท่า สุดท้ายเมื่อมันเข้าตาจน จึงทำได้เพียงโคจรไออสูรที่เหลือไม่มากด้วยความเจ็บใจ ก่อนจะพุ่งโจมตีลำแสงกระบี่ทั้งสามสีเป็ครั้งสุดท้าย ก่อนจะสลายตัวกลายเป็ควันดำจมหายไปท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด…
“หึหึ…” หลินเฟยเห็นดังนั้นก็ไม่คิดจะไล่ตาม เขาได้แต่มองยังจุดที่ควันดำจางหายไป ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม
“หวังว่าเ้าจะโชคดีเช่นกัน…”
ขณะที่หลินเฟยต่อสู้กับอสุรกายกุ่ยหวังอย่างดุเดือด แม้แต่ค่ายกลคุ้มกันเมืองยังตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล ทว่าทางฝั่งตะวันออกของเมืองกลับครึกครื้นเป็อย่างมาก โคมไฟระย้าที่ห้อยระโยงระยางสว่างไสวไปทั่วราวกับเพลากลางวัน และสิ่งที่ดึงดูดเหล่าผู้บำเพ็ญทั้งหลายให้แห่กันมาที่นี่ ก็คืองานประลองอาวุธที่จะจัดขึ้นปีละครั้งเท่านั้น งานนี้นอกจากร้านหลอมอาวุธจะมาประชันฝีมือกันแล้ว ยังเป็สถานที่แสวงหาอาวุธคู่ใจของเหล่าผู้บำเพ็ญอีกด้วย…
แม้ร้านหลอมอาวุธฟานซื่อจะเปิดบริการมาร่วมสิบกว่าปีแล้ว แต่กลับร่วมงานนี้เป็ครั้งแรก หากเป็เมื่อก่อนละก็ เจียงหลีจะต้องยิ้มจนปากฉีกไปแล้วก็ได้
ทว่าตอนนี้…
ใบหน้าของเจียงหลีดูขมขื่นยิ่งกว่ามะระก็ว่าได้
ก็ช่วยไม่ได้ ร้านหลอมอาวุธฟานซื่อในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว หากพูดถึงความสามารถในการทำหินิญญาแล้วละก็ ถือว่าเป็ที่หนึ่งในเมืองวั่งไห่เลยทีเดียว
แต่บัดนี้ร้านอันดับหนึ่งกำลังขายขี้หน้าครั้งแล้วครั้งเล่าในงานประลองอาวุธ
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในงานประลองอาวุธปีนี้ ไม่เพียงแต่สี่ร้านหลอมอาวุธใหญ่เท่านั้น ร้านอื่นๆก็พยายามสู้ขาดใจ แต่ละร้านต่างงัดเอาอาวุธล้ำค่าออกมา เพียงคืนเดียวเจียงหลีก็รับชมจนตาลายไปหมด เพราะทั้งเจ็ดสิบสามร้าน ถึงกับมีอาวุธหยางฝูปรากฏขึ้นมากว่าสิบเล่ม แต่ละเล่มยังมีคุณภาพชั้นเลิศอีกด้วย ทำให้เจียงหลีรู้สึกหนักใจเลยทีเดียว...
และยังไม่จบเพียงเท่านี้...
เพราะครู่ต่อมาสี่ร้านหลอมอาวุธใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้น เจียงหลีเห็นเช่นนั้นก็แทบจะมืดลงไปทันที
‘ศาสตราวุธสี่ชิ้นเลยหรือ!’
ถึงกับมีศาสตราวุธปรากฏในงานพร้อมกันสี่ชิ้น...
“บ้าไปแล้ว...” เจียงหลีแทบจะสิ้นสติไปเลยทีเดียว ‘เ้าพวกนี้บ้าไปแล้วหรือ นี่มันศาสตราวุธเชียวนะ ไม่ใช่หัวผักกาดที่ปลูกกันง่ายๆ นี่มันศาสตราวุธที่มีมนต์สะกดเทียนกังซึ่งเกิดจากการหลอมรวมของมนต์สะกดสามสิบหกสายเชียวนะ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เอาออกมาทีเดียวสี่ชิ้นเช่นนี้ คิดอะไรอยู่กันแน่?’
สี่ร้านหลอมอาวุธใหญ่ไม่ได้เข้าใจผิดเลยสักนิด…
เพราะครั้งนี้เพื่อจะกดข่มร้านหลอมอาวุธฟานซื่อแล้ว สี่ร้านใหญ่ถึงกับต้องเอาจริงขึ้นมา ส่วนเย่วซานเองก็ถึงขั้นทุ่มเหล็กเซียนเจิ้นยวนที่รักยิ่งชีพออกมาเลยทีเดียว แถมยังขอร้องให้ปรมาจารย์หวงที่เป็ยอดปรมาจารย์ด้านหลอมอาวุธอันดับหนึ่งของทะเลอูไห่ช่วยอีกด้วย จึงได้ปรากฏออกมาเป็กระบี่เจิ้นยวี่นี้นั่นเอง
เย่วซานลงทุนไปไม่น้อยเลย ในที่สุดเขาก็พอจะได้เปรียบขึ้นมาบ้างแล้ว แน่นอนว่าจะไม่ถือโอกาสนี้เยาะเย้ยอีกฝ่ายได้อย่างไร บัดนี้กระบี่เจิ้นยวี่กำลังเปล่งลำแสงมากมายอยู่กลางอากาศ มนต์สะกดเทียนกังที่เกิดจากการหลอมรวมของมนต์สะกดสามสิบหกสายกำลังปล่อยกระแสคมกริบออกมา...
ร่างอ้วนท้วมของเย่วซานเมื่ออยู่ภายใต้ลำแสงจากมนต์สะกดเทียนกังแล้วดูสง่าขึ้นมาก ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความมั่นใจ และบัดนี้กำลังมุ่งหน้ามาทางเจียงหลี
“สี่ร้านใหญ่นำอาวุธออกมาให้ยลโฉมกันแล้ว ร้านหลอมอาวุธฟานซื่อเล่า นำอะไรมางั้นหรือ อย่าบอกนะว่าไม่เห็นงานนี้อยู่ในสายตา เลยไม่ได้เตรียมมา?”
“ฮ่าๆ ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย...” เจียงหลีเค้นรอยยิ้มฝืดเคืองออกมา ทว่าในใจกลับกำลังแอบด่าอีกฝ่ายอยู่
‘บ้าจริง เ้าอ้วนนี่น่ารังเกียจจริงๆ ชนะก็ชนะไปสิ ไม่เห็นต้องมาบีบบังคับร้านข้าเลย ก็แค่แย่งกิจการเ้านิดหน่อยเท่านั้น ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ?’
ถ้าทำได้ละก็ เจียงหลีก็อยากจะมีศาสตราวุธสักชิ้นบ้างเหมือนกัน แบบนั้นจะได้เอามาตบปากอีกฝ่ายให้สาแก่ใจ...
แต่ปัญหาก็คือไม่มีน่ะสิ...
ตอนนี้มีเพียงกระบี่สองเล่มเท่านั้น เล่มหนึ่งคือกระบี่ที่ไม่มีมนต์สะกดแม้แต่สายเดียวที่อาจารย์อาทิ้งเอาไว้ ส่วนอีกเล่มก็คือกระบี่ที่อาจารย์ของตนเร่งหลอมออกมา ที่จริงก็ถือว่ามีคุณภาพไม่เลวเลย เพราะมีมนต์สะกดถึงสามสิบเอ็ดสาย นับว่าเป็อาวุธขั้นหยางฝูเลยทีเดียว หากเป็งานประลองในอดีต ก็พอจะมีสิทธิ์ชิงที่หนึ่งเลยก็ว่าได้...
แต่น่าเสียดายที่งานปีนี้กลับบ้าระห่ำเกินไปมาก แค่อาวุธหยางฝูก็มีสิบกว่าชิ้นได้ แถมสี่ร้านใหญ่ยังนำศาสตราวุธออกมาอีก ถือว่าเป็การแข่งดันดุเดือดกว่าครั้งไหนๆเลยทีเดียว หากตอนนี้นำกระบี่ที่มีมนต์สะกดสามสิบเอ็ดสายออกมา เกรงว่าจะเป็การยื่นหน้าให้เ้าอ้วนนี่ตบเสียมากกว่า
“ไม่ใช่ก็ดีแล้วเพราะงานประลองอาวุธถือเป็งานใหญ่ของร้านหลอมอาวุธทั้งเจ็ดสิบสามร้านของเมืองวั่งไห่ หากใครมันกล้าไม่เคารพกันละก็ ย่อมถือว่าผู้นั้นเป็ศัตรูของพวกเรา...” ขณะที่พูดใบหน้าอ้วนท้วมของเย่วซานก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“ใช่แล้วๆ...” เจียงหลีได้ยินเช่นนั้นก็รีบพยักหน้ารัวๆ ทว่าในใจกลับด่าบรรพบุรุษอีกฝ่ายไปถึงสิบแปดชั่วโคตรแล้ว
“เป็อย่างไรเล่าน้องเจียง ถือโอกาสนี้รีบนำอาวุธของที่ร้านออกมาให้ชมเป็บุญตาหน่อยสิ...”
“คือว่า...”
เจียงหลีกัดฟันกรอด ในใจก็คิดว่าไม่มีวิธีอื่นแล้ว ‘ลองดูสักตั้งแล้วกัน ถึงอย่างไรกระบี่ที่มีมนต์สะกดเพียงสามสิบเอ็ดเล่มของอาจารย์ หากนำออกมา ย่อมจะต้องแพ้เป็แน่ หากเป็อย่างนั้นก็เอากระบี่ที่ไม่มีมนต์สะกดสักสายของอาจารย์อาออกมาแล้วกัน แกล้งทำลึกลับเอาละกัน แบบนั้นอาจจะรอดก็ได้...’
คิดได้ดังนั้นเจียงหลีก็เค้นรอยยิ้มออกมาทันที
“ในเมื่อทุกคนอยากเห็น ข้าก็จะนำออกมา...”
พูดจบ เขาก็เอื้อมมือไปหยิบกระบี่ แต่จู่ๆก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เพราะกระบี่สีแดงที่อยู่ในฝัก บัดนี้กำลังเปล่งเสียงออกมา...
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------