รอไปครึ่งวันจนแล้วจนเล่าจนตายแล้วเกิดใหม่เจาเยี่ยก็ยังไม่มาหาตัวเองกู้หลานอันวางแผนไว้ในใจว่าถ้าเจาเยี่ยปรากฏตัวมาเรียกตัวเองเมื่อไรจะชักสีหน้าให้เขา แต่พอเสียงกริ่งดังขึ้นเขากลับยิ้มร่าออกมา
“เจาเยี่ย นายมาแล้วเหรอ? เข้ามานั่งก่อนสิ”
“ไม่ดีกว่า ต้องไปกินข้าวแล้ว ไปกันเถอะ” เจาเยี่ยตอบ
“อืม” กู้หลานอันผงกหัว ก้าวไปยืนอยู่ข้าง ๆเจาเยี่ย รออยู่นานมากเจาเยี่ยก็ยังไม่ก้าวเท้าไปข้างหน้ากู้หลานอันมองเจาเยี่ยอย่างงุนงง แล้วเจาเยี่ยก็พูดสะกิดเขาว่า “นายยังไม่ได้ปิดประตู”
“อ้อ” กู้หลานอันเขินหน้าแดงรีบหมุนตัวกลับเห็นเจาเยี่ยหลุดรอยยิ้มที่น่าหลงใหลออกมา
ทั้งสามคนกินข้าวด้วยกัน เจาเยี่ยนั่งเก้าอี้อีกด้านคนเดียว ตอนที่กลับมาถึงมีเก้าอี้สองตัววางอยู่ใกล้กันหลินเซวียนนั่งลงที่เก้าอี้หนึ่งในนั้นเจาเยี่ยเห็นดังนั้นก็ดึงเก้าอี้ข้างหลินเซวียนอีกตัวออกมาแล้วพูดกับกู้หลานอันว่า “นั่งสิ”
“ได้” กู้หลานอันส่งสายตาอย่างภาคภูมิใจให้หลินเซวียนมองเจาเยี่ยที่กำลังตักข้าวอย่างตั้งใจด้วยรอยยิ้มแสนหวาน หลินเซวียนถมึงตามองเขาทั้งสามคนอยู่ในลักษณะนี้วนไปจนกระทั่งเริ่มกินข้าวกู้หลานอันกับหลินเซวียนถึงยอมถอนสายตาของทั้งสองออก
“เจาเยี่ย กินอันนี้สิ นี่เป็เมนูอาหารใหม่ของทางร้าน รสชาติดีมาก” ไม่ง่ายเลยที่บรรยากาศจะสงบลงมาได้ หลินเซวียนก็คีบอาหารใส่ชามให้เจาเยี่ยพลางคิดในใจ จะเริ่มทะเลาะกันอีกแล้ว เป็ไปดังคาด หลังจากนั้นเสี้ยววินาทีกู้หลานอันก็ใช้นิ้วคีบเนื้อลงไปในชามเขาแล้วบอกว่า “เจาเยี่ยกินอันนี้สิตอนเช้าที่เรากินข้าวด้วยกันฉันเห็นนายชอบกินเนื้อไม่ติดมันแบบนี้นี่”
“กินข้าวเช้า? พวกนายกินข้าวเช้าด้วยกันเหรอ? ” หลินเซวียนได้ยินก็ถามอย่างไม่พอใจ
“อื้อ ทำไม? ตอนนี้ก็อิจฉาแล้วเหรอ? ” กู้หลานอันเลิกคิ้วแล้วคีบเนื้อลงบนชามของเจาเยี่ยแล้วพูดว่า “แล้วหลังจากนี้จะทนไหวเหรอในเมื่อพวกเราเป็เพื่อนบ้านกันแล้ว หลังจากนี้คงต้องกินข้าวด้วยกันเป็ประจำ”
“นาย...” หลินเซวียนหาคำมาโต้แย้งไม่ได้ได้แต่จ้องเขม็งไปที่กู้หลานอันที่กำลังคีบผักลงในชามของเจาเยี่ยต่อทันใดนั้นทั้งสองก็ปะทะกัน ต่างคนต่างคีบให้เจาเยี่ยผ่านไปสักพักชามของเจาเยี่ยก็กองจนพูน จนเขาทนไม่ไหวกับการทะเลาะกันอย่างไร้สาระที่ดูจะไม่มีวันสิ้นสุดลงเลยจึงพูดขึ้นมาว่า “พวกนายพอกันได้แล้วถ้าไม่คิดจะกินข้าวก็กลับบ้านกันไปให้หมดเลย! ”
“ฉันผิดไปแล้ว ฉันจะกินแล้ว” กู้หลานอันได้ยินก็รีบคว้าชามข้าวขึ้นมากินอย่างว่าง่ายหลินเซวียนตวัดตาให้เขาทีหนึ่งแล้วก็กินข้าวตามอย่างสง่างามเจาเยี่ยมองดูชามข้าวกองเท่าูเาของตัวเองทันใดนั้นเขาก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี
กินข้าวเสร็จเรียบร้อย เจาเยี่ยก็ไปล้างจาน กู้หลานอันก็ตามไปช่วยเขาล้างจานอย่างเป็ปกติเขาดูอารมณ์คึกคัก เจาเยี่ยก็ไม่ได้ขัด ปล่อยให้เขาช่วยหลินเซวียนถึงแม้อยากจะตามไปช่วยด้วยแต่ว่าั้แ่เด็กจนโตมาเขาไม่เคยทำอะไรพวกนี้เลย จะให้เขาไปทำเขาก็ทำไม่เป็เคยลังเลอยู่หลายครั้ง สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไปนั่งในร้านอาหารแทน
“เจาเยี่ย” ขณะล้างจานจู่ ๆกู้หลานอันก็เรียกชื่อเขา
“หืม? ” เจาเยี่ยเอียงศีรษะก็เห็นกู้หลานอันใช้มือออกแรงดึงมุมปากตัวเองทำหน้าทะเล้นให้เขา “เป็อะไรอะ? ” เจาเยี่ยงุนงง
เมื่อเห็นเขาเป็แบบนั้น กู้หลานอันก็รู้สึกสลดเอามือลง ทำหน้าจริงจังแล้วพูดกับเขาว่า “เจาเยี่ยนายจะยิ้มให้ฉันบ้างได้ไหม ถึงจะแค่ยกมุมปากก็เถอะ”
“ไม่ได้” เจาเยี่ยหันศีรษะกลับมาล้างจานต่อแต่การเคลื่อนไหวกลับช้าลง
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? ฉันเห็นในละครที่นายแสดงนายก็ยิ้มนี่” อีกอย่างเมื่อชาติที่แล้วนายแค่เห็นฉันนายก็ยิ้มให้ฉันแล้วกู้หลานอันรู้สึกหมดหวังขึ้นมาทันใด
“พวกนั้นล้วนเป็การแสดง ถ้าหากนายอยากเห็น งั้นฉันจะแสดงให้นายดู” เจาเยี่ยพูดขณะวางจานที่เพิ่งล้างเสร็จไปทางกู้หลานอัน
“ไม่ต้อง” กู้หลานอันพูดอย่างหมดหวัง “ฉันไม่อยากเห็นนายต้องพยายามทำอะไรแบบนั้น ฉันรู้สึกเ็ปอีกอย่างฉันมั่นใจว่านายจะต้องยิ้มให้ฉันแน่”
เจาเยี่ยหยุดเคลื่อนไหวไปพักหนึ่ง แสร้งทำท่าทางเหมือนไม่ได้ยินกู้หลานอันมองเขาพลางถอนหายใจ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจาเยี่ยตอนนี้นายไม่อยากยิ้มให้ฉัน ก็ได้ งั้นฉันยิ้มให้นายดูก็แล้วกัน” พูดจบ ก็หยิบชามจากในน้ำแล้วเอาไปเก็บไว้ในตู้อย่างมีความสุขพอเดินกลับมาเท้าดันไปเหยียบขวดน้ำยาล้างจานที่หล่นอยู่บนพื้นทำให้ลื่นหงายหลังลงไปบนพื้นเขาเห็นเจาเยี่ยที่เขาเฝ้ามองอยู่ตลอดจากหางตามือไวตาไวรีบยื่นมือไปดึงเขาขึ้นมา แต่กลับกลายเป็ว่าเขาถูกดึงให้ล้มลงไปอีกคน
ได้ยินเสียงกระแทกดังออกมาจากในครัว หลินเซวียนรีบลุกขึ้นพอเข้าห้องก็เห็นเจาเยี่ยกำลังทับอยู่บนร่างของกู้หลานอันใบหน้าตกตะลึงจ้องกู้หลานอันที่เหมือนตกอยู่ในภวังค์อย่างสมบูรณ์แบบไปแล้ว
“กู้หลานอัน ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ นี่นายไอ้ลูกเต่ากำลังทำบ้าอะไรอยู่? ” เจาเยี่ยกับกู้หลานได้ยินเสียงของหลินเซวียนก็ได้สติกลับคืนมาเจาเยี่ยมองไปยังร่างที่อยู่เบื้องล่างที่ใกล้เขาจนสามารถมองเห็นผิวใสละเอียดขนปุยสีอ่อน ๆ บนใบหน้าของกู้หลานอันได้อย่างง่ายดายหัวใจเต้นแรง ขมวดคิ้วแล้วยันร่างลุกขึ้น กู้หลานอันเอียงศีรษะยิ้มบ้า ๆอยู่นานมากแล้วค่อยลุกขึ้นมา หลินเซวียนถือโอกาสเดินเข้าไปแทรกระหว่างเขาสองคน แล้วคว้าคอเสื้อกู้หลานอันไว้แน่นแล้วถามเขาว่า “กู้หลานอัน นายไอ้ลูกเต่ามียางอายบ้างรึเปล่า? เจาเยี่ยอุตส่าห์เชิญนายมากินข้าวด้วยความหวังดีนายยังกล้าฉวยโอกาสแบบนี้อีก”
“ใครฉวยโอกาสเหรอ? ฉันยังไม่ทันได้เริ่มทำอะไรเลยนายก็เข้ามาแล้ว? คำก็ลูกเต่า สองคำก็ลูกเต่า การศึกษาของนายป้อนให้หมากินไปหมดแล้วเหรอ? ” กู้หลานอันปัดมือเขาออกเอียงศีรษะมองเจาเยี่ยที่ดูอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก คิดว่าเขากำลังเข้าใจตัวเองผิดเลยรีบเดินไปตรงหน้าเขาแล้วอธิบายว่า “เจาเยี่ยนายอย่าเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฉกฉวยโอกาส ฉันไม่ได้อยากจูบนาย ก็ได้ฉันยอมรับว่าอยากจูบนาย แต่ว่าเมื่อครู่ฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นายอย่าโกรธเลยนะ”
“ฉันรู้ เมื่อครู่เป็อุบัติเหตุ ฉันไม่ได้โกรธ” เจาเยี่ยพูดอย่างอบอุ่น
อาศัย่ที่กู้หลานอันคิดว่าเขาไม่ได้โกรธจริง ๆ แล้วพูดว่า “นายกลับไปเถอะ เดี๋ยวฉันล้างจานเอง”
ไม่ได้โกรธ แต่ไล่ให้ฉันกลับไป? กู้หลานอันรู้สึกคับอกคับใจกัดปากอย่างน่าเอ็นดูแล้วพูดว่า “ฉันล้างจานเสร็จค่อยกลับได้ไหม? ”
“ไม่ต้องหรอก นายรีบกลับไปเถอะ” เจาเยี่ยพูดอยู่ด้านหลังกู้หลานอันที่เสื้อและกางเกงเปียกปอน
“อืม” กู้หลานอันตอบรับแต่ร่างกายไม่ขยับเจาเยี่ยมองกู้หลานอันที่ท่าทางอึดอัดคับข้องใจเหมือนเด็กที่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้รับการให้อภัย ได้แต่กะพริบตาอย่างงุนงงเห็นได้ชัดว่าเจาเยี่ยเป็ห่วงกู้หลานอัน แต่ทำไมกู้หลานอันกลับดูเหมือนไม่สบายใจอย่างนั้น
“เจาเยี่ยก็บอกให้นายกลับไปได้แล้วนายไม่ได้ยินหรือไง” เห็นกู้หลานอันไม่ขยับสักที หลินเซวียนก็นั่งไม่ติด “กู้หลานอันนายรู้ไหมว่าท่าทางไร้ยางอายของนายแบบนี้จะทำให้เจาเยี่ยรำคาญแค่ไหน? ”
“รำคาญ? ” กู้หลานอันตกตะลึงเงยหน้าขึ้นมองหน้าเจาเยี่ยที่ไร้ซึ่งความปิติ เม้มปากแน่นแล้วหมุนตัวกลับ ผ่านหลินเซวียน เขาก็หยุดยิ้มอย่างชั่วร้ายให้หลินเซวียนแววตาที่ยังตกอยู่ในภวังค์เมื่อครู่กลอกตาให้เขาครั้งหนึ่งแล้วกระทืบเท้าเขาแรง ๆ
“กู้หลานอันนายประสาทรึไง! ” หลินเซวียนที่โดนจู่โจมกะทันหันส่งเสียงร้องอย่างเ็ปเปิดปากมาก็เริ่มด่า เจาเยี่ยสายหัวหมุนตัวกลับไปล้างจานต่อ พูดเบา ๆ ว่า “เขาก็เป็แค่เด็กคนหนึ่ง ทำอะไรก็ยังไม่ประสีประสานายที่เป็ผู้ใหญ่ก็อย่าไปถือสาเขาเลย”
“อย่าไปถือสา” หลินเซวียนสะกดอารมณ์โกรธแล้วลุกขึ้น “แต่ว่าเมื่อกี้เขาจูบนาย”
“นั่นเป็เื่นอกเหนือความคาดหมาย ถ้าจะบอกว่าจูบ ก็เป็ฉันเองที่จูบเขานายอย่าเอาแต่โทษเขาทุกเื่สิ”