อันที่จริงต่อให้เซี่ยเจิงไม่พูดขึ้นมา ชวีเสี่ยวปอก็ไม่อาจที่จะลืมเื่นี้ไปได้เช่นกัน แต่ทว่าความรู้สึกของการที่เอามันกลับขึ้นมาพูดอีกครั้งช่างทำให้เขาตั้งตัวรับมือไม่ทันเสียจริงๆ เพราะสิ่งนี้สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงคำพูดที่ว่า “ช่างมันเถอะ” “ผ่านไปแล้ว” อะไรทำนองนี้ ล้วนแล้วแต่เป็เพียงคำปลอบใจที่เขาบอกกับตัวเองเท่านั้น
และคำที่นำมาใช้ปลอบใจเหล่านี้ก็มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า การหลีกหนี อย่างไม่มีข้อยกเว้นใดใด
ซึ่งในความเป็จริงแล้ว การหลีกหนีนั้นไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไรเลย
ในขณะนั้นเซี่ยเจิงจ้องมองชวีเสี่ยวปอด้วยสายที่แน่วแน่ สายตาที่ไม่มีใครสามารถหลบเลี่ยงไปได้เลย อีกทั้งท่าทีที่ตรงไปตรงมาของเซี่ยเจิง จึงทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าเขาดูตัวเล็กลงอย่างบอกไม่ถูก
“ฉันไม่รู้” ชวีเสี่ยวปอทำได้เพียงแค่เกาศีรษะไปมาอย่างรู้สึกกลัดกลุ้ม เขารู้ว่าสิ่งนี้มันดูไม่น่าเชื่อสักเท่าไหร่ แต่ในความเป็จริงแล้ว ในตอนนั้นสิ่งแวดล้อมรอบข้าง บรรยากาศเช่นนั้น รวมไปถึงเซี่ยเจิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา ทำให้ชวีเสี่ยวปอคิดอย่างใจกล้าขึ้นมากับเขาอยู่เพียงแค่เื่เดียว
จูบเขา !
“น่ารำคาญสุดๆ ” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกเสียใจจนอยากจะเอาศีรษะชนเข้ากับกำแพง เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจที่จูบเซี่ยเจิง แต่เขารู้สึกเสียใจกับท่าทีตอบสนองที่เกิดขึ้นเชื่อมโยงกันทั้งหมดนี้ ซึ่งมันทำเขาคิดไม่ตกสักที
“ตอบแค่ไม่รู้ก็จบแล้วเหรอ? ” เซี่ยเจิงลุกขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้าของชวีเสี่ยวปอ คนหนึ่งยืนส่วนอีกคนหนึ่งนั่ง ในตอนนั้นจึงทำให้เซี่ยเจิงรู้สึกเหมือนกับว่าต้องมองจากที่สูงลงไปด้านล่าง ส่วนน้ำเสียงของเขาก็แน่นอนว่าไม่ค่อยพอใจกับคำตอบสักเท่าไหร่
“ให้ตายสิ ไม่งั้นล่ะ? ! ” ความรู้สึกกดดันเช่นนี้ทำให้ชวีเสี่ยวปอจำต้องหันกลับมาแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองเซี่ยเจิงเล็กน้อย “ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าทำไม อยากจูบก็จูบละมั้ง”
เซี่ยเจิงไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแต่สายตาของเขาเปลี่ยนไปจนทำให้เดาใจเขาได้ยากมากยิ่งขึ้น ในขณะนั้นเองในหัวของชวีเสี่ยวปอก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีแวบขึ้นมา เขาจึงพูดโพล่งอย่างไม่คิดออกไปว่า : “นายคงจะไม่ได้รู้สึกว่าฉันเหมือนโจวเจ๋อหยวนใช่ไหม? ”
เซี่ยเจิงขมวดคิ้ว : “หุบปากเดี๋ยวนี้”
ชวีเสี่ยวปอไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดนี้ ในใจจึงคิดขึ้นมาว่าเขาจะไม่ยอมให้เซี่ยเจิงจัดกลุ่มให้เขาอยู่ประเภทเดียวกับไอ้โรคจิตโจวเจ๋อหยวนเป็อันขาด จากนั้นเขาจึงะโออกมาเสียงดังว่า : “ไม่ใช่นะ! เซี่ยเจิง นายต้องฟังฉันอธิบายก่อนนะ...”
ชวีเสี่ยวปอเห็นเซี่ยเจิงยกมุมปากขึ้น ส่วนเขาเองก็ถึงขนาดที่ว่าหัวใจเต้นเร็วเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งจังหวะ เพียงเพราะได้เห็นรอยยิ้มอันแสนหวานของเซี่ยเจิง
แต่ทันใดนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ เื่ที่จะทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงยิ่งขึ้นไปกว่านี้กำลังจะเกิดตามมา
การจูบในครั้งนี้แตกต่างกับไก่จิกข้าวสารของชวีเสี่ยวปอในครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง เพราะครั้งนี้มันช่างดุดัน ดุดันและหนักแน่นราวกับช้อนตักกับข้าวของคุณป้าในโรงอาหารที่ไม่มีอาการสั่นเลยแม้แต่น้อย ส่วนน้ำหนักก็ให้แบบอัดมาจนแน่นไม่แพ้กัน
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าการบรรยายของเขาดูไม่ค่อยจะเหมาะสมสักเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตามในตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่เขาควรจะมาคิดถึงเื่เหล่านี้เลยสักนิด
ถึงแม้ว่าเขาทั้งคู่จะไม่ได้มีประสบการณ์ในการจูบมาก่อน แต่เซี่ยเจิงก็สามารถสอดลิ้นของเขาเข้าไปเปิดโพรงปากของชวีเสี่ยวปอได้อย่างง่ายดาย หลังจาก่เวลาสั้นๆ ที่สมองขาวโพลนไปประมาณสองวินาที ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอจึงรู้สึกขึ้นมาว่ามีบางอย่างสอดกวาดไปทั่วทั้งริมฝีปากและฟันของเขา ในตอนนั้นเขาจึงรีบจูบตอบกลับไปทันทีอย่างไม่รีรอ
ทันทีที่มือของเซี่ยเจิงจับไหล่ของเขาแน่นขึ้นจนชวีเสี่ยวปอรู้สึกเจ็บ เขาก็ใช้แรงตีลงไปบนก้นของเซี่ยเจิงอย่างไม่ยอมเสียเปรียบ
จากนั้นตัวของเซี่ยเจิงก็สั่นขึ้นมาอย่างแรง น่าจะกำลังหัวเราะอยู่
หัวเราะบ้าอะไร
ตั้งใจจูบหน่อยสิ !
เวียนหัว
เวียนหัวมาก
ชวีเสี่ยวปอนอนลงบนเตียงพร้อมทั้งมองไปยังเซี่ยเจิงที่หน้าอกขยับขึ้นลงอย่างรุนแรงเหมือนกับตัวเอง หลังจากที่ดูให้แน่ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ได้สงบลงเหมือนกัน จึงทำให้เขารู้สึกโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ก็ยังคงตื่นเต้น
ใช่แล้ว ในตอนนั้นชวีเสี่ยวปอลองหลับตาลงอยู่หลายครั้ง พยายามใช้วิธีนี้เพื่อให้เขาได้ััถึงความรู้สึกที่ไปไกลกว่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ผล
ความรู้สึกเวียนศีรษะเช่นนี้แตกต่างจากการเวียนศีรษะตาลายอื่นๆ โดยสิ้นเชิง แต่เป็การเวียนศีรษะที่ประสาทััทั้งหมดของเขาไม่ได้ช้าลง แต่กลับไวขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะเปลี่ยนมาใช้วิธีใหม่ดีหรือเปล่า ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเซี่ยเจิงที่อยู่ด้านข้างทำเสียง “ซี๊ด” ออกมาเบาๆ
“เป็อะไรไป? ” ชวีเสี่ยวปอถามออกไปเสียงเบา
“เหมือนว่าจะแตกแล้ว” เซี่ยเจิงยกมือขึ้นมาเช็ดริมฝีปาก เพราะตอนนี้ในปากของเขาคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเื
ชวีเสี่ยวปอเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟตั้งโต๊ะทันที ทันใดนั้นแสงสีเหลืองอันอบอุ่นก็ห้อมล้อมเขาทั้งสองคนเอาไว้อย่างอ่อนโยน เขามองไปยังริมฝีปากของเซี่ยเจิงอย่างละเอียด ถึงแม้ว่าจะดูไม่ออก แต่ท่าทางของเซี่ยเจิงก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้แกล้งทำเลยสักนิด
“เจ็บไหม? ” ชวีเสี่ยวปอถาม
“ก็นายกัดนี่ คิดว่าเจ็บไหมล่ะ” เซี่ยเจิงทำเสียงจิ๊ปากพร้อมทั้งตอบกลับไป : “ทำไมถึงรีบจูบขนาดนี้ล่ะ เขี้ยวนายนี่งับลงมาแรงใช้ได้เลยนะเนี่ย”
“เงียบปากไปเลยนะ !” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าที่จริงแล้วหน้าของเขาก็หนาพอสมควรอยู่เหมือนกัน แต่พอเซี่ยเจิงพูดขึ้นเขากลับหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ในตอนนั้นเขาจึงหยิบหมอนขึ้นมาโยนใส่เซี่ยเจิงไป
“นี่” เซี่ยเจิงเอียงศีรษะหลบ พร้อมทั้งรับหมอนมากอดเอาไว้ จากนั้นเขาจึงอมยิ้มพลางมองไปยังชวีเสี่ยวปอ
ชวีเสี่ยวปอก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรออกมา ราวกับว่ากำลังใช้สายตาสื่อสารกันอยู่อย่างไรอย่างนั้นเลย เขาทั้งคู่จ้องกันไปมาเช่นนี้อยู่พักใหญ่ แต่แล้วชวีเสี่ยวปอก็ถอนหายใจออกมา
“เซี่ยเจิง ฉันจะเอาไปคิดดู”
เซี่ยเจิงตอบรับออกไปเสียงแ่เบา ทั้งยังตั้งใจรอฟังชวีเสี่ยวปอพูดประโยคต่อไปออกมา
“คิดให้เข้าใจแจ่มแจ้งเลยว่าทำไมถึงได้ไปจูบนาย” ชวีเสี่ยวปอลูบหว่างคิ้วไปทีหนึ่ง ผลจากการจูบนี่ช่างรุนแรงเสียจริง ราวกับว่าเขาดื่มเหล้าจนเมาอย่างไรอย่างนั้นเลย ในตอนนี้หัวสมองของเขาบวมไปหมด ถ้าหากไม่ได้ชะลอให้ช้าลงสักหน่อย เขาก็คงจะรู้สึกว่าตัวเองพูดได้ไม่คล่องปากเลยสักนิด “นายให้เวลาฉันได้ใช่ไหม? อาจจะนานสักหน่อย หรือไม่ก็อาจจะเป็วันพรุ่งนี้เลยก็ได้ ฉันจะหาคำตอบมาตอบนายให้ได้อย่างแน่นอน แต่ว่าฉันแค่้าเวลาสักหน่อย...”
“ได้อยู่แล้ว” เซี่ยเจิงพูดแทรกขึ้นมา “ฉันรอได้”
“ตกลง” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกราวกับว่าได้ยกูเาออกจากอกแล้ว นี่แหละเซี่ยเจิง ผู้ที่ไม่เคยทำให้คนอื่นไม่สบายใจเลยสักนิด ทั้งยังละเอียดอ่อนเอาใจใส่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ทั้งสองคนนอนลงบนเตียงอีกครั้ง ในขณะนั้นเองชวีเสี่ยวปอก็ได้ยินเสียงท้องของเขาร้องขึ้นมาจ๊อกๆ อย่างไม่ได้มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย ในใจเขาจึงคิดขึ้นมาว่าแค่จูบกันนี่ใช้พลังงานเยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? ร่างกายของเขาทำงานหนักเกินไปหน่อยหรือเปล่า แต่แล้วเซี่ยเจิงก็พูดนำเขาออกมาก่อน : “หิวแล้วเหรอ? อยากกินอะไร? ”
“ตอนกลางวันฉันก็กินไปเยอะอยู่นะ” ชวีเสี่ยวปอไม่กล้าที่จะพูดตามความคิดจริงๆ ของตัวเอง เขาจึงทำเพียงแค่ลูบไปที่หน้าท้องอย่างเก้อเขิน “ที่บ้านมีอะไรเหลือบ้างอะ”
“ตอนกลางวันไม่ได้ทำกับข้าว เลยไม่มีอะไรเหลือเลย” เซี่ยเจิงพูด “หรือว่าไปเดินตลาด ซื้อของที่นายอยากกินไหม? ”
“คุณป้าไม่กลับมากินที่บ้านด้วยเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอลุกขึ้นมานั่ง พร้อมทั้งใส่รองเท้า
“ถ้าจนป่านนี้แล้วยังไม่กลับ” เซี่ยเจิงกวาดตามมองไปยังนาฬิกาที่แขวนอยู่บนกำแพงครั้งหนึ่ง พลางใส่รองเท้าไปด้วย “ก็น่าจะกินที่บ้านป้าหลี่แล้วนะ พอกินเสร็จพวกเขาสองคนก็จะไปเต้นกันที่ลานกว้าง ชีวิตดูมีสีสันไม่น้อยเลยละ”
เวลาผ่านไปเพียงไม่นานเขาทั้งคู่ก็มาถึงยังตลาดเล็กๆ แห่งหนึ่ง วันหยุดสุดสัปดาห์คนค่อนข้างที่จะเยอะพอสมควร พวกเขาทั้งชมความครึกครื้นทั้งยังซื้อของไปด้วย ในขณะที่เดินเล่นอยู่เขาก็ซื้อเนื้อแกะมานิดหน่อย ทั้งยังเนื้อติดกระดูกอ่อนเสียบไม้กึ่งสำเร็จรูปมาด้วย
“อันนี้ทำเสร็จเร็ว ใส่กระทะลงไปทอดแป๊บเดียวก็กินได้แล้ว” เซี่ยเจิงยื่นเงินไป พร้อมทั้งหยิบถุงพลาสติกมาจากมือของเถ้าแก่
“ได้เลย แล้วเนื้อแกะล่ะ” ชวีเสี่ยวปอถาม
“ผัดต้นหอมหรือว่าผัดใบยี่หร่าดี นายเลือกเลย” เซี่ยเจิงพูด
“ผัดใบยี่หร่า ต้องใบยี่หร่าเท่านั้น” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะออกมา จู่ๆ เขาก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา ไม่รู้ว่าเป็เพราะอะไรเหมือนกัน แต่ความรู้สึกในการพูดคุยกันพร้อมทั้งซื้อกับข้าวไปด้วย จากนั้นพอกลับมาบ้านก็มีเซี่ยเจิงทำกับข้าวให้ทานมันช่างเป็อะไรที่ดีมากจริงๆ