่เวลานี้ในชาติก่อน ยามที่นางถูกเนรเทศนางโดนตามฆ่านับครั้งไม่ถ้วน เกือบตายอยู่หลายหน
ทว่าชาตินี้กลับพักผ่อนอย่างสบายในยามบ่ายร่วมร่ำสุรากับบุรุษสามคนที่โด่งดังที่สุดในเมืองชุ่นเทียน
ชาตินี้ โชคชะตาของนางได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ งั้นหรือ?
เช่นนั้น โชคชะตาของบุรุษทั้งสามคนตรงนี้เล่า?
เหนียนยวี่เหลือบตามองจ้าวอี้และจ้าวเยี่ยนจากนั้นเบนสายตามองฉู่ชิง ความลับที่มิมีผู้ใดล่วงรู้ในชาติก่อนของบุรุษผู้นี้ในชาตินี้จะยังคงจบลงที่โดนลอบสังหารเช่นครั้งนั้นหรือไม่?
เหนียนยวี่ครุ่นคิด เสียงฉินของจ้าวอี้หยุดลงเขาเดินไปทางด้านหลังของจ้าวเยี่ยน จ้องมองภาพทิวทัศน์บนภาพวาดนั้นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่นชม “ทิวทัศน์อันงดงามของเกาะใจกลางทะเลสาบแห่งนี้ทั้งหมดปรากฏอยู่ในภาพวาดของท่านพี่ น่าเสียดาย...เหมือนว่ามีบางอย่างขาดหายไป”
จ้าวอี้ครุ่นคิด ครั้นพูดจบเขาก็ก้าวเท้าเดินไปยังใต้ต้นหลิวมือดึงเหนียนยวี่ให้ลุกขึ้นก่อนจะลากนางไปทางจ้าวเยี่ยน “ยวี่เอ๋อร์ดูสิ เ้าคิดว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไปหรือไม่?”
สายตาของเหนียนยวี่จ้องมองภาพนั้น หลีอ๋องจ้าวเยี่ยนชำนาญฉินชำนาญหมากล้อมแลเขียนพู่กัน รวมถึงภาพเขียนทุกประเภท ในชาติก่อนนางได้รู้ว่าการวาดของเขา...
“สิ่งข้าถนัดที่สุดก็คือการวาดคน วาดสาวงาม วาดสนามรบสาวงามที่กล้าสู้รบสังหารศัตรู...”
คำพลอดรักของจ้าวเยี่ยนในชาติก่อนพลันดังก้องขึ้นในหัวของเหนียนยวี่ั์ตานางฉายแววซับซ้อน ราวกับมึนเมาจนมิอาจควบคุมอารมณ์บางอย่างได้เหนียนยวี่ฮึมฮัมแ่เบา "ขาดหายไป ขาดหายไปจริงๆ !"
ขาดหัวใจไปดวงหนึ่ง หัวใจที่จริงใจ!
จ้าวเยี่ยนได้ยินเข้าแน่นอนว่าเขาไม่มีทางรู้ว่าสิ่งเหนียนยวี่เอ่ยนั้น นางกำลังคิดอะไรอยู่เพราะเป็เช่นนั้น ใบหน้าหล่อเหลาจึงยังคงมีรอยยิ้มปรากฏฉายชัด
ผ่อนคลายชั่วประเดี๋ยวจ้าวอี้ก็ลากคนไม่กี่คนตรงนั้นกลับไปร่ำสุรากันอีกครั้ง จนกระทั่งพลบค่ำจ้าวอี้ก็เมามากจนเดินโซซัดโซเซ
“ยวี่เอ๋อร์ ข้าจะไปส่งเ้าเอง” คนทั้งสี่นั่งเรือออกจากเกาะกลางทะเลสาบ ยามที่ลงเรือ แขนของจ้าวอี้เกยอยู่บนไหล่ของเหนียนยวี่สภาพเมามายจนไม่ได้สตินั้นช่างแตกต่างกับบุรุษหล่อเหลาผู้นั้นในวันธรรมดาเป็อย่างมาก
“ไม่รบกวนมู่อ๋องแล้วเพคะ เหนียนยวี่จะกลับจวนเองเพคะ” จ้าวอี้ทำให้เหนียนยวี่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกชาติก่อนนางเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบค่ายทหาร ในค่ายทหาร สุราถูกเตรียมกันเป็ปกติความสามารถในการดื่มสุราของนางถูกฝึกฝนมาอย่างดี แม้จะดื่มเป็เวลาสามวันสามคืนนางก็รับมือได้
ทว่าร่างกายในยามนี้ยังไม่ค่อยชินกับสุรานัก นางในเวลานี้รู้สึกมึนเมาสะลึมสะลือบ้างเล็กน้อย
“อี้เอ๋อร์ ยวี่เอ๋อร์เ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะให้คนไปส่งนางเอง” จู่ๆ จ้าวเยี่ยนก็พูดขึ้น ในบรรดาคนไม่กี่คนตรงนั้นเขาดื่มน้อยที่สุด
เหนียนยวี่รู้ดีว่าบุรุษผู้นี้ไม่เชื่อใจใครทั้งนั้นเพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่ยอมให้ตนเองเมาจนไม่ได้สติเช่นจ้าวอี้
ทว่าเขาจะให้คนไปส่งนางหรือ?
จิตใต้สำนึกของเหนียนยวี่้าจะปฏิเสธ ทว่ายังไม่ทันเอ่ยฉู่ชิงก็เดินเข้ามา “ท่านอ๋องหลีดูแลท่านอ๋องมู่เถิดส่วนคุณหนูรองสกุลเหนียน...ข้าจะไปส่งให้เอง”
อาจเพราะควบคุมดูแลอำนาจยิ่งใหญ่มาตลอดน้ำเสียงนี้แม้อยู่ต่อหน้าองค์ชายทั้งสอง ก็ยังคงแข็งแกร่งองอาจแลสง่างาม
“ตกลง ให้จื๋อหร่านไปส่ง” จ้าวอี้ตบอกฉู่ชิงเบาๆ กล่าวเตือนอย่างมึนเมา“เ้าต้องไปส่งเปี่ยวเม่ยของข้าถึงจวนเหนียนอย่างปลอดภัยนะ”
ฉู่ชิงไม่ได้เอ่ยตอบ คนสองคนสบสายตากัน สุดท้ายจ้าวอี้ก็ผลักเหนียนยวี่ไปทางฉู่ชิง
ด้วยกำลังของจ้าวอี้นั้น เหนียนยวี่ที่ไม่ทันป้องกันจึงชนเข้ากับอ้อมอกของฉู่ชิง
ััเช่นนั้น จิตใต้สำนึกของเหนียนยวี่คิดอยากจะหนีออกไปทว่าฝ่ามือใหญ่ยังคงโอบไหล่นางเอาไว้ อุณหภูมิจากฝ่ามือนั้นทำให้อาการสะลึมสะลือมึนเมาของเหนียนยวี่สร่างลงไปมากกว่าครึ่ง
ฉู่ชิงจะไปส่งนางหรือ?
เหนียนยวี่อดไม่ได้ที่จะร่ำไห้ในใจการอยู่กับท่านแม่ทัพหลวงผู้นี้ยังน่ากลัวยิ่งกว่าการอยู่สองต่อสองกับหลีอ๋องร้อยเท่า
ทว่าตัวการที่ก่อหายนะนั้นกลับมึนเมาจนเผลอเรอออกมา เขากล่าวอย่างขำขันเล็กน้อยว่า“จื๋อหร่าน เ้าอย่ารังแกเสี่ยวยวี่เอ๋อของข้าเล่า”
ฉู่ชิงขานรับคำพูดนั้น แม้นจะเห็นสีหน้าอารมณ์ของเขาได้ไม่ชัดเจนนักทว่าแค่เสียงนั้นเพียงเสียงเดียวก็ฟังออกถึงความสุขได้อย่างคลุมเครือ
จ้าวอี้จึงหมุนตัวกลับอย่างวางใจ เดินโซซัดโซเซผละจากโชคดีที่จ้าวเยี่ยนคว้าเขาได้ทันท่วงทีและช่วยประคองเขาพาไปส่งที่ห้อง
“ไปกันเถิด คุณหนูรอง” ฉู่ชิงเหลือบมองเหนียนยวี่ น้ำเสียงนั้นฟังดูค่อนข้างอารมณ์ดีเป็อย่างมาก
เหนียนยวี่ส่งยิ้มให้ฉู่ชิงในใจคิดว่าจะปฏิเสธความเมตตาของท่านแม่ทัพได้อย่างไรทว่าฉู่ชิงราวกับจะรู้ทันความคิดของนาง
“ได้รับความไว้วางใจแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด นี่คือหลักการของข้าคุณหนูรองอย่าเปลืองสมองคิดปฏิเสธเลย”
ประโยคง่ายๆ ปิดกั้นหนทางของเหนียนยวี่ เหนียนยวี่สูดหายใจลึกและหยุดดิ้นรนอย่างไร้ความหมาย “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนท่านแม่ทัพแล้วเพคะ”
เหนียนยวี่ย่อเข่าคำนับฉู่ชิงด้วยท่าฝูเชิน เดินนำหน้าไปยังประตูจวนมู่อ๋อง
เหนียนยวี่ขึ้นรถม้า เดิมคิดว่าฉู่ชิงจะขี่ม้าทว่าคาดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่นางนั่งลง บุรุษผู้นั้นก็ตามเข้ามาด้วยเหนียนยวี่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ฉู่ชิงก็สั่งคนขับรถม้าออกเดินทางทันที
ภายในรถม้า ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน เหนียนยวี่มองอารมณ์สีหน้าภายใต้หน้ากากนั้นได้ไม่ชัดนักทว่าแววตานั้นกลับจ้องมองมาที่นางอย่างกระสับกระส่ายร้อนรนทำให้นางรู้สึกอึดอัดเมื่อได้เห็น
เหนียนยวี่แอบคาดเดาในใจ ไม่ใช่ว่าเป็เื่ที่นางเผลอทำลายความลับของเขานะ?
ฉู่ชิงผู้นี้ติดตามนางประหนึ่งเป็เงาจริงๆ หรือเขาคิดจะจับตามองนางเช่นนี้ไปชั่วชีวิตงั้นหรือ?
“ท่านแม่ทัพหลวง” หลังจากคิดเกี่ยวกับเื่นี้แล้ว นางก็หันไปสบตากับดวงตาสีนิลคู่นั้น“เหนียนยวี่ยังคงกล่าวเช่นเดิมว่า วันนั้นข้าไม่เห็นอะไรเลย การไม่ยุ่งกงการอะไรของชาวบ้านคือหลักการของข้าดังนั้นท่านแม่ทัพหลวงโปรดวางใจ ท่านไม่ต้องจ้องมองสตรีตัวเล็กๆ ธรรมดาๆอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้"
“ธรรมดาหรือ?” ฉู่ชิงหัวเราะเบาๆ“สำหรับเ้า คำว่าธรรมดา แม้สักนิดก็หาได้มีไม่พรุ่งนี้ก็จะได้เป็บุตรีบุญธรรมขององค์หญิงใหญ่ไม่รู้ว่าวันถัดไปจะกลายเป็ชายาของมู่อ๋องหรือไม่”
ชายาของมู่อ๋องหรือ?
“ท่านแม่ทัพหลวงกล่าวล้อเล่นแล้วเหนียนยวี่ไม่เคยกล้าคิดเช่นนั้น” เหนียนยวี่รู้สึกขำขันมากในใจนางยังอึดอัดกับท่าทีใกล้ชิดเช่นนั้นของจ้าวอี้อยู่บ้างทว่าเขาร้ายกาจตรงไปตรงมาเป็อย่างยิ่งไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งเขาไม่ให้ทำอะไรได้ แล้วนางจะหยุดมันได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น นางกลับรู้สึกว่า ความใกล้ชิดของจ้าวอี้ไม่ใช่การปฏิบัติต่อนางในฐานะสตรี
ฉู่ชิงจ้องมองเหนียนยวี่อย่างไม่ละสายตาราวกับว่ากำลังค้นหาอะไรบางอย่าง สักพักก็ถอนสายตากลับ
ในรถม้าเงียบไปชั่วขณะ จนกระทั่งรถม้าหยุดลงเหนียนยวี่ยื่นตัวออกไปนอกรถม้าได้ครึ่งตัว เสียงเบาๆ ของบุรุษด้านหลังก็เปล่งขึ้นมา...
“เื่ของราชวงศ์ หากเ้าก้าวเข้าไปพัวพันแล้วจะไม่มีทางถอยออกมาได้อีก คุณหนูรองเป็คนฉลาด ควรจะใช้ชีวิตอย่างไรควรคิดไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ”
เหนียนยวี่สะดุ้งเล็กน้อย
ที่เขาพูดก็ไม่ผิดนัก ราชวงศ์นั้นปั่นป่วนราววายุและเมฆา แม้นภายนอกจะดูสงบสุขทว่าแท้จริงแล้วกลับมีคลื่นใต้น้ำอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งนางเคยประสบสิ่งนี้มาก่อนในชาติที่แล้ว นางรู้จุดนี้ดีเป็อย่างยิ่ง
ทว่า...
ชีวิตจะเป็เช่นไรต่อ?
ชาตินี้หนทางที่นางเลือกเดินได้ถูกกำหนดไว้นานแล้ว จ้าวเยี่ยนเหนียนอีหลาน ตระกูลหนานกง นางและพวกเขา กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว หากข้าไม่ตายความแค้นก็ไม่มีวันเลิกราสิ้นสุด!
“ขอบคุณคำชี้แนะของท่านแม่ทัพเป็อย่างยิ่งเ้าค่ะเหนียนยวี่จะจดจำไว้” เหนียนยวี่เอ่ยกับบุรุษด้านหลังและก้าวเดินลงจากรถม้าทันที
ฉู่ชิงเปิดม่าน มองเงาร่างที่กำลังเดินเข้าจวนเหนียนั์ตาสีนิลราวบึงน้ำลึก ไม่ว่าผู้ใดล้วนดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไร...
ณ ลานเซียนหลาน
ครั้นยามบ่ายเหนียนยวี่ก็ยังไม่กลับมา เหนียนอีหลานรอจนหมดความอดทน
เข้าพลบค่ำจนยามนี้ ท้องฟ้าไรแสงอาทิตย์นานแล้วเหนียนยวี่ยังคงไม่กลับมา นางกับมู่อ๋องกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?
“คุณหนู นางผู้หญิงสารเลวนั่นวันนี้คงไม่ใช่ว่าจะค้างที่จวนมู่อ๋องหรอกนะเ้าคะ?” ฟางเหอบ่นพึมพำ “ท่านอ๋องมู่เพิ่งเข้า่วัยคึกคะนองพอดีไม่นานก็คงจะต้องรับชายาเข้าวังแล้วถ้าหากนางผู้หญิงแพศยานั่นใช้เสน่ห์หลอกล่อเพื่อดึงดูดท่านอ๋องล่ะก็ คงไม่พ้นวิธีการเปลี่ยนข้าวสารให้กลายเป็ข้าวสุก[1] นั่น...”
“หุบปาก!” เหนียนอีหลานตัดบทอย่างรุนแรงใช้หางตามองฟางเหออย่างดุร้าย "ข้าไม่มีวันยอมให้นาง ''เหนียนยวี่'' ได้มีชีวิตเป็มู่หวังเฟย!"
แม้นข้าวสารจะกลายเป็ข้าวสุก เหนียนอีหลานจะไม่ยอมให้ท่านอ๋องมู่แต่งงานกับเหนียนยวี่เด็ดขาด
“ใช่ ใช่ ใช่แล้วเ้าค่ะ นางผู้หญิงแพศยานั่นจะเป็มู่หวังเฟยได้เยี่ยงไรกล่าวได้เลยว่าพวกเราเมืองชุ่นเทียนมีเพียงแค่คุณหนูคนเดียวที่เหมาะสมกับมู่อ๋องเ้าค่ะ” ฟางเหอกล่าวคล้อยตามทันที เหลือบมองออกไปนอกประตู เอ่ยหยั่งเชิงว่า“จะให้บ่าวออกไปสืบให้หรือไม่เ้าคะ?”
“ไปเถิด” เหนียนอีหลานโบกมือ สูดหายใจลึก
สิ่งที่ฟางเหอพูดเมื่อกี้ แม้ว่านางจะไม่ชอบฟังนักทว่านางก็ต้องยอมรับว่าเหนียนยวี่ได้คุกคามนางอย่างใหญ่หลวงแล้ว
นางควรทำอย่างไร?
หากมู่อ๋องพอใจเหนียนยวี่เข้าแล้วจริงๆ จนขอพระราชทานพระราชโองการให้ได้สมรสกับนางด้วยความโปรดปรานของฝ่าาที่มีต่อมู่อ๋อง ไม่แน่ว่าฝ่าาอาจจะอนุญาต แม้นจะไม่สามารถเป็ชายาเอกได้ทว่าตำแหน่งชายารองก็อาจเป็ไปได้
เหนียนอีหลานขมวดคิ้ว กำผ้าเช็ดหน้าปักลายแน่นเมื่อนึกถึงใบหน้าของเหนียนยวี่ ความดุร้ายในใจก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น...
ฟางเหอออกไปได้ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ย้อนกลับมา ปิดประตูลง รีบเร่งเข้าไปรายงานเหนียนอีหลานเบาๆ “นางกลับมา กลับมาแล้วเ้าค่ะ บ่าวเพิ่งไปที่ประตูก็เห็นนางสารเลวตัวนั้นลงมาจากรถม้าเ้าค่ะ”
“มู่อ๋องมาส่งนางด้วยตัวเองงั้นหรือ?” เหนียนอีหลานลุกขึ้นทันที จ้องมองฟางเหอ หัวใจยังคงไม่คลายกังวล
ฟางเหอขมวดคิ้ว “บ่าวไม่เห็นสิ่งใดนอกจากนางสารเลวนั่นกำลังลงจากรถม้าทว่า...ใช่แล้วเ้าค่ะ บ่าวแอบเห็นมือหนึ่งเปิดม่านออกดูราวกับมือของบุรุษเลยเ้าค่ะ”
เชิงอรรถ
[1] ข้าวสารเป็ข้าวสุก หมายถึง เื่ราวดำเนินไปแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้