ฝีเท้าของไป๋เซี่ยเหอชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเบี่ยงกายหลบ
มือที่ยื่นมาจึงคว้าอากาศแทนที่จะเป็ร่างของนาง
ไป๋เซี่ยเหอหมุนกายกลับไปมอง นางกล่าวกับฮั่วิเชินโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ไท่จื่อ โปรดสำรวมด้วย”
“สำรวม? เหตุใดเปิ่นไท่จื่อต้องสำรวมด้วย?เกรงว่าเ้าจะลืมไปแล้วว่าเ้าเป็ว่าที่ไท่จื่อเฟยของเปิ่นไท่จื่อมาสิบสองปีเต็ม”
ฮั่วิเชินเดินเข้ามาใกล้ไป๋เซี่ยเหอทีละก้าว ทว่านางไม่ขยับเขยื้อน ราวกับมองไม่เห็นความหนาวเย็นที่ดูเหมือนจะสูบิญญาของชายหนุ่มตรงหน้า
นางสบตาอีกฝ่าย แววตาคู่งามที่เฉลียวฉลาดดูเยือกเย็นและไร้อุณหภูมิ
“แล้วอย่างไร? ข้าสามารถใช้ชีวิตอีกสิบสองปีต่อจากนี้ได้ ทว่ามันไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับท่านแม้แต่น้อย!”
แววตาอันสุกใสของไป๋เซี่ยเหอซ่อนความแข็งกร้าวเอาไว้
“ขอเพียงเ้า้า เื่นี้ย่อมเกี่ยวข้องกับข้า”
ฮั่วิเชินมองตรงมาที่นาง น้ำเสียงร้อนใจราวกับถูกมารสิง
“ขอเพียงเ้าเต็มใจ เ้าย่อมสามารถแต่งเข้าตำหนักไท่จื่อของข้าได้ ข้าจะแต่งตั้งให้เ้าเป็เช่อเฟย”
เมื่อเห็นว่าริมฝีปากแดงของไป๋เซี่ยเหอโค้งขึ้นเล็กน้อย เขาก็ตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเชิดศีรษะขึ้นสูงทันที
“ไม่สิ กระทั่งตำแหน่งไท่จื่อเฟย ข้าก็ให้เ้าได้ ขอเพียงเ้าอยู่ข้างกายของข้าและทำตัวเชื่อฟังราวกับแมว เพราะข้าชอบสตรีที่เชื่อฟังและว่านอนสอนง่าย”
ไม่รู้ว่าเขาเห็นเศษสวะอย่างไป๋หว่านหนิงเป็ของล้ำค่าได้อย่างไร?
เห็นได้ชัดว่าสตรีตรงหน้าที่มีท่าทีสงบนิ่ง ทั้งยังเป็วรยุทธ์และมีวิชาแพทย์ต่างหากที่คู่ควรจะเป็ไท่จื่อเฟยของเขาอย่างแท้จริง
ไป๋เซี่ยเหอตวัดสายตามองเขา “ท่านมั่นใจในตนเองเพียงนี้เชียวหรือ?”
“แน่นอน”
ใบหน้าของฮั่วิเชินเ็า เขามองซ้ายแลขวาก่อนจะกล่าวเสียงเบา
“ไม่มีสตรีปกตินางใดแต่งให้เสด็จอาหรอก เขาไม่เหมือนที่เ้าเข้าใจและมองเห็นหรอกนะ ฮ่าๆๆ”
ดวงตาของฮั่วิเชินเต็มไปด้วยความดูแคลน
ท่าทีของเขาดูไม่เหมือนกำลังหลอกลวงนางอยู่ นางเริ่มสงสัยว่า ‘ไม่เหมือน’ ที่เขาว่านั้นหมายความอย่างไรกันแน่?
“เป็อย่างไร? คิดดีแล้วหรือยัง?”
“รางวัลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เป็สิ่งที่ถึงเ้าจะอธิษฐานก็ใช่ว่าจะได้มา หากเ้าไม่ใช่คนโง่...”
“ข้าย่อมไม่ใช่คนโง่” ไป๋เซี่ยเหอพูดแทรก
เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจของอีกฝ่าย ริมฝีปากแดงก็เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ท่านต่างหากที่โง่”
ความเย่อหยิ่งลำพองใจบนใบหน้าของฮั่วิเชินหายไปทันที “บังอาจ! ไป๋เซี่ยเหอ เ้ารู้หรือไม่ว่าเ้ากำลังพูดอยู่กับผู้ใด?”
“บังอาจ! ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านกำลังพูดอยู่กับผู้ใด?”
แววตาของไป๋เซี่ยเหอแปรเปลี่ยนเป็เย็นเยียบทันที
“ผู้ใด?”
“อาสะใภ้ของท่านอย่างไรเล่า!”
ริมฝีปากบางที่มีสีแดงดุจโลหินพ่นประโยคนี้ออกมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“เ้า!”
ฮั่วิเชินสำลักทันที ใบหน้าเปลี่ยนเป็สีตับหมู โทสะพุ่งสูงจนยากจะควบคุม
“ไป๋เซี่ยเหอ ข้ามอบเกียรติยศให้แล้วเ้ายังไม่เอา การที่ข้าชอบเ้าถือเป็โชคอันยิ่งใหญ่ของเ้าแล้ว”
หากไม่ใช่เพราะฮั่วเยี่ยนไหวสอดมือเข้ามายุ่ง ไป๋เซี่ยเหอคงกลายเป็วัตถุชิ้นหนึ่งในกระเป๋าของเขาไปนานแล้ว
เขามอบของล้ำค่าให้นาง นางกล้าปฏิเสธได้อย่างไร? อาศัยอะไรถึงได้ปฏิเสธ?
ดวงตาของฮั่วิเชินแดงก่ำราวกับธาตุไฟเข้าแทรก เขาพุ่งตัวเข้าไปบีบคอไป๋เซี่ยเหออย่างโเี้ทันที
ในสมองของเขามีเพียงประโยคเดียวเท่านั้น
นั่นคือ เมื่อไม่ได้มาก็ต้องทำลาย
ฝ่ามือใหญ่ที่แข็งแกร่งและทรงพลังก็บีบคอไป๋เซี่ยเหออย่างแรง ทว่าเท่านี้ยังไม่พอ จู่ๆ เขาก็โน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อที่จะประทับริมฝีปากของตนเองลงบนริมฝีปากของหญิงสาวตรงหน้า ท่าทีของเขาราวกับถูกมารสิง
“ไป๋เซี่ยเหอ หากเ้าไม่ยอมเป็สัตว์เลี้ยงที่เชื่อฟังของข้า ก็ตายเสียเถิด”
ทันทีที่ฮั่วิเชินกล่าวจบ
จู่ๆ มือที่บีบคอของไป๋เซี่ยเหอไว้ก็หายไป
“ท่านยังคงสารเลวเช่นเคย น่าเสียดายที่ข้าไม่ตาบอดอีกต่อไป”
บุรุษตรงหน้าถลึงตามองนาง ก่อนจะล้มหงายหลังทันที ท้ายทอยของเขามีรอยเืแผ่ขยาย
ไป๋เซี่ยเหอนั่งยองๆ ก่อนจะเช็ดคราบเืที่ปิ่นปักผมกับเสื้อผ้าของฮั่วิเชิน
ริมฝีปากแดงของนางยกขึ้นเป็รอยยิ้มที่ดูกระหายเื “ไม่มีผู้ใดที่ทำร้ายข้าแล้วยังอยู่ดีได้!”
“อา...ฆ่าคนแล้ว!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นด้านหลังของไป๋เซี่ยเหอ
โดยปกติแล้วบริเวณนี้ไม่ค่อยมีผู้ใดผ่านไปมา ทว่าวันนี้ดันดวงไม่ดีเสียนี่
เมื่อนางกำนัลตัวน้อยเห็นไป๋เซี่ยเหอหันหน้ามาจ้องมองตนเอง ก็ใจนขาสั่น
แม้แต่ไท่จื่อยังกล้าลอบปลงพระชนม์ การสังหารนางกำนัลอย่างนางคงง่ายดายราวกับบี้มดไม่ใช่หรือ?
“ผู้ใดฆ่าคน?”
นางกำนัลตัวน้อยหันไปมองบุรุษที่ปรากฏกายอย่างกะทันหัน ราวกับเห็นฟางช่วยชีวิต
นางชี้ไปทางไป๋เซี่ยเหอด้วยสีหน้าหวาดผวา “บ่าวเห็นแม่นางผู้นี้ลอบปลงพระชนม์ไท่จื่อ ท่านอ๋องทรงรีบเรียกคนมาจับมือสังหารผู้นี้นะเพคะ”
ฮั่วเยี่ยนไหวพยักหน้าอย่างครุ่นคิด จากนั้นก็ชำเลืองมองฮั่วิเชินที่นอนอยู่บนพื้น
“เ้าแน่ใจหรือว่าไท่จื่อตายแล้ว?”
ฮั่วิเชินนอนสลบไสลอยู่บนพื้น แม้ว่าท้ายทอยจะมีคราบเืวงใหญ่ ดูแล้วน่ากลัว ทว่าหน้าอกยังคงกระเพื่อม เห็นได้ชัดว่ายังคงมีลมหายใจอยู่
“ไม่...ไม่ตายเพคะ”
นางกำนัลตัวน้อยเริ่มงุนงง
“เช่นนั้นเมื่อครู่เ้าบอกเปิ่นหวังว่าอะไร?”
“มีคนลอบปลงพระชนม์ไท่จื่อเพคะ...”
“แล้วไท่จื่อตายหรือยัง?”
“ลอบ...ลอบปลงพระชนม์ไม่สำเร็จเพคะ”
นางกำนัลตัวน้อยใจนแทบส่งเสียงร้องไห้ออกมา หากผู้อื่นรู้ว่านางได้พูดคุยกับเซ่อเจิ้งอ๋องหลายประโยคเช่นนี้ ไม่แน่ว่าคงตื่นเต้นจนสลบไป
“มีเหตุการณ์เช่นนี้ด้วยหรือ? เปิ่นหวังไม่เห็นเลย”
“…”
หลังจากมองฮั่วเยี่ยนไหวกับไป๋เซี่ยเหอไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
สีหน้าของนางกำนัลตัวน้อยก็ยิ่งซีดเซียวลงเรื่อยๆ
จากนั้นนางก็ฉีกยิ้มที่ดูอัปลักษณ์เป็อย่างยิ่ง ก่อนจะรีบหลับตาลงและส่ายหน้า “บ่าวเองก็ไม่เห็นเพคะ”
ฮั่วเยี่ยนไหวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ มีอนาคตสอนได้
“เ้าไปได้แล้ว”
หลังจากนั้นบริเวณนี้ก็เหลือเพียงเขา ไป๋เซี่ยเหอ และฮั่วิเชินที่นอนสลบไสลอยู่บนพื้น
ฮั่วเยี่ยนไหวยื่นมือไปหาไป๋เซี่ยเหอ น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับสายน้ำในลำธาร “ไปเถิด กลับบ้านกัน”
ประโยคนี้มอบความอบอุ่นให้กับหัวใจของไป๋เซี่ยเหอ
ไป๋เซี่ยเหอเสียบปิ่นปักผมลงบนศีรษะอย่างลวกๆ จากนั้นนางก็สอดมือเล็กเข้าไปในฝ่ามือของบุรุษ แล้วคลี่ยิ้มอย่างสบายใจ
“ท่านไม่ถามหน่อยหรือ?”
ฮั่วเยี่ยนไหวยกมือขึ้นลูบเส้นผมของนาง ก่อนดึงปิ่นปักผมที่ถูกปักอย่างลวกๆ ออกมาเสียบให้นางอย่างพิถีพิถันอีกครา
แววตาเ็าที่เยือกเย็นมานานปีสบกับแววตาที่เฉลียวฉลาดและเ้าเล่ห์ของเด็กสาว ฮั่วเยี่ยนไหวพลันยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ข้าเชื่อเ้า”
ความพึงพอใจที่อธิบายไม่ได้ผุดขึ้นในใจของไป๋เซี่ยเหอ
นางเขย่งปลายเท้าขึ้น ใช้สองมือโอบรอบคอของบุรุษแล้วออกแรงดึงร่างเขาเข้าหานางเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้าประทับริมฝีปากเล็กราวกับติงเซียง[1]ของตนเองลงไป
ก่อนจะขบเม้มเล็กน้อยราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำ
“ฮั่วเยี่ยนไหว ข้าดีใจมากจริงๆ!”
ความรู้สึกของการที่ถูกคนเชื่อใจและได้รับความลำเอียงอย่างเต็มที่เช่นนี้นับว่าดีมากจริงๆ
ดีอย่างไม่เคยเป็มาก่อน
เมื่อเห็นสตรีที่รูปโฉมงดงามตรงหน้ายิ้มแย้มราวกับดอกไม้ ฮั่วเยี่ยนไหวพลันกลืนน้ำลายเล็กน้อย มือกำแน่น แววตาเ็าอันมืดมนและลึกล้ำมีความปรารถนาอย่างเข้มข้นอยู่ในนั้น
รอก่อน...
ขอเพียงรออีกสักหน่อย...
เขาก็จะแต่งนางเป็ภรรยาได้แล้ว
เมื่ออิ๋งเฟิงที่ถูกสั่งให้ไปทำธุระเดินเข้ามา
ก็เห็นฉากที่ไป๋เซี่ยเหอปล้นจูบฮั่วเยี่ยนไหวพอดี
์!
พระชายาใจกล้าเกินไปแล้วกระมัง
ที่แท้ท่านอ๋องชอบแบบนี้นี่เอง
ทว่า...เขาทำผิดอะไร? เหตุใดพอออกมาข้างนอกแล้วก็ยังต้องเห็นฉากเช่นนี้อีก?
ไร้เรี่ยวแรงจะมองท้องฟ้า!
หลังจากทั้งสามคนจากไป
บุรุษที่นอนอยู่บนพื้น จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้น ดวงตาของเขามืดมด ใบหน้าบิดเบี้ยว ความริษยาและความเกลียดชังอันเข้มข้นถาโถมเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน ทำให้อารมณ์ความรู้สึกของเขาจมดิ่ง
เมื่อไม่ได้มาก็ต้องทำลาย!
------------------------
[1] ติงเซียง หมายถึง ดอกไลแลค กานพลู